บทที่ 4 จี้หยกพันปี
บทที่ 4 จี้หยกพันปี
จางหมี่เงยหน้ามองบ้านเช่าหลังเล็กซอมซ่อที่พวกเธอสองแม่ลูกอาศัยอยู่ มันเป็นบ้านที่เช่าต่อจากตระกูลใหญ่จางอีกที เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องนั่งเล่น กลิ่นอายของความเก่าเก็บก็ลอยมาแตะจมูก
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องล้วนผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนานจนสีซีดจาง โซฟาผ้าลายดอกไม้ที่ยุบตัวลงไปจนแทบจะติดพื้นบ่งบอกอายุการใช้งานได้เป็นอย่างดี
จางหมี่กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางหวนนึกถึงอดีต...
ในภพก่อน... นางคือบุตรสาวและศิษย์เอกอันดับสองแห่งสำนักปราณเซียนสวรรค์ ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวารและความสะดวกสบายขั้นสุด ที่นอนของนางทำจากหยกอุ่นพันปี อาหารการกินล้วนเป็นของเลิศรสที่ปรุงจากวัตถุดิบชั้นยอด เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนตัดเย็บจากไหมฟ้าเนื้อดี ไม่เคยมีสักครั้งที่นางต้องมาสัมผัสกับคำว่า 'อัตคัดขัดสน' เช่นนี้
ภาพความทรุดโทรมตรงหน้าช่างแตกต่างจากตำหนักหรูหราที่นางเคยจากมาราวฟ้ากับเหว...
แต่ทว่า... เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นรูปถ่ายครอบครัวสีซีดจางที่แขวนอยู่เหนือโซฟา และความสะอาดสะอ้านของทุกซอกมุมที่แม่จางเจินเพียรพยายามดูแลรักษา จางหมี่กลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ตำหนักหรูหราของนางไม่เคยมี
นั่นคือ... 'กลิ่นอายของคำว่าบ้าน'
ห้องครัวแม้จะคับแคบและเต็มไปด้วยอุปกรณ์เก่าเก็บ แต่ทุกอย่างกลับถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ จางเจินผู้เป็นแม่คงใช้เวลาไม่น้อยในการขัดถูมัน ห้องนอนเล็กๆ สองห้องถูกแบ่งให้จางหมี่และแม่คนละห้อง เตียงไม้เก่าปูด้วยผ้าห่มลายดอกไม้สีสด แม้จะไม่นุ่มสบายเหมือนเตียงหยก แต่กลับดูอบอุ่นอย่างประหลาด
เมื่อมาถึงบ้าน จางเจินรีบวางสัมภาระแล้วตรงเข้าครัวทันที นางหายไปหลายวัน ของสดในตู้เย็นแทบไม่เหลือ นางจึงตัดสินใจต้มโจ๊กหมูง่ายๆ ให้ลูกสาวทาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาเรียก
“หมี่หมี่ มาทานข้าวลูก แม่ทำโจ๊กเสร็จแล้ว”
บนโต๊ะอาหารมีชามโจ๊กวางอยู่สองใบ จางเจินบรรจงเลื่อนชามใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหมูชิ้นโตจนพูนชามมาตรงหน้าลูกสาว ในขณะที่ชามของตัวเองที่วางอยู่ข้างๆ กลับมีเพียงน้ำข้าวใสๆ เจือจางกับเศษวิญญาณหมูเพียงน้อยนิด
จางหมี่นั่งลงมองชามข้าวตรงหน้า สลับกับมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของแม่จางเจิน
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจที่เคยแกร่งดั่งหินผาของจอมยุทธ์สาวสั่นไหวอย่างรุนแรง...
