บทที่5
พอกลับถึงบ้านท่านแม่ออกจากครัวมาดูถึงกับอ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย จึงได้แต่ช่วยขนข้าวของลงจากรถลาก
"เจ้าเอาตุ่มใส่น้ำมาทำอันใดมากมายถึงเพียงนี้" ท่านแม่ที่ช่วยท่านพ่อยกลงด้วยความหนักใจเอ็ดนางไปหนึ่งที นี่ต้องเสียเงินมากเป็นแน่ เงินที่ได้มาจากท่านปู่มิใช่พวกเจ้าสองคนพ่อลูกใช้กันหมดแล้วกระมัง
"ข้าจะเอาไปใส่ปลาเจ้าค่ะ"
"ใส่ปลารึ"
"ใช่เจ้าค่ะ ตุ่มนี้จะเอาไว้ใส่น้ำในห้องครัวจะได้ใช้สอยสะดวกมากขึ้น ข้าเห็นท่านแม่ต้องใช้ถังไปตักน้ำมาวันล่ะหลาย ๆ ครั้ง หากมีตุ่มใส่น้ำเราก็แค่คอยเติมน้ำให้เต็มก็จะสะดวกเวลาใช้สอย อีกตุ่มเอาไว้ใส่ปลาเจ้าค่ะข้าจะตกปลาตัวเล็กมาด้วยแล้วเลี้ยงมันไว้ในตุ่มน้ำ พอขุดบ่อปลาเสร็จค่อยปล่อยมันลงบ่อ ส่วนอีกตุ่มข้าว่าจะทำห้องน้ำเจ้าค่ะ เพราะเรายังไม่มีห้องน้ำต้องอาบน้ำกลางแจ้งข้ารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก"
เมื่อได้ยินคำตอบของบุตรสาวที่วางแผนอย่างดิบดีนางหวังได้แต่ยิ้มอ่อนให้บุตรสาว เข้าใจว่านางอยากช่วยให้แม่สบายขึ้นจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ถึงจะโมโหเพราะนางใช้จ่ายเกินตัวแต่ก็ต้องอมยิ้มกับความเอาใจใส่ของนาง ส่วนอีกตุ่มหลี่หลิวแอบเก็บเข้ามิติไปเรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนรถลากแล้ว
"ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงแม่ แต่คราวหน้าไม่ต้องก็ได้ท่านพ่อเจ้าบอกว่าใช้จ่ายไปมากกว่าห้าสิบอีแปะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าครอบครัวเราใช้เงินห้าสิบอีแปะได้หลายเดือนเชียวนะ"
หวังลู่พยายามสอนลูกสาวให้นางรู้จักประหยัด และคิดคำนึงอย่างถี่ถ้วนจะได้ไม่ฟุ่มเฟือยเกินเหตุเช่นนี้ หากนางมีเงินในมือในภายภาคหน้าอาจจะใช้จ่ายเกินตัวก็เป็นได้
"ท่านแม่อย่ากังวล ข้ามีวิธีหาเงินคืนให้ท่านพ่อภายในสามเดือนเจ้าค่ะ"
"ไหนเจ้ามีวิธีอะไรบอกพ่อเจ้ามาหน่อย" เมื่อหลี่หงได้ยินเช่นนั้นหลังจากคอตกมาพักใหญ่ถึงกับหูผึ่งขึ้นมาทันที อะไรจะดีไปกว่าการได้รับเงินที่เสียไปกลับคืนมา อย่างไรเสียเงินนี่สักวันหนึ่งเขาต้องนำไปคืนให้แก่บิดาอยู่แล้ว บุตรสาวมีความคิดสร้างสรรค์หากหาเงินได้เร็วก็จะเป็นผลดีต่อครอบครัวเรา
"ข้าจะทำกับข้าวแล้วไปขายตลาดเช้าเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองผัวเมียก็มองหน้ากันอย่างมีความหวังขึ้นมา ก็แน่ล่ะบุตรสาวทำอาหารอร่อยเช่นนี้ต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน
