บทที่ 7 ทำไมเลขศูนย์มันเยอะจัง
บทที่ 7 ทำไมเลขศูนย์มันเยอะจัง
จางหมี่กวาดสายตามองใบหน้าของผู้คนรอบโต๊ะอาหาร ภาพความห่วงใยที่ฉายชัดในแววตาของทุกคนทำให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผาของเซียนสวรรค์สั่นไหว เธอจดจำความช่วยเหลือและน้ำใจของครอบครัวป้าถงไว้ในส่วนลึกที่สุดของวิญญาณ และให้คำสัตย์ปฏิญาณกับตัวเองเงียบๆ ว่า... วันใดที่เธอกลายเป็นเศรษฐี มีชีวิตที่สุขสบาย เธอจะไม่ทิ้งให้คนดีๆ เหล่านี้ต้องลำบากแม้แต่วันเดียว
คิดได้อย่างนั้น จางหมี่จึงวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นและจริงจัง
“แม่คะ คุณป้า คุณลุง... หนูสัญญาด้วยเกียรติของหนูค่ะ ว่าในอนาคตเมื่อหนูประสบความสำเร็จ หนูจะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ให้ได้ หนูจะไม่มีวันลืมบุญคุณในวันนี้เลย”
คำพูดของเด็กสาวสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แม้พวกเขาจะรู้ว่าอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน และจางหมี่ก็เพิ่งจะเริ่มเติบโต แต่ความตั้งใจจริงที่ฉายชัดในแววตาคู่นั้นกลับทรงพลังจนทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ทั้งสามพองโตด้วยความสุข
“ดีจ้ะ! พวกเราจะรอนะ หมี่หมี่... แม่เชื่อมั่นในตัวลูกเสมอ” จางเจินเอ่ยให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น มือเรียวลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่
“จริงที่สุด ป้าก็เชื่อหนูนะหมี่หมี่ คนเก่งของป้า” ป้าถงเสริมทัพทันทีด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น จนกระทั่งป้าถงอดถามสิ่งที่ค้างคาใจไม่ได้
“ว่าแต่... ทำไมวันนี้ถึงได้ซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้ล่ะลูก? เงินทองหายากนะ”
ป้าถงถามเพราะรู้ดีที่สุดถึงสถานะทางการเงินที่ฝืดเคืองของน้องสาว แม้จางเจินจะบอกว่าลูกสาวเป็นคนซื้อ แต่เธอก็ยังสงสัยว่าจางหมี่ไปเอาเงินมาจากไหน
“วันนี้หนูไปเดินเล่นที่ตลาดขายของเก่ามาค่ะป้าถง เลยได้โชคติดไม้ติดมือมานิดหน่อย” จางหมี่ตอบเลี่ยงๆ พร้อมรอยยิ้มซุกซน เธออยากให้ป้าสบายใจว่าพวกเธอยังพอมีเงินใช้จ่าย จึงบอกเพียงคร่าวๆ ว่าได้โชคมา (โดยละไว้ว่าโชคนั้นมูลค่าถึง 150,000 หยวน!)
“จริงเหรอคะพี่หมี่หมี่! หนูก็ชอบไปเดินดูของเก่านะคะ แต่ไม่เคยเจอของดีๆ เลย ส่วนใหญ่มีแต่ของปลอมทั้งนั้น” จางซินอี้พูดเจื้อยแจ้วขณะมือก็วุ่นอยู่กับการแกะเปลือกกุ้งตัวโตอย่างคล่องแคล่ว แล้ววางใส่จานจางหมี่โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ร้องขอ
“เขาว่ากันว่าถ้าไปตลาดของเก่าที่เมืองหลี่ฮวา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่กว่านี้ อาจจะมีโอกาสได้ของดีบ้าง แต่หนูยังไม่เคยไปเลยค่ะ มันอยู่ไกลตั้งอีกฟากเมืองแน่ะ”
จางหมี่มองกุ้งในจาน สลับกับมองหน้าลูกพี่ลูกน้องที่ยิ้มแป้นให้เธอ สักพักลุงเจียงกับป้าถงก็คีบเนื้อปลาชิ้นที่นุ่มที่สุด และเนื้อปูที่แกะแล้วมาใส่จานเธอเพิ่มจนพูนจาน
“กินเยอะๆ นะลูก จะได้หายไวๆ”
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้กระแทกใจจางหมี่อย่างจัง มันไม่ใช่แค่การตักอาหาร แต่มันคือการ 'ให้' โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ความรักความเอ็นดูที่พวกเขามอบให้ ช่างเป็นธรรมชาติและบริสุทธิ์ใจ จนเธออดคิดไม่ได้ว่า ในโลกที่โหดร้ายใบนี้ ยังมีที่ที่อบอุ่นขนาดนี้อยู่จริงหรือ
จางหมี่หันไปมองแม่ของเธอ...
