บทที่ 3 จี้หยกพันปี
บทที่ 3 จี้หยกพันปี
จางหมี่เงยหน้ามองบ้านเช่าหลังเล็กๆ ที่สองแม่ลูกนั้นเช่าต่อจากบ้านใหญ่จาง เมื่อเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่เป็นห้องที่ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ที่ผ่านการใช้งานมานาน ถูกขัดถูจนเงางาม โซฟาตัวเก่าที่หุ้มด้วยผ้าลายดอกไม้สีสดใส แม้จะยุบตัวลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงเป็นที่นั่งโปรดของจางหมี่และแม่ เหนือโซฟาแขวนรูปครอบครัวสีซีดจางที่เก็บไว้เป็นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าของสองแม่ลูก
ห้องครัวแม้จะแคบและอุปกรณ์ครัวส่วนใหญ่จะเก่า แต่ก็สะอาดเรียบร้อย จางเจินมักจะใช้เวลามากมายในการทำความสะอาดและจัดระเบียบครัวเล็กๆ นี้ เตาแก๊สเก่าๆ ที่ต้องจุดไฟนานกว่าจะติด แต่ก็สามารถปรุงอาหารอร่อยๆ ให้ครอบครัวได้เสมอ ห้องนอนเล็กๆ สองห้อง ถูกแบ่งให้จางหมี่และแม่ได้ใช้คนละห้อง เตียงไม้เก่าๆ ปูด้วยผ้าห่มลายดอกไม้สีสดใส ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ บรรจุเสื้อผ้าที่ผ่านการซ่อมแซมมาหลายครั้ง แต่ก็ยังคงใช้งานได้ดี มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น มีโต๊ะไม้เล็กๆ วางหนังสือและโคมไฟเก่าๆ จางเจินมักจะนั่งอ่านหนังสือที่นี่ในยามค่ำคืน บางครั้งก็จะพาจางหมี่มานั่งอ่านหนังสือด้วยกัน สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง
แม้สภาพบ้านจะดูทรุดโทรม แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรักที่จางเจินมอบให้กับลูกสาวเสมอ เธอคอยดูแลเอาใจใส่จางหมี่อย่างดี ทำให้บ้านหลังเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นสวรรค์เล็กๆ ของทั้งคู่บ้านหลังนี้เปรียบเสมือนเรือลำเล็กที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทรแห่งชีวิต แม้จะเก่าและผุพัง แต่ก็ยังคงเป็นที่หลบภัยที่อบอุ่นสำหรับจางหมี่และแม่เสมอ เมื่อมาถึงบ้านจางเจินนั้นรีบทำความสะอาดบ้านและเข้าไปทำอาหารเที่ยงสำหรับพวกเธอสองแม่ลูก เพราะไม่อยู่หลายวันทำให้ของที่มีอยู่ไม่มากนั้นเธอจึงได้ต้มโจ๊กให้ลูกสาว และเมื่อเสร็จก็เดินไปเรียกลูกสาวออกมาทานอาหาร
เธอตักโจ๊กสองชามและวางชามที่ข้นมีเนื้อหมูอยู่ในชามหลายชิ้นให้ลูกสาว ส่วนของเธอนั้นเป็นเพียงข้าวและมีน้ำใสๆ อยู่เกือบเต็มชาม เมื่อจางหมี่นั่งลงเธอเห็นชามของเธอและแม่ ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงอีกครั้ง แม่ก็คือแม่จริงๆ เธอยอมกินน้อยเพื่อให้ลูกของเธอได้กินเนื้อ และ ชามข้าวก็ยังใหญ่กว่าของเธออีก นี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของครอบครัวเธอ จางหมี่เริ่มตักโจ๊กทานและเธอยังตักเนื้อใส่ชามแม่ของเธอโดยไม่พูดอะไรเลย
