บทที่ 7 แม่สามีหน้าเลือด
เสียงเอะอะโวยวายดังเข้ามาพร้อมกับหญิงรูปร่างอวบอ้วน หญิงวัยกลางคนคนนี้คือ หลินอวี่ แม่บุญธรรมของกู้จินเหอสามีของเธอเรียกหลินอวี่ว่า แม่ใหญ่ เพราะเธอไม่ยอมให้เรียกว่าคุณแม่เช่นลูกชายแท้ๆ อีกสองคน หลินอวี่ตามมาดูว่าครอบครัวของคนที่เธอไล่ออกมา อาศัยอยู่อย่างไรในบ้านหลังใหม่
ลี่หยวนวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นแม่ซึ่งยังนอนอยู่ภายในห้อง แม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์เฉียดตายกับการสู้รบปรบมือเพื่อเอาตัวให้รอดจากอาหารฝีมือสามี เช้านี้ตอนใกล้เที่ยงวาวาก็ยังต้องผจญกับเสียงของแม่สามีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“สายป่านนี้แล้วยังนอนได้อยู่อีก ไม่เอาไหนจริงๆ”
เสียงของหลินอวี่ แม้จะอยู่ไกลแค่ไหนแต่ภายในห้องซึ่งอยู่ชั้นในบ้านที่คับแคบเช่นนี้ ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
“สวัสดีค่ะ ฉันไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้ลุกไปต้อนรับ ขอแม่ใหญ่ยกโทษให้ด้วยนะคะ” เหอวาวาถูกประคองด้วยลูกชายทั้งสองคนเดินเข้ามายังห้องโถงของบ้าน เมื่อมาถึงจึงเอ่ยทักแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ฉันก็กะอยู่แล้ว ว่าโหงวเฮ้งของเธอมันเป็นผู้หญิงขี้เกียจ แต่ก็เอาเถอะ ดีนะที่จินเหอไม่ใช่ลูกจริงๆ ของฉัน บ้านหลังนี้ที่พ่อของเขายกให้ก็เห็นแก่ว่ามีหลานหลายคน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางที่จะยกให้โดยที่ไม่คิดเงิน” หลินอวี่ว่าแล้วก็นั่งลงตรงเก้าอี้กลางห้อง
เห็นแม่สามีนั่งลงแล้ว เหอวาวาจึงเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับหลินอวี่ ส่วนเด็กชายทั้งสองก็ยืนแอบข้างกับแม่อย่างต้องการปกป้อง
กู้จินเหอมีนิสัยไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบใคร รู้ตัวว่าเป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรมก็เลยอยู่อย่างเจียมตัว ยอมให้พี่ชายและน้องชายกลั่นแกล้งได้ตามใจชอบ ของทุกอย่างก็ต้องรอให้พวกเขาทั้งคู่เบื่อเสียก่อน ถึงได้ตกมาถึงมือของเขา เมื่อนายท่านตระกูลกู้ยกบ้านหลังนี้ให้ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันทั้งซอมซ่อ และเก่ามากขนาดไหนแต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจ
“ตั้งแต่มาบ้านนี้ยังไม่เห็นจินเหอ ฉันมาเยี่ยมทั้งทีทำไมถึงไม่ออกมาต้อนรับ เสียมารยาทจริงๆ” หลินอวี่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ
ตอนชาติที่แล้ววาวาก็ต้องเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยง มาชาตินี้ถึงแม้ตนไม่ต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นเดิม แต่สุดท้ายคนในครอบครัวของสามีก็ยังคงต้องหนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ
“เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน เธออบรมสั่งสอนลูกๆ ของเธอยังไง ไม่มีใครทำความเคารพฉันสักคน ดูสิแต่ละคนทั้งสกปรกทั้งมอมแมม” หลินอวี่เมื่อเห็นเด็กแฝดชายสองคนยืนอยู่ข้างแม่ก็ให้รู้สึกขัดตา
“หยางหยาง หยวนหยวน สวัสดีคุณย่าใหญ่สิคะ”
วาวาบอกลูกๆ ของเธอทั้งสองคนให้ทำความเคารพหลินอวี่ ลี่หยวนและลี่หยางก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย แต่เมื่อทำตามที่ผู้เป็นแม่บอกครบถ้วนแล้วพวกเขาก็รีบเดินออกไปจากห้องโถง
“อย่าลืมบอกคุณพ่อยกน้ำชามาต้อนรับคุณย่าใหญ่ด้วยนะครับ”
เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ตะโกนไล่หลังมา ลี่หยางจึงหันหลังกลับ พร้อมกับตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“ทราบแล้วครับคุณแม่”
วาวารู้ดีว่าจะต้องรับมือกับคนเหล่านี้ยังไง คนประเภทเดียวกันกับแม่เลี้ยงที่เธอเคยเจอมาสมัยก่อนที่จะมายังยุคนี้ ไม่มีอะไรทำให้พวกเขาตื่นตระหนกหรือตกใจได้มากกว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ
