ตอนที่ 2 ผู้ชายหน้าไม่อาย (1)
“ยัยอรนี่จริงๆ เลย จะทำกับข้าวทั้งที กลับเพิ่งสังเกตเห็นว่าเครื่องปรุงหมด”
อนามิกาบ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่อ่านกระดาษจดรายการที่จะต้องซื้อกลับห้อง มีทั้งเครื่องปรุงรสของอรณี และของใช้ส่วนตัวของตัวเอง ด้วยความที่เพิ่งมาอยู่เมืองนี้ได้ไม่นาน อีกทั้งไม่ได้เข้ามาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้บ่อยนัก ทำให้อนามิกาต้องเสียเวลาเดินวนหาของแต่ละอย่างกว่าจะพบ
ในขณะที่เดินไปดูกระดาษจดรายการของที่ต้องซื้อ เธอก็เดินชนเข้ากับใครบางคนอย่างจังจึงเผลอร้องออกมาอย่างตกใจเสียงดังจนทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ รวมไปถึงพนักงานในร้านต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว เธอส่งยิ้มแหยๆ ไปให้พร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอโทษก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้า พบว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บกล่องอาหารแช่แข็งนับสิบกล่องที่ตกเกลื่อนพื้นอยู่
“ขอโทษนะคะ ฉันมัวเดินดูของเพลินไปหน่อย” เอ่ยจบหญิงสาวก็ก้มลงเก็บกล่องอาหารแช่แข็งสองกล่องสุดท้ายตรงปลายเท้าขึ้นมายื่นให้อีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด และตอนนี้นี่เองเธอสังเกตเห็นว่า คนที่เธอเดินชนมีหน้าตาที่หล่อเหลา นัยน์ตาสีน้ำตาลชวนหลงใหล แม้ว่าเครื่องแต่งกายที่เขาสวมอยู่จะเป็นแค่เสื้อยืดสีพื้นธรรมดากับกางเกงยีนเก่าๆ แต่โดยรวมแล้วผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
“ขอบคุณครับ”
“ซื้อเยอะขนาดนี้กินเองหรือคะ” หลุดปากถามออกไปแล้วอนามิกาก็แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเอง
‘ปากไวจริงๆ เลย ดันไปถามผู้ชายที่เพิ่งเจอกันออกไปอย่างนั้น’
“ครับ ซื้อไปตุนไว้ขี้เกียจมาซื้อบ่อยๆ” ชายหนุ่มตอบเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวหน้าตาน่ารักตรงหน้าแอบตบปากตัวเองเบาๆ ไปหลายที ก่อนจะหันมาส่งยิ้มอายๆ ทำให้ใบหน้ารูปไข่ที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นแดงระเรื่อชวนมอง เป็นเหตุให้หัวใจของเขากระตุกอย่างน่าประหลาด
“ค่ะ” อนามิกาตอบรับสั้นๆ ก่อนจะแสร้งไม่สนใจหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป โดยการหันซ้ายหันขวามองหาของที่จะซื้อแก้เก้อ แล้วก็เจอเข้ากับของที่ต้องการพอดี หญิงสาวตรงดิ่งเข้าไปหยิบไม่รอช้า ขณะเดียวกันก็แอบเหลือบมองร่างสูงที่ยืนจัดระเบียบกล่องอาหารในมือให้เข้าที่เข้าทาง และก็เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกมา
“กินอาหารแบบนี้เยอะๆ มีหวังขาดสารอาหารตายกันพอดี แฟนใครนะ ปล่อยปละละเลยจริงๆ เป็นเราหน่อยไม่ได้ แม่จะใช้เสน่ห์ปลายจวักมัดใจเอาให้ลืมอาหารพวกนี้ไปเลย” เสียงบ่นด้วยภาษาไทยลอยขึ้นมา แม้ไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำให้เคเลอร์ที่กำลังจะหมุนตัวเดินไปจ่ายเงินต้องหยุดชะงัก