ในชีวิตก่อน แม่ของนางด่วนจากไปตั้งแต่นางยังจำความไม่ได้ นางเติบโตมาท่ามกลางกฎระเบียบที่เคร่งครัดของสำนัก แม้จะมีท่านพ่อ แต่ท่านก็ยุ่งกับภารกิจจนไม่มีเวลาให้ ความอบอุ่นแบบ 'แม่ลูก' คือสิ่งที่นางโหยหามาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยได้สัมผัส
แต่วันนี้... ผู้หญิงตรงหน้า ผู้หญิงที่ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม ผู้หญิงที่ยอมลำบากเพื่อให้ลูกสบาย กำลังมอบความรักนั้นให้นางอย่างไม่มีเงื่อนไข
ความอบอุ่นสายหนึ่งไหลวาบไปทั่วหัวใจ มันอุ่นยิ่งกว่าพลังลมปราณใดๆ ที่นางเคยฝึกฝน น้ำตาเม็ดใสเอ่อคลอขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว
'นี่สินะ... ความรักของแม่'
จางหมี่สูดลมหายใจลึก ข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา นางเงยหน้ามองจางเจินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป... ไม่ใช่แววตาของคนแปลกหน้าอีกต่อไป แต่เป็นแววตาของลูกสาวที่รักแม่สุดหัวใจ
“แม่คะ...” จางหมี่เอ่ยเสียงสั่นเครือ มือเรียวตักเนื้อหมูจากชามตัวเองไปใส่ชามของแม่จนเกือบหมด
“ทำอะไรน่ะลูก? แม่ไม่หิว หมี่หมี่กินเถอะ ร่างกายกำลังฟื้นตัวต้องกินเยอะๆ นะ” จางเจินรีบห้าม
“กินด้วยกันนะคะแม่...” จางหมี่ส่งสายตาอ้อนวอน แววตาของเธอมุ่งมั่นและจริงจัง “ถ้าแม่ไม่กิน หนูจะกินลงได้ยังไง... หนูสัญญาค่ะแม่ ต่อไปนี้หนูจะไม่ยอมให้แม่ต้องมานั่งกินน้ำข้าวต้มแบบนี้อีกแล้ว”
ในใจของจางหมี่ลั่นวาจาสิทธิ์... นางขอสาบานต่อฟ้าดิน นางจะใช้ทุกความสามารถที่มี พลิกฟื้นชีวิตของครอบครัวนี้ นางจะปกป้องผู้หญิงคนนี้ด้วยชีวิต และจะทำให้แม่จางเจินกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขและสุขสบายที่สุดในโลกให้ได้!
จางเจินมองหน้าลูกสาวที่ดูเติบโตขึ้นมากเพียงชั่วข้ามคืน ขอบตาของนางร้อนผ่าวด้วยความตื้นตัน นางไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของลูกสาวอีก ทั้งสองแม่ลูกนั่งทานข้าวด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศที่ยากจนขัดสนทางวัตถุ แต่กลับร่ำรวยไปด้วยความรักและความอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
...
หลังจากทานอาหารเสร็จ จางเจินไล่ให้ลูกสาวไปพักผ่อน แต่จางหมี่ยังไม่อาจข่มตานอนได้ ปณิธานที่เพิ่งตั้งมั่นเมื่อครู่ผลักดันให้เธอต้องรีบลงมือ
เมื่อเข้ามาในห้องนอนส่วนตัว จางหมี่นั่งขัดสมาธิบนเตียง เริ่มทดลองโคจรพลังปราณเซียนสวรรค์ที่เธอเคยฝึกฝนในภพก่อน เวลาล่วงเลยไปกว่า 5 ชั่วโมง เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผากมน เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปที่จี้หยกเฟิงหวงที่ห้อยอยู่บนคอ ซึ่งกำลังส่องประกายระยิบระยับล้อแสงจันทร์
พลังปราณสีขาวบริสุทธิ์ไหลเวียนรอบกายเธอราวกับสายน้ำที่โอบอุ้ม จางหมี่รวบรวมสมาธิจดจ่ออยู่กับการเชื่อมต่อระหว่างพลังภายในของเธอกับพลังลึกลับของจี้หยกพันปี
วูบ!
เมื่อพลังทั้งสองผสานเป็นหนึ่งเดียว จางหมี่รู้สึกราวกับวิญญาณของเธอหลอมรวมเข้ากับหยกเฟิงหวง ภาพเบลอๆ ของแสงสีต่างๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เธอพยายามเพ่งมองให้ชัดเจน แต่ภาพเหล่านั้นยังคงเลือนราง
'ยังไม่พอ... เพื่อแม่ ฉันต้องทำให้ได้!'