“พอทำความสะอาดแล้วก็พอดูได้ ทำเลก็ไม่เลว แบบนี้ถ้าทำมาค้าขายก็น่าจะทำให้พวกเธอมีรายได้เข้ามามั่ง ที่มาวันนี้ก็เพราะจะคุยกันถึงเรื่องวันข้างหน้า”
“เรื่องวันข้างหน้าคงไม่ได้หมายถึงจะให้พวกเราขายบ้านหลังนี้ให้คุณแม่ใช่ไหมคะ”
“อย่าพูดจาเหลวไหล ฉันกำลังหมายถึงถ้าพวกเธอสามารถทำให้ที่นี่สร้างเงินขึ้นมาได้ ต่อไปฉันก็จะเข้ามาเก็บค่าเช่าจากพวกเธอต่างหาก” หลินอวี่เอ่ยตอบเสียงเข้มคล้ายไม่พอใจที่ถูกลูกสะใภ้รู้ทัน
“บ้านเก่าหลังนี้ เข้ามาครั้งแรกก็นึกว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่ ถึงขนาดทำความสะอาดกันเรียบร้อยดีแล้ว ก็ยังไม่วายมองไปทางไหนก็ยังไม่เจริญหูเจริญตา แบบนี้คุณแม่ยังจะสามารถเก็บค่าเช่าจากพวกเราได้อีกหรือคะ”
“ก็ต้องลองปรับปรุงร้าน หรือไม่ก็ต้องทาสีข้างนอกใหม่ อันที่จริงบ้านหลังนี้ก็เหมาะกับครอบครัวเล็กๆ ดี ไม่ต้องสิ้นเปลืองให้มากใช้แรงงานของพวกเด็กๆ สิจะได้ประหยัด ไม่ต้องไปจ้างช่าง ที่มีฝีมือราคาแพง มันไม่คุ้มหรอกนะ” หลินอวี่เอ่ยแนะนำพลางใช้มือพัดพัดในมืออย่างเกียจคร้าน
“ลูกๆ ของฉันอายุไม่ได้มากอย่างลูกของแม่ใหญ่ พวกเขายังเป็นเด็กเล็ก เรื่องกิจการการค้าก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้สามีฉันก็ยังเอาแต่พร่ำบ่นว่าไม่รู้จะทำอะไรดี แบบนี้เรื่องอนาคตที่แม่ใหญ่พูดถึงก็คงจะต้องเลิกพูดไปก่อนจะดีกว่าค่ะ”
เพราะว่าบ้านเก่าหลังนี้สกุลกู้ยึดมาจากคนที่เอามาจำนองไว้ จะเรียกว่าตึกก็มีแค่สองชั้น ชั้นบนมีสองห้องนอน ชั้นล่างมีห้องโถง ห้องครัว ห้องเก็บของ และส่วนด้านหน้าดัดแปลงทำเป็นร้านขายอาหาร อุปกรณ์โต๊ะเก้าอี้ยังอยู่ครบ
ด้วยอยู่ด้านในสุดของตรอก ถึงแม้ทำเลจะดี แต่ก็ยังทำให้คนที่ผ่านไปมาและลูกค้ารู้สึกว่าเป็นบ้านร้าง บ้านหลังนี้มีพื้นที่ด้านหลังกว้างเล็กน้อย เป็นบ้านเดี่ยวที่ไม่ได้เป็นตึกสูงอยู่อย่างแออัดเช่นครอบครัวอื่น แต่ก็ยังถือว่าคับแคบสำหรับครอบครัวของกู้จินเหออยู่ดี
หลินอวี่ชักสีหน้าใส่ลูกสะใภ้ซึ่งสังเกตว่าปากคอว่องไวกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากเหอวาวาคนเดิมเป็นพวกไม่มีปาก มิหนำซ้ำยังไม่คิดแม้แต่จะพูดอะไรที่ปกป้องตัวเองออกมาแม้แต่ครั้งเดียว
“เห็นจินเหอบอกว่าเธอไม่สบายมาก แต่พอมาเห็นกับตา ฉันก็รู้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล จนป่านนี้เขาก็ยังมีนิสัยเหลวไหลเหมือนเดิม คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ฉันบอกพ่อเขาว่าอย่ายกสมบัติให้ลูกบุญธรรมคนนี้ สวรรค์ จากนี้ไปพวกเราต้องฝากชะตากรรมของลูกไม่เอาไหนอย่างเขาไว้กับเธอแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของแม่บุญธรรมดูถูกดูแคลนสามีของตนเอง วาวาซึ่งถึงแม้จะไม่ค่อยปลาบปลื้มกับวิธีการทำอาหารของสามีนัก แต่ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสามี เธอผู้เป็นภรรยาก็ต้องปกป้องให้ถึงที่สุด
น้ำเสียงเยาะเย้ยถากถางที่มาพร้อมกับคำพูดของหลินอวี่ทำให้เหอวาวาถึงกับต้องจิกเล็บบนกลางฝ่ามืออยู่นาน เธอหายใจเข้าลึกๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป
“ที่วันนี้แม่ใหญ่มาถึงที่นี่ ก็คงจะไม่ใช่เพราะการมาเยี่ยมครอบครัวของฉันหรอกใช่ไหมคะ เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นเพราะว่าต้องการมาพูดคุยถึงเรื่องผลกำไรในวันข้างหน้ามากกว่า” เหอวาวาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอปรับอารมณ์ให้กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
คำถากถาง คำดูถูก เหอวาวาทดบัญชีไว้ในใจ ครอบครัวของเธอมีสมาชิกทั้งหมดห้าคน ทั้งยังเป็นเด็กเล็กถึงสาม หลังจากที่พ่อสามีเสียชีวิต แม่ใหญ่ก็ไล่พวกเธอออกมาจากบ้านใหญ่ทันที ยังย้ายมาได้ไม่นานก็ตามมาระราน ทวงบุญคุณถึงที่แล้ว ความเห็นใจในฐานะลูกบุญธรรมหรือเพื่อนมนุษย์ไม่มีสักนิด