ดวงตาของจางเจินเริ่มแดงเรื่อ เธอมองไปยังอาหารในจานลูกสาว สลับกับมองหน้าพี่สาวและพี่เขยด้วยสายตาขอบคุณจากก้นบึ้งหัวใจ
อาหารเลิศรสตรงหน้า... กุ้งตัวโต ปูสดใหม่ ปลาเนื้อแน่น... ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเธอไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน แต่สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่ารสชาติอาหาร คือรสชาติของความเป็นครอบครัวที่โอบล้อมพวกเธออยู่
จางเจินรู้สึกตื้นตันจนก้อนสะอื้นมาจุกที่คอ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายในช่วงที่จางหมี่นอนไม่ได้สติในโรงพยาบาลผุดขึ้นมา... ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด เธอเคยคิดสั้นถึงขนาดเปรยออกมาว่า 'ถ้าลูกเป็นอะไรไป เธอก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ'
แต่ในวันที่เธอเหมือนยืนอยู่ปากเหว ก็มีมือของพี่สาวคนนี้แหละที่ฉุดรั้งเธอไว้ คอยประคับประคองทั้งร่างกายและจิตใจ แม้ครอบครัวพี่สาวจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยลังเลที่จะแบ่งปันน้ำใจให้เธอและลูกเสมอ
น้ำตาเม็ดใสไหลรินอาบแก้มของจางเจินอย่างห้ามไม่อยู่
"ขอบคุณค่ะ... ขอบคุณพี่กับพี่เขยจริงๆ" จางเจินเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นเสียงสะอื้น
ป้าถงยิ้มอ่อนโยน เอื้อมมือมากุมมือน้องสาวไว้แน่น ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้
"ขอบคุณอะไรกันเล่า เจินเจิน... ร้องไห้ทำไมฮึ? พวกเราเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ลำบากก็ต้องช่วยกันสิ ถ้าพี่ไม่ช่วยเธอ แล้วใครจะช่วย"
จางถงรู้ดีว่าน้องสาวผ่านเรื่องราวหนักหนามาแค่ไหน คำพูดในวันนั้นที่น้องสาวจะฆ่าตัวตายตามลูก ยังคงเป็นฝันร้ายที่คอยเตือนใจจางถงเสมอว่า เธอต้องดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ให้ดีที่สุด
จางซินอี้วางตะเกียบลง ขยับมานั่งข้างๆ น้าสาวแล้วกอดแขนเอาไว้ ซบหน้าลงกับไหล่
"จริงค่ะคุณน้า... พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องบอกกันนะคะ อย่าเกรงใจ ซินซินรักคุณน้านะคะ"
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องอาหารราวกับแสงแดดยามเช้า จางเจินมองทุกคนผ่านม่านน้ำตา เธอรู้แล้วว่าเธอไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลย เธอยังมีครอบครัวที่รักเธอสุดหัวใจ และเธอจะไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้
เมื่ออารมณ์เริ่มสงบลง จางหมี่จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เธอต้องการตอบแทนพวกเขาเดี๋ยวนี้... ไม่ใช่แค่คำสัญญาในอนาคต
“คุณป้าคะ...” จางหมี่เอ่ยขึ้น
“วันนี้ฉันได้เงินจากร้านของเก่ามาพอสมควร ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาคุณป้าคอยช่วยเหลือเรื่องเงินแม่มาตลอด เพราะฉะนั้น... โชคดีของฉันในวันนี้ ฉันอยากจะแบ่งปันให้คุณป้ากับคุณลุงด้วยค่ะ อย่าปฏิเสธเลยนะคะ”