จางหมี่กัดฟันแน่น บังคับจิตให้แน่วแน่ยิ่งขึ้น โคจรพลังไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทาจากความเหนื่อยล้า แต่ภาพรอยยิ้มของแม่และชามโจ๊กน้ำใสเมื่อกลางวันเป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้เธอไม่ยอมแพ้
เฮือก!
จางหมี่ลืมตาโพลง! พริบตาต่อมา เส้นแสงสีทองสว่างวาบพาดผ่านดวงตาดำขลับคู่นั้น!
ภาพเบื้องหน้าชัดเจนแจ่มแจ้งราวกับกลางวัน จางหมี่ลองมองไปที่ประตูห้องนอน เพียงอึดใจเดียว สายตาของเธอก็ทะลุผ่านเนื้อไม้หนาๆ ออกไป ภาพด้านนอกปรากฏขึ้นในคลองจักษุ... โต๊ะทานข้าวที่เพิ่งนั่งเมื่อครู่... ทีวีเก่าๆ ในห้องนั่งเล่น... ทุกอย่างชัดเจนราวกับไม่มีสิ่งกีดขวาง!
เธอลองคงสภาพตาทิพย์ไว้นานเกือบ 15 นาที ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจแล้วหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองก็จางหายไป กลับคืนสู่ดวงตาปกติ
ความรู้สึกเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ร่างกายที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุยังไม่พร้อมรับภาระหนักขนาดนี้ แต่ริมฝีปากบางกลับยกยิ้มด้วยความยินดี มือเรียวกุมจี้หยกที่หน้าอกแน่น
'แม่คะ... รอหนูหน่อยนะ หนูทำสำเร็จขั้นแรกแล้ว'
ตอนนี้เธอมีความหวัง เธอจะใช้พลังนี้ฉุดรั้งครอบครัวให้พ้นจากความยากจน และมอบชีวิตใหม่ที่สุขสบายให้แม่อย่างที่สัญญาไว้!
เช้าวันรุ่งขึ้น จางหมี่ตื่นแต่เช้าตรู่ เธอลองตั้งสมาธิเพ่งมองไปที่ประตูห้องอีกครั้ง แสงสีทองวาบผ่านดวงตา ภาพของแม่ที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้าในครัวปรากฏขึ้นชัดเจน
จางหมี่ดีใจจนเนื้อเต้น เธอรีบเก็บพลังแล้วเดินออกไปหาแม่
หลังจากทานมื้อเช้า จางหมี่บอกแม่ว่าจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน จางเจินไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าลูกสาวดูสดใสแข็งแรงขึ้นมาก อีกทั้งวันนี้เธอก็ต้องรีบไปทำงาน จึงหยิบเงิน 100 หยวนยัดใส่มือลูกสาว กำชับให้ดูแลตัวเองดีๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไป
จางหมี่กำเงิน 100 หยวนไว้แน่น เป้าหมายของเธอในวันนี้ไม่ใช่การเดินเล่น แต่คือการทดสอบพลัง 'ตาทิพย์' ในการหาเงิน!
จากความทรงจำของร่างเดิม การจะหาเงินก้อนโตให้เร็วที่สุดคงหนีไม่พ้นการเสี่ยงโชค ไม่ว่าจะเป็นหวยหรือคาสิโน แต่สิ่งเหล่านั้นต้องใช้เงินทุนซึ่งเธอมีไม่พอ ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ... ตลาดของเก่า
ของเก่าบางชิ้นวางขายในราคาเศษเงิน แต่หากเป็นของแท้ มูลค่าของมันอาจเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว!
