7.ทำไม
หลังจากที่เฟลิกซ์นอนหลับไป ท่านดยุคก็ยังคงชักชวนให้เธอลงไปทานข้าวด้วยกันเสมอในทุกวัน จนไซคีเองก็เริ่มชินชากับการพูดคุยเรื่องการเข่นฆ่ากันอย่างไรปรานีของพวกนักรบแห่งเมนเคล
"ข้าและอามีนจะต้องออกรบในวันพรุ่งนี้ โชคดีที่ครั้งนี้ศัตรูของไม่ใช่พวกนักเวทหรือว่านักบุญแต่ทว่าคือปีศาจที่กำลังจะรุกรานเข้ามา เจ้าอาจจะต้องอยู่ที่นี่คนเดียวนะลูกสะใภ้ มันอาจจะยาวนานเพราะว่าข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสงครามจะจบลงเมื่อไหร่"
เรื่องนี้เธอรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว สงครามจะกินเวลายาวนานถึงสองปี เธอจะได้อยู่ที่คฤหาสน์เมนเคลอย่างเงียบๆถึงสองปีเพราะไม่ต้องมาคอยปั้นยิ้มต่อหน้าท่านดยุคอีก
"ขอให้ท่านดยุคปลอดภัยค่ะ"
"เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วลูกสะใภ้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ให้มีความสุขก็แล้วกัน"
นั่นคือคำอวยพร หรือว่าคำเตือนกันนะ ท่านดยุคคือคนที่ไม่อาจอ่านใจได้เลย เขาคือคนที่ลึกล้ำมากเกินกว่าที่เธอจะสามารถมองออกว่าตกลงแล้วเขาคิดเช่นไรกับเธอ
"ขอบคุณท่านดยุคที่เป็นห่วงค่ะ"
การสนทนาของเราเกิดขึ้นมาท่ามกลางสายตาของคนรับใช้ทั่วทั้งคฤหาสน์และอัศวินที่อยู่โดยรอบ มองดูเหมือนกับเป็นการพูดคุยกันธรรมดาแต่ทว่าเมื่อมองดูดีๆ มันมีความห่างเหินอยู่มากมายในคำพูดของเรา
ไซคียืนอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์เมนเคล ในมือของเธอคือผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินที่เป็นสีเดียวกันกับสีธงของเมนเคล ตามธรรมเนียมสตรีจะต้องมายืนรอส่งสามีไปออกรบ และส่งผ้าเช็ดดหน้าให้เพื่อที่จะบอกกล่าวว่าไม่ว่านานเท่าไร สตรีผู้นั้นก็จะรอคอยสามีกลับมาเสมอ
แต่เธอไม่คิดจะรอคอยอามีนสักนิด ไซคีพยายามยืนหลบๆอยู่ในดงสตรีที่มาส่งสามี เธอถอยหลังเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมอบผ้าเช็ดหน้าให้อามีน เธอกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ในมือแน่นก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินเข้าไปด้านใน เธอหันหลังเดินจากมาโดนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีสายตาของใครจับจ้องอยู่
ไซคีแค่รู้สึกว่าเธอไม่อยากจะส่งมอบผ้าเช็ดหน้าในมือให้กับอามีนก็เท่านั้น
ขบวนอัศวินเดินทางออกไปจากแกรนด์ดัชชีของเมนเคล ไซคีมองม้าพวกนั้นวิ่งจากไปจนลับตาก่อนที่เธอจะล้มตัวนอนลงบนเตียงอันแสนกว้างใหญ่
ชีวิตอันสงบสุขของเธอได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้วและแน่นอนเธอจะอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆและจะไม่ร้องขอสิ่งใดจากคฤหาสน์เมนเคลเลยแม้แต่อย่างเดียว
"ชุดที่คุณหนูต้องการ ข้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ"
เธอปรายตามองชุดเดรสสีน้ำตาลเรียบๆในมือของเคท ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นมาจากที่นอนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ประตูทางออกด้านหลังของคฤหาสน์อยู่ไม่ไกลจากเรือนเล็กที่เธออาศัยอยู่แถมมันยังไม่มีใครคอยเฝ้าด้วย ไซคีคิดว่าการที่เธอจะออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้มันดูไม่น่าใช่เรื่องที่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
เธอตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเดินทางออกไปจากที่นี่เพื่อเข้าเมือง อยากจะเข้าไปดูในเมืองว่าชาวบ้านของเมนเคลนั้นอยู่กันแบบไหน มีอะไรที่เธอพอจะหาเงินได้บ้างรึเปล่า
ผมยาวสีเงินถูกสวมทับด้วยวิกผมสีน้ำตาล เพราะว่าเส้นผมสีเงินนี่มันสะดุดตามากเกินไป เธอไม่อยากเป็นที่จับตามองก็เลยคิดจะปลอมตัว
"รีบกลับมาก่อนจะมืดนะคะ.."