จางเจินหันมองลูกสาวด้วยความแปลกใจ เธอไม่รู้จำนวนเงินที่แน่นอน แต่ถ้าลูกสาวตั้งใจจะให้ เธอก็สนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะกับพี่สาวที่แสนดีคนนี้
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงลูก!” ลุงเจียงรีบปฏิเสธทันควัน
“ตอนนี้ครอบครัวหนูจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าใคร อาการของหนูก็เพิ่งจะดีขึ้น เก็บเงินไว้รักษาตัวเถอะลุงไม่เอาหรอก”
“นั่นสิลูก เก็บไว้เถอะ เอาไว้เป็นทุนการศึกษา ป้ากับลุงไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราดูแลกันได้” ป้าถงเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จางหมี่หันไปมองแม่ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ เธอรู้ว่าลำพังตัวเธอคงเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ
“พี่เขย พี่ถง... รับไว้เถอะค่ะ” จางเจินช่วยพูด
“หลานตั้งใจจะให้จริงๆ ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากหมี่หมี่นะคะ ให้แกได้สบายใจเถอะค่ะ”
ป้าถงมองหน้าน้องสาวสลับกับหลานสาว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างจำยอม
“เฮ้อ...พวกเธอแม่ลูกนี่นะ ดื้อพอกันเลยจริงๆ” ป้าถงยิ้มส่ายหน้า
“ก็ได้จ้ะ...งั้นป้าขอรับไว้สัก 200 หยวน เป็นขวัญถุงก็แล้วกันนะ มากกว่านี้ป้าไม่เอานะ”
ป้าถงยอมให้เลขบัญชีมา โดยกำชับหนักแน่นว่าให้โอนแค่นิดเดียวพอ
จางหมี่รับคำยิ้มๆ
"ค่ะป้า แค่นิดเดียวค่ะ"
แต่ในใจกลับคิดการใหญ่กว่านั้น...200 หยวนงั้นเหรอ? ไม่มีทาง! ความดีของพวกท่านมีค่ามากกว่านั้นเป็นล้านเท่า!
เธอรอจนกระทั่งลุงกับป้าและซินอี้กลับถึงบ้าน จึงค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร นิ้วเรียวกรอกตัวเลขลงไปอย่างไม่ลังเล...
...
เมื่อจางถงเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน เสียงเตือนข้อความเงินเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ติ๊ง!
เธอถอนหายใจเบาๆ ด้วยความอ่อนล้าจากการทำงานมาทั้งวัน มือหยาบกร้านล้วงโทรศัพท์ออกมาดูท่ามกลางแสงไฟสลัวจากหลอดไฟหน้าบ้านที่ติดๆ ดับๆ ทำให้เธอมองเห็นตัวเลขบนหน้าจอไม่ชัดเจนนัก
"บัญชี xxxxx5214... ยอดเงินเข้า 30,000... คงเหลือ 33,150 หยวน..."
จางถงพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มบางๆ "ดีนะที่โอนมาแค่ 300 หยวน เป็นค่าขนมหลาน... เอ๊ะ? เดี๋ยวสินะ..."
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความฉงน เธอชะงักฝีเท้า ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ขยี้ตาตัวเองแรงๆ หนึ่งครั้งแล้วเพ่งมองหน้าจอที่สว่างจ้าอีกครั้ง
หัวใจของเธอเริ่มเต้นผิดจังหวะ... ทำไมเลขศูนย์มันดูเยอะผิดปกติ? มันยาวเหยียดจนล้นบรรทัด!