"เจ้าจะทำอะไรไปขายเล่า" ท่านแม่ถามอย่างอยากรู้ เด็กตัวแค่นี้กับรู้จักอยากทำมาค้าขายช่างเป็นบุญที่นางได้ลูกสาวคนนี้มายิ่งนักเจ้าคือตัวนำโชคโดยแท้
"ผัดหน่อไม้เจ้าค่ะ"
"ผัดหน่อไม้ มันจะขายได้รึ คนไม่เคยกินเสียด้วยซ้ำ" ท่านพ่อกล่าวพรางเกาท้ายทอย ก็เข้าใจว่านางทำอาหารออกมาได้ดี แต่คนที่ไม่เคยกินมาก่อนจะยอมควักเงินซื้อได้เช่นไรแล้วผัดหน่อไม้มันจะอร่อยได้สักแค่ไหนกันเชียว
"ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ คนจะซื้อของข้าอย่างแน่นอนหน่อไม้เราเหลืออีกตั้งมาก ดังนั้นข้าซื้อกระทะกับหม้อมาพร้อมทำแล้วเจ้าค่ะ"
"เจ้าคิดน้อยไป หากเป็นผักปลายังพอใส่ตะกร้าได้แต่กับข้าวหน่ะจะใส่อะไร"
"เป็นคำถามที่ดีมากเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะตัดไม้ไผ่อันใหญ่หน่อยทำกระบอกล้างเยื่อไผ่ออกแล้วขูดข้างในดี ๆ จากนั้นนำกระบอกไปต้มผึ่งลมให้แห้ง เท่านี้ก็ได้กระบอกไม้ไผ่ไว้ใส่อาหารแล้วแค่ต้องทำให้สูงหน่อยกันพวกอาหารที่ใส่กระเด็นออกมา ท่านว่าได้หรือไม่เจ้าคะ" ความคิดของบุตรสาวเรียบง่ายไร้ข้อกังขา แถมยังไม่ต้องใช้หม้อดินให้สิ้นเปลืองเงินทอง ช่างดีเหลือเกิน
"ได้อยู่แล้วแต่ต้องรอให้พ่อทำรั้วบ้านเสร็จก่อนค่อยทำกระบอกใส่อาหารของเจ้าได้หรือไม่" เมื่อได้ฟังลูกสาวอธิบาย เขาก็ต้องเปิดใจยอมรับอีกครั้งว่าความคิดของนางเปิดหูเปิดตาของเขายิ่งนัก นอกจากหม้อดินใส่อาหารได้ และราคาถูกกว่าหม้อเหล็ก ยังสามารถใช้ไผ่มาทำเป็นภาชนะได้อีกสินะ
"ได้เจ้าค่ะ ยังไงซะหน่อไม้ยังมีอีกมากที่กำลังจะโผล่พ้นดินออกมาอยู่แล้ว" หลี่หลิวยิ้มอย่างพอใจเมื่อตกลงกันได้แล้วหลี่หลิวจึงโชว์ฝีมือการผัดหน่อไม้ ทอดปลาหมักซอสให้ทุกคนได้ลิ้มลอง และแน่นอนว่าทุกอย่างได้ท่านแม่คอยดูอยู่ เพราะยังเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาว น้ำมันนั้นอันตรายหากไม่ระวังอาจเกิดไฟลุกไหม้ได้ แต่พอเห็นบุตรสาวคล่องไม้คล่องมือจึงวางใจปล่อยให้นางได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่
"มีข้าวด้วยล่ะ พี่ใหญ่ ๆ ข้าจะได้กินข้าวแล้ว ดูสิข้าวเป็นเม็ด ๆ เลยไม่ใช่น้ำข้าวด้วย" หลี่เฉินตื่นมาจึงเดินมาที่ครัวตามที่ท่านแม่บอก พอใกล้รุ่งสางพระอาทิตย์ก็เริ่มจะโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ถึงแม้จะครึ้มฟ้าครึ้มฝนแต่อากาศก็ดีมาก และไม่หนาวจนเกินไป
"ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ มือไม่ล้างข้าไม่ให้เจ้ากินด้วยหรอกนะ" หลี่หลิวเดินมานั่งที่นั่งของตนพร้อมกับช้อน และตะเกียบแล้วเตือนน้องชายให้รู้จักรักความสะอาด โดยมีท่านพ่อนั่งตรงหัวโต๊ะส่วนท่านแม่นั่งข้างท่านพ่อ ทางซ้ายมือมีเจ้าเล็กนั่งข้างท่านแม่ ข้ากับพี่ใหญ่นั่งด้านขวามือของท่านพ่อ และแน่นอนว่าข้าได้นั่งติดกับท่านพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย
"หึ!! รู้แล้ว ๆ ข้าไปล้างก่อนก็ได้ห้ามกินก่อนข้านะ" หลี่เฉินหันมองทุกคนอย่างน้อยใจก่อนจะเดินสะบัดแขนขาน้อย ๆ ของเขาเพื่อไปล้างมือ เพราะเขาตื่นทีหลังเพื่อนจึงล่าช้าครั้งหน้าเขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะตื่นให้ทันพี่ใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อทุกคนนั่งที่ดีแล้วท่านพ่อจึงกล่าวชวนให้ทุกคนทานข้าว ก่อนจะพากันจับตะเกียบ และหยิบช้อนกินอาหารที่ตัวเองสนใจอย่างเอร็ดอร่อย
"เจ้าเล็กกินผัดหน่อไม้ด้วยสิอย่ากินแต่ปลาเดี๋ยวก็ขาดสารอาหารหรอก" หลี่หลิวมองน้องเล็กที่ขอให้ท่านแม่คีบปลาให้อย่างเดียว ถ้าเป็นเช่นนี้เขาจะกลายเป็นคนเลือกกินในภายหน้า เมื่อท่านแม่เห็นบุตรสาวน้อยใจที่น้องเล็กไม่ยอมกินผัดหน่อไม้ นางจึงคีบหน่อไม้ใส่ถ้วยใบกลางของบุตรชายคนเล็ก
"พี่สาวของเจ้าลงมือทำเองแม่บอกได้คำเดียวคืออร่อย"
หวังลู่บอกพร้อมยิ้มหวานให้บุตรสาว นางทำได้อร่อยมากถึงเพียงนี้ แค่ผัดหน่อไม้ธรรมดาที่ไม่มีใครเหลียวแลให้กลายเป็นเมนูแสนแพงได้ก็นับว่าเก่งแล้ว ทว่ารสชาติเช่นนี้หาที่ไหนไม่มีอีกแล้ว นางจำได้ว่าบุตรสาวผัดกระเทียมพอสุกก่อนจะใส่หน่อไม้หั่นยาวแล้วผัดจนหอมค่อยหยอดซอสถั่วเหลือง และตามด้วยเกลือเล็กน้อยชิมรสชาติเสร็จจึงใส่ต้นหอมผัดอีกนิดแล้วปิดไฟ กลิ่นหอมของซอสที่โดนกระทะชวนให้คนหิวเป็นอย่างมาก บุตรสาวช่างมีพรสวรรค์ในด้านนี้มากจริง ๆ
"ท่านพี่ทำย่อมถูกปากข้า ข้าจะไม่ให้ท่านเสียน้ำใจข้าจะกินเยอะ ๆ ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ" หลี่เฉินเริ่มเข้าใจว่าทำไมท่านพี่ถึงคะยั้นคะยอให้เขากินเมนูนี้แท้จริงแล้วนางเป็นคนทำนี่เอง
"อร่อยไม่แพ้ปลาทอดเกลือเลยขอรับ"
"ต้องอร่อยอยู่แล้วเพราะพี่เจ้าทำทั้งสองอย่างยังไงล่ะ แม่แค่หุงข้าวให้พวกเจ้าเพียงเท่านั้น" ท่านแม่ถือตะเกียบปิดปากหัวเราะเบา ๆ หลี่จงมองน้องสาวของเขาที่เก่งข้ามวันข้ามคืนแล้วก็ต้องยิ้มบาง ๆ ให้นาง น้องของข้าเปลี่ยนไปแล้วดีกว่าเดิมเสียอีก เห็นทีข้าที่เป็นพี่ต้องทำประโยชน์ให้มากขึ้นจะได้เป็นหน้าเป็นตาได้บ้างเสียแล้ว หลี่จงวางตะเกียบลูบหัวน้องสาวที่ปล่อยผมยาวแล้วทัดหูให้นาง น้องข้าถ้าเจ้าโตจะต้องย้ายออกไปข้าไม่อยากให้เจ้าโตเลย ข้าอยากให้เจ้าอยู่กับข้า และพ่อแม่ไปนาน ๆ