ในคราแรกเคทยืนยันว่าจะตามไปด้วย แต่คุณหนูของเธอนั้นไม่ยินยอม ไซคีให้เหตุผลว่าจำเป็นจะต้องมีคนอยู่เฝ้าที่นี่ เผื่อมีสาวใช้เข้ามาแล้วไม่พบใคร นั่นดูเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
"เข้าใจแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกเคท"
"อย่าลืมว่าเวลาที่ออกไปข้างนอก ห้ามใช้พลังเวทเด็ดขาดเลยนะคะ ที่นี่ไม่เหมือนกับคาร์โล คนพวกนี้ป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมกับนักเวทยิ่งนัก"
ไซคีส่งยิ้มให้กับเคท สาวใช้ผู้นี้แทบจะเป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวของเธอเลยก็ว่าได้ ชีวิตของไซคีมีเพียงสาวใช้ผู้นี้เท่านั้นที่เป็นห่วงนางจากใจจริง
เธอสวมเสื้อคลุมสีดำก่อนจะเดินออกมาจากเรือนเล็ก ไซคีค่อนข้างคุ้นเคยกับคฤหาสน์แห่งนี้แล้วเพราะช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา งานอดิเรกของเธอมันคือการสำรวจคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง เธอมิได้สนใจหรือว่าอยากจะอยู่ที่นี่ แต่เธอแค่อยากจะหนีไปจากที่นี่ก็เท่านั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาทางหนีเอาไว้ล่วงหน้า
เท้าเล็กๆทั้งสองข้างเดินมายังจัตุรัสใจกลางเมือง ที่นี่คือเมืองอัศวินโดยแท้เพราะสองข้างทางมีแต่ชุดเกราะและดาบวางขายเป็นจำนวนมาก ตรงกลางจัตุรัสไม่ใช่หอนาฬิกาอย่างที่ควรจะเป็นแต่มันคือรูปปั้นของท่านดยุคที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้าของเธอ ไซคีเดินไปเรื่อยๆก็พบเจอร้านขายอาหารมากมาย ที่นี่ไม่ได้แตกต่างกันกับคาร์โลมากนักในเรื่องของความเป็นอยู่ชาวบ้าน
ในมือของไซคีมีขนมปังและเหล้ารัม เธอนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเริ่มทานอาหารพวกนั้น ตั้งแต่มาที่เมนเคลนี่คือครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าตัวเองได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่าความสุข เธอไม่ต้องปั้นยิ้มขึ้นมาเพื่อบ่งบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรต่อหน้าใครทั้งนั้นในตอนนี้
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเธอไป กลิ่นดอกไม้และกลิ่นดินพัดผ่านเข้ามาในความรู้สึกของไซคี เธอเหม่อมองไปยังทุ่งดอกไม้ที่แสนกว้างใหญ่ใจกลางเมือง
สงบสุขดีจังเลยนะ ดูไม่เหมือนกับเมืองที่เต็มไปด้วยคนป่าเถื่อนเลย
"ตู้ม!!"
"พวกนักเวทบุกแล้ว!! รีบหนีก่อนเร็ว!!"
เสียงระเบิดดังขึ้นมาพร้อมกับแสงสีทองที่ส่องประกายบนท้องฟ้า มันคือพลังของนักบุญแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่โจมตีลงมายังชาวเมืองที่กำลังวิ่งหนีตายกันอยู่
การโจมตีที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงทำให้มือของไซคีถึงกับถืออาหารพวกนั้นเอาไว้ไม่อยู่ สายลมยังคงพัดผ่านเธอไป แต่ทว่าที่แตกต่างจากเดิมคือไม่มีกลิ่นของดอกไม้อีกแล้ว แต่กลับมีกลิ่นดินและกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาปะทะจมูกของเธอแทน
"จะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม? หรือจะรอให้แสงสีทองพวกนั้นทะลุผ่านร่างของเจ้าไปก่อน"
เสียงที่เต็มไปด้วยความหอบเหนื่อยดังขึ้นมาจากด้านหลังพร้อมกับร่างกายของเธอที่ถูกอุ้มขึ้น ไซคีมิทันได้กล่าวคำใดชายผู้นั้นก็ออกแรงวิ่งในทันที
"ปะ..ปล่อย!"
เขาพาเธอเข้ามาหลบที่ในซอกตึกแห่งหนึ่งก่อนจะเช็ดคราบดินที่แก้มของเธอออกเบาๆ
"ซุกซนเกินไปแล้ว เจ้ากล้าหนีออกมาจากคฤหาสน์อย่างนั้นหรือ?"
เบื้องหน้าของเธอคือเฟลิกซ์ มือของเขากำลังถือดาบที่ชุ่มโฉกไปด้วยเลือดเอาไว้ข้างหนึ่ง เขามองมาที่เธอด้วยท่าทางหัวเสียสุดๆ
"ทำไม เหล่านักบุญของวิหารถึงได้โจมตีพวกชาวบ้านล่ะคะ?"
"ข้าคิดว่าเรื่องนั้น เจ้าควรจะไปถามแม่เจ้าน่าจะได้คำตอบมากกว่านะ"