"เสี่ยวซินซิน! มาดูให้แม่หน่อยสิลูก!" จางถงตะโกนเรียกลูกสาวเสียงหลง มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่นระริก "มาดูซิว่าพี่หมี่หมี่โอนมาเท่าไหร่กันแน่ ทำไม... ทำไมแม่เห็นเลขศูนย์มันเยอะจัง แม่ตาฝาดไปใช่ไหม?"
เจียงซินอี้รีบวิ่งออกมาจากในบ้าน รับโทรศัพท์จากมือแม่ไปดู ทันทีที่เห็นตัวเลขชัดๆ ดวงตาของเด็กสาวก็เบิกกว้างจนแทบถลน
“แม่คะ!!! พี่จางหมี่โอนมา 30,000 หยวนค่ะ! ไม่ใช่ 300!!!”
เด็กสาวร้องเสียงหลงด้วยความตกตะลึง "สามหมื่นหยวน! เลขศูนย์สี่ตัวชัดๆ เลยค่ะแม่! นี่มันเงินเดือนพ่อเกือบทั้งปีเลยนะ!"
“อะไรนะ!!!”
เจียงหลีที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มถึงกับสำลัก พรวด! ไอโขลกเขลกหน้าดำหน้าแดง "แค่กๆ! สาม... สามหมื่น!? เจ้าเด็กนั่นโอนผิดหรือเปล่าคุณ? เงินเยอะขนาดนั้นจะโอนมาให้เราทำไม!"
"ฉันก็ว่าต้องโอนผิดแน่ๆ! ตายแล้ว! เงินตั้งเยอะแยะ ป่านนี้ทางโน้นคงร้อนใจแย่แล้ว"
จางถงหน้าซีดเผือด ด้วยความซื่อสัตย์และความเกรงใจ เธอรีบกดโทรหาจางหมี่ทันที มือไม้สั่นจนแทบจะถือโทรศัพท์ไม่อยู่
“ฮัลโหล... หมี่หมี่ลูก! หนู... หนูโอนเงินผิดหรือเปล่า? ป้าเห็นยอดเงินเข้ามาตั้งสามหมื่น! หนูรีบเช็คดูเร็วเข้า!”
“ไม่ผิดหรอกค่ะคุณป้า” เสียงใสๆ ของจางหมี่ตอบกลับมาอย่างใจเย็น ราวกับเงินสามหมื่นหยวนเป็นเพียงเศษเงินเล็กน้อย “หนูตั้งใจโอนให้คุณป้าสามหมื่นหยวนจริงๆ ค่ะ”
จางเจินที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูกสาว ได้ยินบทสนทนานั้นถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน มือทาบอกด้วยความตกใจ สามหมื่นหยวน! ลูกสาวเธอเพิ่งยกเงินก้อนโตให้พี่สาวเธอไปงั้นหรือ!
“ไม่ได้ๆๆ! เงินเยอะขนาดนี้ป้ารับไว้ไม่ได้หรอกลูก!” จางถงร้องเสียงหลง น้ำตาแห่งความร้อนใจเริ่มเอ่อคลอ "หนูกับแม่ลำบากกว่าป้าตั้งเยอะ เก็บไว้ใช้เถอะลูก รีบส่งเลขบัญชีมา ป้าจะโอนคืนเดี๋ยวนี้!"