"ท่านพี่ทำอร่อยทุกอย่าง ต่อไปข้าจะกินทุกอย่างที่ท่านพี่ทำข้าจะไม่เลือกกินอีกแล้ว" หลี่เฉินเคี้ยวหน่อไม้เข้าปากลิ้มรสความกรุบกรอบมันหวานเค็ม เขาค่อย ๆ กัดหน่อไม้ทีล่ะนิดก่อนจะเคี้ยวจนหมด ปากของเขาตอนนี้มันทั้งมันวาว และเยิ้มเต็มไปด้วยน้ำมันจนท่านแม่อดไม่ได้จึงต้องเช็ดปากให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขากินอิ่ม
"ดูเจ้าสิกินมูมมามอะไรเช่นนี้ ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้" หลี่หงผู้เป็นพ่อเห็นแววตาที่เปี่ยมสุขของลูกคนเล็กจึงอยากแกล้งเขาขึ้นมา แต่พอได้ยินคำตอบทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับเจ็บหน้าอกแปล๊บ ๆ
"ก็มันอร่อยหนิขอรับ ข้าต้องกินให้มากหน่อยข้าไม่เคยได้กินอิ่มจนท้องแทบแตกแบบนี้เลย คิกคิก" เจ้าตัวน้อยหัวเราะร่าพลางเอามือลูบท้องที่ป่องทะลุเสื้อไปมามันกลมเหมือนลูกแตงโมเลยทีเดียว
"ต่อไปเจ้าอย่ากินมากนักเดี๋ยวจะไม่สบายท้อง พ่อรับปากเจ้า ต่อไปเจ้าจะได้กินอิ่มทุกมื้อดีหรือไม่" เมื่อท่านพ่อเอ่ยปากรับคำ น้องเล็กก็ยิ้มตาหยีแก้มยุ้ยอย่างพอใจ
"ท่านแม่ ข้าช่วยท่านเก็บเองขอรับ" พี่ใหญ่รู้ว่าน้องรองตื่นมาทำครัวช่วยแบ่งเบาภาระท่านแม่แต่เช้า ตนที่ตื่นช้าไม่ได้ช่วยอันใดจึงอาสาช่วยท่านแม่เก็บถ้วยชามไปล้าง
"ท่านพี่ ท่านไปตักน้ำมาใส่ตุ่มเถอะ ข้าจะช่วยท่านแม่ล้างเอง"
หลี่หลิวชี้ไปที่ถังน้ำซึ่งทำจากไม้ และตุ่มที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ พี่ใหญ่เห็นตุ่มที่ยังใหม่อยู่ เช้ามืดวันนี้น้องรองคงไปกับท่านพ่อที่ตลาดด้วยสินะ เจ้าสามรับคำขอของน้องสาวแล้วจึงค่อย ๆ เดินไปตักน้ำในบ่อโดยใช้เชือกผูกถังไม้ แล้วหย่อนลงไปในบ่อน้ำเล็กน้อยและตะแคงข้างให้น้ำเข้ามาครึ่งถัง เสร็จแล้วจึงดึงขึ้นอย่างชำนาญ หากเขาเอาน้ำมาเต็มถังเกรงว่าคงยกไม่ไหว จึงทำเท่าที่ตนทำได้แม้ต้องเดินหลายรอบก็ตาม
"ท่านพ่อเราจะไปกันตอนไหนหรือเจ้าคะ" หลี่หลิวนั่งแกว่งเท้าไปมากับน้องเล็กตรงขอบระเบียงบ้านด้านหลัง ท่านพ่อเห็นพี่ชายของพวกเขาทำงานเช่นนั้นอยู่หลายรอบจึงเข้าไปช่วย ส่วนหลี่หลิวนางนั่งมองทิวทัศน์ทุ่งข้าวสีเขียวขจีที่ออกรวงสวยงามของคนที่เช่าปลูกไว้ก่อนหน้า ปีนี้ครอบครัวเราไม่ได้ทำนารออีกไม่กี่เดือนก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว หลี่หลิววางแผนจะปลูกแตงโม ข้าวโพด และฟักทอง หลังจากที่ผู้เช่าเกี่ยวข้าวเป็นที่เรียบร้อย
"ให้พ่อได้พักสักหน่อยก่อนค่อยไปได้หรือไม่"