จางเจินรู้ว่าลูกสาวคิดอะไร เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธเพราะเธอไม่อยากให้ลูกสาวรู้สึกไม่ดี ถึงอย่างไรเธอก็รู้สึกเศร้าในใจ เธอโทษตัวเองที่ไม่สามารถมอบชีวิตที่ดีให้ลูกสาวได้ ลูกสาวที่สวยงามของเธอ
หลังทานอาหารแม่ให้เธอพักผ่อน แต่จางหมี่ยังไม่อยากนอน เพราะเธอยังมีภาระกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จ เมื่อเข้ามาในห้อง และลองโคจรพลังปราณเซียนสวรรค์ที่เธอเคยฝึกตอนอยู่ที่สำนัก เวลาผ่านไป 5 ชั่วโมงตอนนี้ร่างกายของจางหมี่นั้นมีเหงื่อเม็ดโตไหลอาบหน้าผากของเธอ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปที่จี้หยกเฟิงหวงที่ส่องประกายระยิบระยับในแสงจันทร์ พลังปราณสีขาวบริสุทธิ์ไหลเวียนวนรอบร่างกายของเธอราวกับสายน้ำ เธอจดจ่ออยู่กับการเชื่อมต่อระหว่างพลังของเธอและพลังของจี้หยกพันปีชิ้นนี้ของเธอ เมื่อพลังทั้งสองผสมผสานกันจางหมี่นั้นรู้สึกราวกับว่าเธอและจี้หยกเฟิงหวงเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จากนั้นภาพเบลอๆ ของแสงสีต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เธอพยายามเบิกตาให้กว้างขึ้นเพื่อมองให้ชัดเจน แต่ภาพก็ยังคงเลือนราง จางหมี่จึงหลับตาลงอีกครั้ง และเริ่มโคจรพลังไปที่ขั้นที่สูงขึ้นอีก ตอนนี้ร่างกายของเธอเริ่มโงนเงนแล้ว แต่เธอก็ยังไม่หยุดที่จะโคจรพลังปราณ ในที่สุดจางหมี่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พริบตาต่อมาดวงตาของเธอมีเส้นแสงสีทองพาดผ่าน เมื่อจางหมี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตอนนี้ดวงตาของเธอนั้น ส่องประกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและภาพที่เห็นต่างๆ นั้นชัดเจนมากขึ้น จางหมี่ลองมองไปที่ประตูห้องของเธอ เพียงไม่นานสายตาของเธอก็สามารถมองทะลุประตูออกไป ไม่นานภาพด้านนอกห้องก็ปรากฎขึ้นในสายตาของเธอทันที เธอมองไปที่โต๊ะอาหารที่เธอนั่งทานอาหารกับแม่ มองไปที่ ทีวิเครื่องเล็กที่อยู่ภายในห้องรับแขก เธอมองอยู่เกือบ 15 นาที จากนั้นจางหมี่ก็หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตอนนี้ดวงตาของเธอก็เป็นปรกติแล้ว เธอรู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นภายใน จางหมี่อยากจะโคจรพลังต่อ แต่ว่าร่างกายนี้เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุมาทำให้เธอรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าอย่างมาก ตอนนี้เธอจำเป็นต้องนอนพักผ่อนแล้ว เมื่อจางหมี่เอนหลังลงนอนบนเตียงมือของเธอก็จับจี้หยกเฟิงหวงที่ห้อยอยู่บนคอเอาไว้ตลอด ตอนนี้เธอมีความหวังแล้ว เธอจะต้องใช้พลังนี้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวให้พ้นจากความยากลำบากนี้ให้ได้ นั้นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่เธอจะหลังไป