เขาแสร้งยืนฟังอยู่ตรงนั้นจนเธอบ่นจบ และมันก็ทำให้เขาเกือบจะหัวเราะออกมา คงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าหน้าฝรั่งจ๋าอย่างเขาจะสามารถฟังและพูดภาษาไทยได้ แต่เขามีแม่เลี้ยงเป็นคนไทย ‘แม่บุษ’ เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ห้าขวบ เธอมักจะสื่อสารกับเขาด้วยภาษาไทยแล้วตามด้วยภาษาอังกฤษ นานวันเข้าก็เหลือเพียงภาษาไทยอย่างเดียว และนั่นทำให้เขาฟัง และพูดภาษาไทยได้โดยไม่รู้ตัว
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ชายหนุ่มอยากพูดคุยกับเธอ แต่ไม่รู้จะถามอะไรที่ดีกว่านี้ ครั้นจะให้ถามอย่างใจคิดว่า ‘สนใจจะใช้เสน่ห์ปลายจวักกับผมไหมครับ’ มันก็คงดูไม่ดีเท่าไร
“มะ...ไม่มีค่ะขอบคุณ เชิญคุณตามสบายค่ะ” อนามิกาตอบเสร็จก็ก้มหน้าเดินหนีไปล็อกอื่น เลิกสนใจชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวรีบหาซื้อของที่เหลือให้ครบ จากนั้นก็รีบกลับคอนโดฯ เพื่อช่วยเพื่อนรักทำอาหารไทยกินเป็นอาหารกลางวัน และต้องบอกเลยว่า ฝีมือพวกเธอไม่ตกเลยจริงๆ อร่อยกว่าไปกินตามร้านอาหารไทยใหญ่ๆ บางร้านเสียด้วยซ้ำ
ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจทำให้อนามิกาไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับลงได้ เธอจึงตัดสินใจออกมาชื่นชมความงามในยามค่ำคืนของย่านสตริปที่แต่ละโรงแรมแข่งกันประดับไฟสวยงามละลานตา ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ แต่ดูแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทางโรงแรมเขาจ่ายค่าไฟกันเท่าไรในแต่ละเดือน คิดดูแล้วคงจะแพงน่าดูชม
อนามิกาเดินชมโชว์ฟรีตามหน้าโรงแรมมาได้สักพักก็หยุดที่หน้าโรงแรมซีซาร์พาเลซ ซึ่งมีพระพรหมตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า เมื่อมีความทุกข์ก็ย่อมอย่างมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบแวะเข้าไปกราบไหว้ขอพร หวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เธอหาทางคลายความทุกข์ได้ในเร็ววัน มือบางยกไหว้ท่วมหัวแล้วตบลงที่กระหม่อมตัวเองเบาๆ จากนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าไปที่หน้าโรงแรมเบลาจิโอ เมื่อใกล้จะได้เวลาเริ่มโชว์น้ำพุเต้นระบำ ซึ่งเธอจำได้ดีว่าตอนที่อรณีกับคุณหมอพาเธอมาดูครั้งแรก เธอตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของแสงสีในยามค่ำคืนของลาสเวกัส และความสวยงามของน้ำพุเต้นระบำขนาดไหน
ร่างบางเดินมายืนรวมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ พร้อมกับใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพนาทีแห่งความประทับใจเก็บเอาไว้ ซึ่งมากี่ครั้งๆ เธอก็ทำอย่างนี้เสมอ เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าจะเก็บเอาไว้เป็นคอลเลคชั่นน้ำพุเต้นระบำ ซึ่งก็ไม่ต่างกับนักท่องเที่ยวอีกหลายๆ คนที่มายลโฉมความงดงามของน้ำพุที่โชว์ทุกๆ สิบห้านาที
อนามิกายืนชื่นชมความสวยงามตระการตาตรงนั้นนานพักใหญ่จนพอใจ จึงคิดว่า สมควรกลับห้องพักได้แล้ว อีกอย่างเธอกลัวเพื่อนรักจะเป็นห่วง หญิงสาวถ่ายภาพก่อนจะหมดเวลาในการแสดงในช่วงนั้นเป็นการส่งท้าย ก่อนจะหันหลังกลับ แต่จู่ๆ ก็มีสาวสวยสุดเซ็กซี่นางหนึ่งเดินโซเซคล้ายกับคนเมาเข้ามาชนเธอเข้าพอดี