ท่านพ่อที่เดินตักน้ำใส่จนเต็มตุ่มเดินปาดเหงื่อแต่เช้า นี่คงเป็นถังสุดท้ายแล้วที่ถูกเทใส่ตุ่มจนเต็ม ข้าก็รีบเกินไปจนลืมว่าท่านพ่อเองก็เหนื่อยล้าจากการยกน้ำเช่นกัน งั้นก็ให้ท่านได้พักสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน ลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระลอกต้นข้าวน้อยใหญ่พัดไปตามแรงลม มวลหมู่ผีเสื้อ และตั๊กแตนต่างบินว่อนไปมา นกน้อยต่างโผบินออกหาอาหารประกอบกับส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ราวกับว่าพวกมันร้องเพลงขับกล่อมประสานเสียงกันคลอเคลียอยู่ข้างหู บรรยากาศช่างดีอะไรเช่นนี้จะเสียก็แต่ว่าช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นตัวลง บางช่วงจะไปไหนต้องใส่หมวกสาน และเสื้อคลุมที่ทำจากใบลานเพื่อกันหมอกลงในช่วงเช้า เมื่อมันโดนน้ำแล้วก็หนักมาก ๆ เลย หลี่หลิวคิดถึงชุดกันฝนที่ทำจากพลาสติกบาง และร่มที่พกพาได้อย่างสะดวก
"ถ้าเรามีร่มคงดีไม่น้อย" หลี่หลิวบ่นพึมพำเบา ๆ ทว่าเสียงบ่นของนางทำให้น้องเล็กถามอย่างสงสัย
"ท่านจะซื้อร่มหรือขอรับ"
"มีร่มขายด้วยรึ?"
"มีสิขอรับ แต่มีแค่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่มีมัน เพราะไม่ค่อยมีคนนิยมซื้อกัน ท่านพ่อเคยบอกข้าว่ามีแต่พวกคนในเมืองเขาใช้กันพวกเราซื้อไม่ได้มันค่อนข้างแพง และไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเราไม่สามารถถือร่มไปด้วยพร้อมกับทำงานได้ยังไงล่ะ"
น้องชายตัวน้อยอธิบายให้พี่สาวฟังด้วยน้ำเสียงสดใส เสียงเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อีกทั้งแก้มสองข้างตอนนี้เริ่มยุ้ย ๆ เพราะเขากินเก่งมากขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นมากแล้วแต่แก้มของเด็กน้อยนี่มันน่าหมั่นเคี้ยวจริง ๆ หลี่หลิวใช้มือสองข้างดึงแก้มเจ้าตัวน้อยเบา ๆ แก้มนุ่ม ๆ นี่สบายมือดีจัง
"ท่านพี่เบาหน่อยแก้มข้าจะหลุดออกมาแล้ว" หลี่เฉินทักท้วงเมื่อเห็นพี่สาวดึงแรงขึ้นเรื่อย ๆ
"ฮ่า ๆ ๆ ดูหน้าของเจ้าสิ แดงเหมือนแตงโมงเลย" หลี่หลิวชี้ไปที่แก้มน้องชายที่เป็นรอยจากฝีมือของนาง ก่อนจะเป่าเบา ๆ ให้น้องชายด้วยความสงสารเมื่อเห็นเขาขอบตาแดงเหมือนจะร้อง
"ท่านพี่ห้ามดึงแก้มข้าอีกนะ ถ้าโตขึ้นข้าไม่หล่อขึ้นมาจะทำเช่นไร"
หลี่เฉินเอาสองมือน้อย ๆ คลำแก้มตนเองเบา ๆ พร้อมน้ำตาคลอติดอยู่ริมขอบตาซึ่งมองแล้วช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน ตายจริงฉันเผลอบีบแรงไปหรือเปล่านะ หลี่หลิวดึงเจ้าตัวน้อยมากอดแต่ทว่ามือเล็ก ๆ และแขนสั้น ๆ ของนางก็มิอาจกอดน้องจนมิดได้แล้วจึงกล่าวขอโทษไป แถมยังบอกอีกว่าโตขึ้นเจ้าต้องเป็นชายรูปงามอย่างแน่นอน