เช้าวันต่อมาจางหมี่ตื่นแต่เช้าเธอลองใช้ตั้งสมาธิและเพ่งมองไปที่ประตูเพื่อจะลองดูว่าพลังของเธอนั้นกลับมาบ้างหรือยัง เพียงไม่นานที่มีเส้นแสงสีทองพาดผ่านดวงตาคู่สวยของเธอ จางหมี่ก็มองทะลุห้องนอนออกไปเห็นแม่ของเธอกำลังยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัวเล็กๆ ภายในบ้านนั้นเอง เธอดีใจมากจางหมี่รีบเก็บพลังของตัวเองกลับมาและเดินออกมาหาแม่ของเธอ หลังจากสองแม่ลูกทานอาหารเช้ากันเสร็จจางหมี่ก็บอกแม่ของเธอว่าจะออกไปเดินออกกำลังกายที่สวนใกล้ๆ บ้านสักหน่อย ซึ่งจางเจินก็ไม่ว่าอะไร ดีซะอีกลูกสาวจะได้ฟื้นตัวเร็ว แม้จะเป็นห่วงลูกสาวแต่เมื่อเธอมองดูสภาพโดยรวมของลูกสาวเห็นว่าตอนนี้ลูกสาวของเธอนั้นดูสดใสมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ไม่เหมือนคนที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมาเลย เธอจึงวางใจลงได้เปลาะหนึ่ง และอีกประการคือวันนี้เธอจะต้องไปทำงานแล้วด้วย เธอจึงหยิบเงินออกมาให้ลูกสาว 100 หยวน และบอกให้ลูกสาวดูแลตัวเอง ข้ามถนนให้ระมัดระวังด้วย
จางหมี่รับปากแม่ของเธออย่างแข็งขัน การที่เธออยากออกมาข้างนอกก็เพื่อจะลองดูว่าเธอสามารถใช้ตาทิพย์หาเงินได้หรือไม่ เพราะเธอตั้งใจเอาไว้แล้วหลังจากที่เห็นสภาพของสองแม่ลูกที่อยู่กันด้วยความลำบากเช่นนี้ เธอจำเป็นจะต้องหาเงินให้ได้เร็วมากที่สุด และออกจากสภาพแวดล้อมนี้ไปให้ได้ และตอนนี้ครอบครัวของเธอต้องการที่สุดก็คือเงินนั้นเอง
จากความทรงจำของร่างเดิมที่มีนั้นหากว่าจะหาเงินให้ได้เร็วนั้นเธออาจจะต้องเสี่ยงโชคนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสี่ยงโชคในลอตเตอรี่หรือว่าการพนันในคาสิโน แต่ว่าเหล่านั้นยังจำเป็นต้องใช้เงินในการซื้อและเล่นซึ่งเธอมีไม่มากพอ ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ตอนนี้นั้นคือการลองเสี่ยงโชคที่ตลาดของเก่า เธอคิดว่าเธออาจจะพบของเก่าที่มีค่าและขายเพื่อหารายได้บ้าง เพราะของเก่าบางชิ้นนั้นราคาไม่กี่หยวนแต่หากเป็นของจริงก็อาจจะทำเงินให้เธอได้มากมาย
เมื่อตัดสินใจที่จะไปที่ตลอดเก่า จางหมี่ก็ใช้ความทรงจำจากร่างเดิมนึกถึงสถานที่ตั้งของตลาดและเริ่มออกไปทันที เธอใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตลาดของเก่า ที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายขายสินค้าหลากหลายประเภทจางหมี่มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากที่ไหน แต่เธอก็พร้อมที่จะลองเสี่ยงโชคเธอเดินผ่านร้านค้าต่างๆ บางร้านขายเฟอร์นิเจอร์เก่าบางร้านขายเสื้อผ้าเก่าบางร้านขายของสะสม จางหมี่ตัดสินใจเข้าไปดูในร้านเครื่องประดับเพื่อจะลองดูว่าดวงตาของเธอจะสามารถมองเห็นหยกหรือของเก่าว่าเป็นของจริงได้หรือไม่ เพราะเธอคิดว่าร้านเครื่องประดับเหล่านี้พวกหยกหรือของเก่าน่าจะผ่านการตรวจมาระดับหนึ่งแล้วนั้นเอง
