4
“คือการที่แกเอาแต่เงียบแบบนี้นี่นะ พวกมันก็ยิ่งได้ใจ ว่าเอาสนุก ฉันแนะนำเลยให้แกฟ้อง ฉันแคปรูปคอมเมนต์ของพวกนั้นเอาไว้หมดแล้ว”
ริชชี่รีบกุลีกุจอเอารูปที่ตัวเองบันทึกหน้าจอไว้ มาโชว์อย่างรีบร้อน
“แกอ่ะ ไม่พูดอะไรกับเขาหน่อยหรอ?” แทนที่จะสนใจในสิ่งที่เพื่อนบอก เธอกลับหันไปสนใจคนนั่งนิ่งอยู่แทน
“ไม่เอาอ่ะ...พวกมันว่าไง ฉันก็ว่างั้น” เบียร์หรือชื่อเดิมคือบาร์บี้ ผู้ไม่ค่อยกล้าออกความเห็นอะไร ว่าแบบแอบกลัวเพื่อนสาวนิดๆ
โยศิตาพยักหน้ารับรู้ พร้อมหันไปสบตากับเพื่อนทีละคนอย่างช้าๆ
เหมือนกำลังดื่มด่ำสายตาว้าวุ่นของเพื่อนๆ อย่างทั่วถึง
“ขอบใจพวกแกมากนะเว้ยที่เป็นห่วง ขอบใจมากจริงๆ แต่ที่จะไม่ทำตาม...ไม่ใช่ว่าจะเพิกเฉยต่อความห่วงใยของพวกแกเลยสักนิดนะเว้ย
แต่พวกแกควรเลิกที่จะเข้าไปอ่านความคิดเห็นพวกนั้นได้แล้ว เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ดื่มด่ำกับงานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีประโยชน์กว่าเหรอวะ”
เธออธิบายตามแบบฉบับมนุษย์อินดี้ ที่เวลาอยู่ในบทบาท...ก็ดูเหมือนสาวเซ็กซี่ขยี้ใจ
แต่พอได้เป็นตัวเอง...ก็เป็นแค่ผู้หญิงสบายๆ ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสวมทับกางเกงขาสั้น ไม่ได้พิถีพิถันกับหน้าตาแต่อย่างใดคนหนึ่งเท่านั้น
“แต่แกกำลังจะเดือดร้อนจากสิ่งที่แกสร้างขึ้นมาอยู่เว้ย แถมสิ่งที่แกสร้าง...แม่ง มันไม่ได้เป็นความจริงเลย” ปรียาดาเถียงด้วยความเครียดขรึม
เธอทนไม่ได้จริงๆ ที่ตอนนี้เพื่อนกำลังจะเป็นข่าวใหญ่ ในเรื่องที่ฉาวโฉ่แบบนี้
“แกก็รู้นี่ว่ามันไม่ได้เป็นความจริง ยิ่งไม่เห็นต้องเดือดร้อน”
“โอ๊ย ทำไมดื้ออย่างนี้คะอีเพื่อนขา! ปั้นหยาฟังแม่นะลูก...เพราะมันไม่ใช่ความจริงไง
เราถึงต้องเดือดร้อน! ทำไมแกไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ เลยวะ! คะ!” ริชชี่เสริมทับเร่งด่วนด้วยความหัวเสีย
“แล้วแกคิดเหรอวะ ว่าการเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดีแล้วมันจะไม่มีความคิดเห็นแย่ๆ เกิดขึ้น” แววตาสามคู่ชะงักพร้อมกัน
สิ่งที่ตั้งใจจะโพล่งแย้ง...สะดุดกึก เหมือนเจอเข้ากับตอไม้หิน
“กะ...ก็ใช่สิวะ ทำดีก็ต้องได้ดีสิ!” คำพูดแถๆ แบบแม้แต่ตัวเองก็ไม่ได้มั่นใจ ทำให้โยศิตายิ้มอย่างเป็นต่อ
“แล้วถ้ามันไม่ได้ดีล่ะ...ทำดีแล้วยังแย่ แกคิดว่าแกจะรู้สึกแย่ได้แค่ไหน”
“ฉันเข้าใจในสิ่งที่แกพูดมาทั้งหมดนะเว้ย แต่แกก็อยู่เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องสร้างภาพดีๆ
หรือสร้างภาพแย่ๆ แค่ใช้ชีวิตปกติ ตั้งใจทำงานของแกให้ดี มันก็ดีอยู่แล้วป่ะ?” ปรียาดาผู้ดูจะหัวเสียที่สุดพูดแรงขึ้น จนริชชี่ต้องรีบสะกิดเตือน
ฝ่ายโยศิตาผู้เข้าใจในความเป็นห่วงของเพื่อนทั้งหมดทั้งมวล...พยักหน้าช้าๆ
“หึ ถ้ามันทำอย่างนั้นได้จริงๆ ฉันจะเป็นอย่างทุกวันนี้หรอวะ” ประโยคนี้ทำเอาเพื่อนทั้งสามสะดุดกึก...เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอาจริงๆ มันก็มีเหตุผลที่ฉันต้องทำแบบนี้ แต่พวกแกก็รู้ ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะมานั่งอธิบายอะไร เพราะฉันคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง
การเป็นเด็กเสี่ยมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนะเว้ย คนมองว่าแย่กันไปเอง...
เอาจริงๆ ถ้าวันหนึ่ง...ฉันจะต้องเป็นเด็กเสี่ยขึ้นมาจริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
แต่ที่ตอนนี้ฉันทำแบบนี้ ฉันมีเหตุผลที่บอกพวกแกไม่ได้จริงๆ ว่ะ”
“จะว่าไป ฉันก็เห็นด้วยกับนางตรงที่ว่า...ต่อให้นางอยู่เฉยๆ คนก็มายุ่งกับนางอยู่ดีนะ” ริชชี่หันไปมองหน้าผู้จัดการจำเป็นของเพื่อนเชิงบอกกล่าว
“จริง...ที่ผ่านมา มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” คนที่ตั้งใจว่าจะไม่ออกความเห็นตั้งแต่แรก พูดออกมาแบบไม่สนใจที่จะยั้งปาก
คนสี่คนมองหน้ากันไปมา...เชิงปรึกษา
“ฉันขอโทษที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท” คนที่นึกอะไรได้ทีหลังเพื่อนว่าเสียงอ่อย หากแต่โยศิตารู้ดี...ว่าทั้งหมดที่เธอทำไปก็เพราะเป็นห่วงเธอทั้งนั้น