"น้องเล็กไปกันเถอะท่านพ่อให้มาตามเจ้า" หลี่จงเดินมาเห็นสองพี่น้องกอดกันกลมจึงยิ้มร่าออกมาแล้วเรียกนางไปให้ขึ้นรถลาก หากไปสายอาจจะกลับมาล่าช้าเลยมื้อเที่ยงอีกเป็นแน่
"ข้าไปก่อนนะ เจ้าอยู่บ้านช่วยท่านแม่ถางหญ้าไปนะ ข้าจะเอาของอร่อยมาให้เจ้าอย่างแน่นอน" หลี่หลิวใช้ขาสั้น ๆ กระโดดลงพื้นแต่ยังดีที่นางทรงตัวอยู่ได้แล้วไม่ล้มหน้าคะมำ ก่อนนางจะหันหน้ามาโบกมือให้น้องเล็ก และหันหลังรีบวิ่งตามพี่ชายไป
"ข้าก็อยากไปเหมือนกัน พวกท่านไม่อยู่ข้าเหงามากเลยนะ"
หลี่เฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดหลังบ้านช้า ๆ อย่างระวัง และไปโบกไม้โบกมือให้ท่านพี่อย่างอาลัย
"ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเสียอย่างนั้น พี่เจ้าไปไม่นานก็กลับมาแล้ว"
"ข้าไม่มีเพื่อนหนิขอรับ อยู่ในหมู่บ้านข้ามีเพื่อนเล่นมากมายแต่พอมาอยู่ที่นี่ข้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วยเลย"
"อย่าห่วงไปเลย วันนี้เจ้าได้มีเพื่อนเล่นแน่ เจ้าจำท่านลุงกับท่านป้าสองคนที่เจอวันแรกได้หรือไม่ เขาบอกว่าวันนี้จะพาหลาน ๆ มาด้วยทีนี้เจ้าก็จะไม่เหงาแล้วใช่ไหม"หวังลู่มองบุตรชายที่หน้ามุ่ยในตอนแรกแล้วกลับมายิ้มแป้นก็อดสงสารไม่ได้ เพราะมาอยู่กลางดินกินกลางนาเช่นนี้เขาเลยเหงาหงอย และจะเฮฮาหน่อยก็ตอนที่พี่ ๆ เขากลับมา
"ท่านแม่ท่านพูดจริงนะขอรับ"
"ใช่สิ แม่ไม่โกหกเจ้าแน่" เมื่อได้รับคำมั่นจากท่านแม่แล้งเขาก็กลับมาร่าเริง และช่วยท่านแม่ถอนหญ้าออกจากแปลงมัน โดยไม่ลืมที่จะชะเง้อดูว่าเพื่อน ๆ จะมาถึงตอนไหน
~ทางด้านอีกฝั่งของตีนเขา~
หลี่หลิวที่พกเบ็ดพร้อมกับถังไม้ที่ใส่น้ำลงไปด้วย นางกำลังนั่งตกปลาริมลำธารโดยใช้ใบไม้วางหลายใบ ก่อนจะนั่งสมาธิถือเบ็ดหนึ่งอันด้วยมือสองข้างรอคอยปลามากินเบ็ดอย่างใจเย็น ส่วนท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็พากันตัดไม้ไผ่เหลากิ่งก้านเพื่อให้ประหยัดพื้นที่รถลาก วันนี้หลี่หลิวจะตกปลาแค่อย่างเดียวส่วนมื้อกลางวันคงหนีไม่พ้นแกงปลาใส่หน่อไม้ และผัดหน่อไม้ที่เหลือจากมื้อเช้าอีกหนึ่งจาน จะว่าไปแล้วอาหารที่มีแต่ปลามันก็น่าเบื่อหน่ายเกินไปต้องมีเนื้อมีผักด้วยถึงจะดี ไว้คราวหน้าถ้าท่านพ่อไปตลาดเช้าอีกจะขอให้ท่านซื้อลูกเจี๊ยบกลับมาด้วยจะได้มีไข่ไว้กินยามเช้า