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะเป็นไรหรือเปล่าคุณ” แม้จะรู้ว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดแต่อนามิกาก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยตามความเคยชินแล้วกระวีกระวาดเข้าไปช่วยพยุงสาวสวยแปลกหน้าที่ล้มลงไปนั่งแหมะกับพื้นอย่างหมดสภาพ แม้เธอคนนั้นจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ตัวสูงใหญ่กว่าเธอมากพอสมควร ดังนั้นการช่วยจึงค่อนข้างทุลักทุเล โชคดีที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคนรู้จักของผู้หญิงคนนี้ร้องเรียกพร้อมกับวิ่งเข้ามาช่วยเธอพยุงสาวขี้เมา
“แจ๊สกี้ ผมบอกให้คุณรอทำไมไม่รอ”
ตอนแรกอนามิกาไม่ได้คิดจะสนใจหรอกว่า ผู้ชายที่เพิ่งมาถึงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่บังเอิญหางตาเหลือบไปเห็นแล้วรู้สึกคุ้นๆ เหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออก เธอจึงหรี่ตามองใบหน้าหล่อคมสันตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้งว่าเธอเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ด้านหนุ่มหล่อที่โดนสาวจ้องพินิจพิจารณาแบบไม่รู้ตัวก็กำลังบ่นอย่างหัวเสียนิดๆ
เขาบอกสาวขี้เมาที่เขาควงจากผับนามว่าแจ๊สกี้ให้รอหน้าซุปเปอร์มาเก็ตระหว่างที่เขาเข้าไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้คืนนี้ แต่พอออกมาหญิงสาวกลับหายไปแล้ว เขาลองเดินหาอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอจนถอดใจ และคิดว่าคืนแรกของการมาเยือนลาสเวกัสจะต้องนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเสียแล้ว แต่ทว่าโชคยังเข้าข้าง เพราะก่อนที่จะกลับคอนโดฯ เขาแวะมาดูน้ำพุเต้นระบำ เลยได้เห็นว่าคนที่เขาตามหาก่อนหน้านั้นกำลังถูกหญิงสาวผมดำร่างเล็กคนหนึ่งช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
“เคเลอร์ คุณหายไปไหนมา” สาวเซ็กซีเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงยานคาง แต่สีหน้ากลับดูระริกระรี้ ก่อนจะสะบัดแขนข้างที่อนามิกาจับไว้ออก แล้วถลาโผเข้าไปบดจูบกับชายหนุ่มคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างดูดดื่ม ไม่แม้แต่จะอายอนามิกาที่ยืนนิ่งตัวแข็งอยู่ใกล้ๆ หรือแม้แต่สายตานักท่องเที่ยวที่มีอีกเป็นร้อย
อนามิกายืนตะลึงมองภาพตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดศีรษะแรงๆ หญิงสาวหน้าแดงก่ำอย่างรู้สึกอายแทน นี่เรามามัวยืนมองอะไรเนี่ย คนพวกนี้ก็เหมือนกัน ทำอะไรไม่รู้จักอายฟ้าอายดินเลยจริงๆ เธอสบถในใจก่อนจะเดินเลี่ยงคนทั้งคู่ที่ยืนจูบกันขวางทางเพื่อกลับห้อง
“เดี๋ยวสิคุณ…” เสียงทักจากด้านหลังทำให้อนามิกาหยุดชะงักโดยอัตโนมัติแล้วหันกลับไปมองด้วยความสงสัย พบว่าคนที่ทักคือผู้ชายหน้าไม่อายจูบสาวโชว์ชาวบ้านเมื่อครู่ ตอนนั้นเองที่เธอจำได้ว่าเขาคือผู้ชายเสน่ห์เหลือร้ายที่เธอเดินชนในซุปเปอร์มาเก็ตเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง
“คุณนั่นเอง นึกว่าจะทักคนผิดเสียแล้ว” ชายหนุ่มผละจากคู่ควงเดินมาหาอนามิกาด้วยความดีใจ เขาไม่คิดว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง แต่พอได้เจอ เขากลับพาผู้หญิงอีกคนติดไม้ติดมือมาด้วย แถมยืนจูบกับเจ้าหล่อนอย่างดูดดื่มกลางถนนอีกด้วย ไม่น่าเลยจริงๆ เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้สำหรับคนไทยแล้วถือเป็นเรื่องที่น่าอาย เขาคงดูไม่ดีในสายตาสาวไทยคนนี้แน่ๆ
“ผมไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีก”
“ค่ะ ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันในลักษณะนี้” อนามิกาบอกพลางยิ้มแหยๆ ก่อนจะหน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้งเมื่อสายตาเผลอไปมองที่ริมฝีปากหนาที่ยังมีรอยลิปสติกสีแดงเลอะอยู่เล็กน้อย
“เอ่อ…” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดต่อ เสียงของแม่สาวที่เขาติดไม้ติดมือมาก็ดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะพร้อมกับกล่องถุงยางอนามัยที่เขาเพิ่งซื้อมา
‘โอ้... มันไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร’
“ของคุณหรือเปล่าคะ ฉันเห็นมันหล่นอยู่ตรงนั้น ถ้าใช่…” เจ้าหล่อนลากเสียงยาวพลางปรือตามองคู่ควงสุดหล่อที่ยืนกลอกตาขึ้นฟ้า ขณะที่มือบางลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกกว้างอย่างยั่วยวน
“คืนนี้เราจะใช้มันให้หมดเลยดีไหมคะดาร์ลิง”
เท่านั้นแหละ อนามิกาที่ยืนนิ่งหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวมองการกระทำของคนทั้งคู่ก็รีบสะบัดหน้าเดินหนีอย่างรับไม่ได้
“ทุเรศที่สุด จูบโชว์ยังไม่พอ ยังจะมาโชว์ถุงยางอีก กลัวคนจะไม่รู้ว่าตัวเองร้อนแรงหรืออย่างไรกัน” หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาเดินฉับๆ ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ปากก็อดที่จะนินทาคนทั้งคู่ไม่ได้ และขณะนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงเขาเรียกอีกครั้ง
“เดี๋ยวสิคุณ!”
เธอไม่หันไปตามเสียงเรียก หากแต่เร่งฝีเท้าจนเกือบจะเป็นวิ่ง แต่ดูเหมือนมันจะยังช้ากว่าคนตัวโตที่ก้าวเร็วๆ ยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถประชิดตัวมากระชากแขนจากด้านหลัง
“กรี๊ด! อุ๊บ…” อนามิกาที่กรีดร้องไม่ทันจะเต็มเสียงดีนักก็ถูกตะปบปากด้วยมือหนา ก่อนจะถูกลากเข้าไปกอดในมุมมืด
หญิงสาวทำเสียงอู้อี้พลางดิ้นเร่าๆ น้ำตาคลอเบ้าอย่างหวาดกลัวระคนตกใจ ไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นต้องมาฉุดเธอเอาไว้ด้วย เขาจะทำอะไร เขาจะปล้นชิงทรัพย์หรือฆ่าข่มขืน
‘โอ้! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยน้องนางด้วย’
“อยู่นิ่งๆ สัญญานะว่า ถ้าผมยอมปล่อย คุณจะไม่ร้อง”
อนามิการีบพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลา น้ำตาที่คลอเบ้าจะไหลแหล่มิไหลแหล่อยู่แล้ว ตอนนี้คนที่เธอเคยคิดว่าหล่อเหลาราวเทพบุตรได้กลายเป็นซาตานไปแล้ว เขาบอกอะไรก็ต้องยอมเออออไปก่อน แต่สบโอกาสเมื่อไร เธอหนีแน่ๆ
เคเลอร์พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะค่อยๆ ลดมือที่ปิดริมฝีปากบางลง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างบางที่ยืนสั่นเทา ขอแอบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวครู่หนึ่งค่อยตัดใจคลายวงแขน แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวที่สัญญาว่าจะไม่ร้องส่งเสียงหันมากระแทกเข่าเข้าที่กล่องดวงใจของเขาเต็มๆ จากนั้นเธอก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“ยัยผู้หญิงตัวแสบ!”