จางหมี่ใช้ความทรงจำค้นหาเส้นทาง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตลาดของเก่า ที่นี่คึกคักไปด้วยผู้คนและร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และของสะสม จางหมี่เดินสำรวจด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับแห่งหนึ่ง
เธอคิดว่าร้านเครื่องประดับน่าจะมีของที่มีมูลค่าให้เธอลองทดสอบสายตาดูบ้าง
ภายในร้านเต็มไปด้วยเครื่องประดับวาววับ จางหมี่เดินดูไปเรื่อยๆ จนสะดุดตากับสร้อยคอหยกเส้นหนึ่ง เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากมัน จึงหยิบขึ้นมาดูและสอบถามพนักงาน
ขณะที่กำลังคุยกับพนักงานอยู่นั้น เสียงแหลมปรี๊ดบาดแก้วหูก็ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง
“ว๊าย!!! นี่ใช่จางหมี่รึเปล่าเนี่ย? ไหนว่าโดนรถชนปางตายไง ทำไมถึงมาโผล่ที่ร้านเครื่องประดับได้ล่ะ? อีกอย่าง... สภาพอย่างเธอ กล้าเดินเข้าร้านแบบนี้ได้ยังไง มีปัญญาจ่ายเหรอ?”
เสียงคุ้นหูที่มาพร้อมวาจาดูถูกเหยียดหยาม ทำให้จางหมี่ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ฉากละครน้ำเน่าที่นางเอกต้องเจอนางร้ายตามรังควาน... ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวในโลกนี้
จางหมี่หันกลับไปมองเจ้าของเสียง พบกับเด็กสาวหน้าตาดีแต่แต่งหน้าจัดจ้านเกินวัย ยืนกอดอกมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม
โจวเฟยเฟย... เพื่อนร่วมห้องจอมบูลลี่
โจวเฟยเฟยไม่ชอบหน้าจางหมี่มานานแล้ว เหตุผลง่ายๆ คือจางหมี่สวยกว่า แต่กลับยากจนกว่า ทำให้โจวเฟยเฟยรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าและชอบกดขี่ข่มเหงจางหมี่สารพัด ข้างกายหล่อนยังมีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ด้วย
เสียงของโจวเฟยเฟยเรียกความสนใจจากลูกค้าคนอื่นๆ ในร้าน หลายคนหันมามองจางหมี่ด้วยสายตาดูแคลนเมื่อเห็นเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอสวมใส่
“นี่ไม่ใช่บ้านเธอ ทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้?”
จางหมี่ตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปสนใจสร้อยหยกในมือต่อ
“แกอย่าบอกนะว่าแกจะซื้อของในร้านนี้? ฮ่าๆๆ! ตลกตายชัก! เงินจะกินข้าวยังไม่มี ยังกล้ามาดูเครื่องประดับอีก!” โจวเฟยเฟยหัวเราะร่า ก่อนจะแสร้งทำหน้าตกใจ “หรือว่า... แกวางแผนจะมาขโมยของ!! มิน่าล่ะ ทำเป็นถามรายละเอียดนู่นนี่ ที่แท้ก็ดูลาดเลา!”
คำพูดใส่ร้ายของโจวเฟยเฟยทำให้พนักงานและลูกค้าเริ่มมองจางหมี่ด้วยความหวาดระแวง
จางหมี่วางสร้อยลงอย่างใจเย็น หันมาเผชิญหน้ากับคู่กรณีตรงๆ แววตาที่เคยใสซื่อของจางหมี่คนเดิม บัดนี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาและแข็งกร้าว
“โจวเฟยเฟย... เธอนี่มันน่ารำคาญไม่เปลี่ยนเลยนะ ร้านนี้ไม่ใช่สมบัติของตระกูลเธอ ฉันจะดูของหรือจะซื้อของ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ อย่ามายุ่งกับฉัน”
“เอ๊ะ! นังนี่! แกกล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ! ยายขยะเปียก แกกล้าขึ้นเสียงกับฉันเหรอ!”
โจวเฟยเฟยกรีดร้องเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ ปกติจางหมี่จะก้มหน้าก้มตาตัวสั่นงันงก แต่วันนี้มันไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน!
“เธอไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของฉัน ทำไมฉันจะขึ้นเสียงไม่ได้?” จางหมี่ย้อนกลับเจ็บแสบ “แล้วก็เป็นเธอเองที่เสนอหน้าเข้ามาวุ่นวายกับฉันก่อน”
เด็กสาวเชิดหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“อีกอย่าง... ฉันจะซื้อหรือไม่ซื้อ มันก็เงินของฉัน ไปให้พ้นหน้าฉันได้ไหม... รำคาญ!”
****