"เล้าไก่ ต้องบอกท่านพ่อทำให้สักเล้า หวังว่าท่านพ่อจะยอมนะถึงจะขาดแคลนอาหารไก่ แต่ถ้าให้อาหารมื้อเดียวแล้วปล่อยพวกมันออกหากินเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้สักทีเดียว และท่านพ่อจะต้องเห็นด้วยเป็นแน่" แต่จะทำอย่างไรดีข้าพึ่งถลุงเงินท่านพ่อไปมาก หรือจะรอให้ขายอาหารได้ก่อนแล้วค่อยทำดีนะ หลี่หลิวนำกิ่งไม้แห้งที่ผูกไว้หนึ่งคืบพอมันขยับสักพักปลาก็กระตุกเบ็ด วันนี้ปลาที่ได้มีแต่ตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น สงสัยว่าพวกปลามันจะเริ่มรู้แล้วว่ามีอันตราย
"ได้มาสี่ห้าตัวแล้วมีแต่ปลานิลทั้งนั้นเลย เอาล่ะพวกเจ้าอยู่ในถังน้ำนี่ไปก่อนนะข้าจะไปหาท่านพ่อก่อน"
หลี่หลิวใช้นิ้วน้อย ๆ จิ้มตัวปลาเบา ๆ พวกมันวิ่งว่ายวนหนีกันจนน้ำกระเด็นออกจากถัง หลี่หลิวกึ่งเดิน และวิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียงตัดไม้ เด็กน้อยที่วิ่งไปข้างหน้าปะทะกับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าพร้อมลมพัดผมที่ยาวประบ่าสะบัดไปตามแรงลม ช่างเป็นอะไรที่ดูสบายตาอย่างยิ่ง ป่าไผ่เขียวชอุ่มแต่ไม่ได้รกรุงรังขนาดนั้นแถมมันยังดูเป็นระเบียบเสียด้วยซ้ำ ต้นไผ่สูงใหญ่ให้ร่มเงามีเสียงลมพัดหวีดหวิวมาเป็นระยะ คนที่ชอบสายน้ำภูเขาเช่นหลี่หลิวประทับใจทุกครั้งที่ได้มาที่นี่
"ท่านพ่อ ท่านพี่" เสียงหวานสดใสร้องนำก่อนที่ตัวคนจะปรากฏออกมา
"อ้าว เจ้าพอแล้วรึ?" ท่านพ่อใช้ผ้าคล้องคอก้มซับเหงื่อก่อนจะหันหน้ามามองบุตรสาว
"ข้าพอแล้วเอาไปเยอะก็เท่านั้น เดี๋ยวปลาจะผอมตายก่อนที่มันจะได้ลงบ่อ" หลี่หลิวหยิบก้านไม้ไผ่ที่หล่นพื้นมาแล้วนั่งลงไม่ไกลนัก เพราะกลัวจะเกะกะการทำงานของสองพ่อลูกเอาได้
"ดีแล้ว ๆ ถ้าขืนเจ้าเอาไปเยอะปลาได้หมดลำธารเป็นแน่" หลี่หงพูดหยอกล้อบุตรสาว และหัวเราะเบา ๆ ถึงจะเหน็ดเหนื่อยทว่าบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
"ข้าได้มาไม่กี่ตัว แถมลำธารก็ทอดยาวขนาดนั้นมันจะหมดได้เช่นไร" หลี่หลิวจับไม้ไผ่นั่งวาดรูปเล่นไปพลาง ๆ และพูดคุยกับท่านพี่ และท่านพ่อ จนพวกเขาได้ไม้ไผ่เพียงพอจึงได้ชวนพี่ชายไปเก็บผักป่าก่อนค่อยกลับบ้าน สามสี่วันมานี้ก็เป็นเช่นเดิมสามคนพ่อลูกออกไปตัดไผ่ และสร้างกำแพงจนเสร็จ ในที่สุดก็ได้เริ่มการทำกระบอก และทำกับข้าวไปขายในเช้ามืด ครั้งนี้ทุกคนออกจากบ้านมาพร้อมกันทั้งห้าคนพ่อแม่ลูก หลี่หลิวเตรียมเครื่องครัวตั้งแต่ช่วงเย็น และบอกให้ท่านพ่อยกเตาขึ้นรถพร้อมไม้ฟืนไว้ก่อไฟ นางได้บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าจะทำไปด้วย และขายไปด้วย เพราะหากทำเช่นนี้ลูกค้าจะได้กินของสดใหม่ หากนำอาหารที่ทำเสร็จแล้วจากบ้านไป กว่าจะไปถึงที่ตลาดกับข้าวพวกนั้นก็คงจะจืดชืดไปหมดแล้ว ซึ่งท่านแม่ก็เห็นด้วยเช่นกันจึงตกลงทำตามที่นางว่า