“คุณป้ารับไว้เถอะค่ะ” จางหมี่พูดดักคออย่างรู้ทัน น้ำเสียงของเธออ่อนโยนแต่หนักแน่น
"อีกไม่ถึงเดือนน้องเสี่ยวซินซินก็ต้องจ่ายค่าเทอมแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ป้ากับลุงทำงานหนักมาทั้งปีเพื่อสิ่งนี้...ให้เงินก้อนนี้เป็นของขวัญค่าเทอมน้องนะคะ ไม่ต้องคิดมากค่ะ หนูยังมีเหลืออีกเยอะ"
“แต่ว่า... มันมากเกินไป...” จางถงพูดไม่ออก ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอขอบตาร้อนขึ้นมาทันที ความกังวลเรื่องค่าเทอมลูกที่กดทับอกเธอมาหลายเดือน จู่ๆ ก็ถูกยกออกไปโดยหลานสาวที่เธอเคยคิดว่าเป็นเด็กน้อย
“คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” จางหมี่เอ่ยย้ำให้มั่นใจ
"หนูเคยบอกแล้วไงคะ ว่าหนูจะทำให้พวกเรามีชีวิตที่สุขสบายให้ได้... เริ่มต้นจากตอนนี้เลยค่ะ รับไว้นะคะ ถือว่าทำเพื่อซินซิน"
คำว่า 'เพื่อซินซิน' ทำให้จางถงใจอ่อนยวบ น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
"หนูง่วงแล้วค่ะคุณป้า ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ!"
เด็กสาวรีบชิงวางสายไปทันที ทิ้งให้จางถงถือโทรศัพท์ค้างแนบหูไว้อย่างนั้น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยแรงสะอื้นแห่งความตื้นตันใจ เธอกอดโทรศัพท์ไว้แนบอก มองหน้าสามีและลูกสาวด้วยน้ำตาแห่งความสุข
...
กลับมาทางฝั่งจางหมี่
“ลูก... ลูกให้เงินป้าถงไปสามหมื่นหยวนเลยเหรอหมี่หมี่?” จางเจินถามเสียงสั่น เธอไม่ได้เสียดายเงิน แต่เธอตกใจในความใจป้ำของลูกสาว
“ใช่ค่ะแม่ หนูรู้ว่าป้าลำบากเรื่องค่าเทอมน้อง และหนูก็รู้ว่าถ้าแม่มี แม่ก็คงทำแบบเดียวกัน” จางหมี่หันมายิ้มหวานให้แม่ แววตาเป็นประกาย
“ส่วนของแม่...หนูโอนเข้าบัญชีให้แล้ว หนึ่งแสนหยวน นะคะ แม่ลองเช็คดูหรือยัง?”
“หา!?”
จางเจินแทบพลัดตกเก้าอี้ ดวงตาเบิกโพลง
"นะ...หนึ่งแสน!? หมี่หมี่! ลูกไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้!? อย่าบอกนะว่าไปทำอะไรไม่ดีมา!"
“แม่ใจเย็นๆ ค่ะ” จางหมี่หัวเราะเบาๆ กับท่าทางตื่นตระหนกของแม่
“หนูขายชุดกาหยกโบราณสมัยราชวงศ์หมิงได้เงินมา 150,000 หยวนค่ะแม่ เป็นของแท้ที่หนูบังเอิญเจอที่ตลาดของเก่า หนูไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายแน่นอน”
จางเจินฟังแล้วก็ต้องยกมือทาบอก หายใจหอบถี่ด้วยความตื่นเต้น เงินหนึ่งแสนหยวน... สำหรับพวกเธอในตอนนี้ มันคือเงินมหาศาลที่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้เลย!
จางหมี่ลอบยิ้ม เธอไม่ได้บอกแม่ว่าเธอเก็บเงินไว้กับตัวอีก 20,000 หยวน เพื่อใช้เป็นทุนในการเดินทางไป ตลาดของเก่าหลี่ฮวา ในอีกสองวันข้างหน้า ตามคำบอกเล่าของเจียงซินอี้
ที่นั่นมีตลาดค้าหยกดิบ... หรือที่เรียกกันในวงการว่า 'ตลาดพนันหิน'
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากของจางหมี่ แววตาของเซียนสวรรค์ฉายชัดถึงความมุ่งมั่นและความสนุกสนาน
ตลาดพนันหินงั้นเหรอ... หึหึ คอยดูเถอะ ว่าจะมีหยกจักรพรรดิหลงเหลือให้เธอเก็บเกี่ยวบ้างไหม!
*** น้องหมี่น่ารักนะ และน้องก็พร้อมจะดูแลครอบครัวแล้ว ****