เมื่อเข้ามาในร้านเธอก็เริ่มดูสินค้ามีเครื่องประดับมากมายทั้งสร้อยคอ แหวน ต่างหูจางหมี่หยิบสร้อยคอขึ้นมาดูมันเป็นสร้อยคอหยกโบราณเธอรู้สึกถึงพลังบางอย่างจากมันเธอรู้ว่านี่ไม่ใช่สร้อยคอธรรมดาเธอถามพนักงานว่าสร้อยคอเส้นนี้มาจากไหนซึ่งพนักงานก็บอกรายละเอียดที่พวกเธอทราบให้ลูกค้าเช่นที่ทำมาตลอด พนักงานบอกจางหมี่ว่าเขาซื้อมันมาจากนักสะสมของเก่าเขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ขณะที่เด็กสาวกำลังสอบถามรายละเอียดกับเจ้าของร้านอยู่นั้น เสียงแหลมเล็กเสียดแก้วหูก็ดังขึ้น
“ว๊าย!!! นี่ใช่จางหมี่รึเปล่าเนี่ย? ไหนว่าเธอประสบอุบัติเหตุไงทำไมถึงได้มาอยู่ที่ร้านขายเครื่องประดับได้ล่ะ อีกอย่างเธอกล้าเข้ามาในร้านขายเครื่องประดับได้ยังไงเธอมีปัญญาจ่ายหรือ?"
ใช่แล้วจากความทรงจำเดิมจางหมี่ตอนที่อยู่ที่โรงเรียนเป็นที่รู้จักในเรื่องความยากจนและไม่เคยได้มีโอกาสได้กินอาหารดีๆ ได้เลย เมื่อได้ยินเสียงแหลมน่ารำคาญนี้จางหมี่ก็นึกขึ้นมาได้…นี้มันเหมือนกับฉากที่เธอเคยดูงิ่วตอนที่อยู่ที่ยุคก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาเลยนะที่นางเอกจะต้องถูกนางร้ายตามรังครวญไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ว่าจางหมี่คนก่อนก็ยากจนจริงๆ ทำให้เมื่อมีคนมาย้ำปมนี้ทำให้จางหมี่คนนี้ว่าจึงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนั้น เธอค่อยๆ หันไปมองเจ้าของเสียงน่ารำคาญนั้น จางหมี่ต้องหรี่ตาและนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงจำได้ว่านี้คือใคร
โจวเฟยเฟย….เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของจางหมี่ ในชั้นเรียนโจวเฟยเฟยมักหัวเราะเยาะจางหมี่ รังแกเธอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอมักทิ้งขยะบนโต๊ะและทำลายสมุดเรียนของจางหมี่ เหตุผลที่โจวเฟยเฟยไม่ชอบจางหมี่ ไม่เพียงแต่ที่จางหมี่หน้าตาสวยกว่าเธอมาก และยังเป็นเด็กยากจนที่สุดในห้องอีกด้วย โจวเฟยเฟยชอบให้เพื่อนชมว่าเธอสวยที่สุดแต่เมื่อมีจางหมี่คำชมนั้นก็เหมือนจะไม่เป็นจริงแล้ว นี้ก็เลยเป็นเหตุผลที่โจวเฟยเฟยไม่ชอบจางหมี่นั้นเอง จางหมี่เหลือบตามองไปที่ผู้หญิงอีกคนที่อายุเท่ากัน ยืนอยู่ข้างโจวเฟยเฟย แต่จางหมี่ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร ตอนนี้ในร้านมีลูกค้าอยู่หลายคน เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงทักที่ค่อนข้างดัง ทุกคนในร้านหันไปมองที่จางหมี่เป็นจุดเดียว คนที่ได้รับการศึกษามาดียืนนิ่งและสนใจเรื่องของตัวเอง ในขณะคนที่หยิ่งยโสต่างมองมาที่เธอด้วยความไม่ชอบใจและดูแคลน เพราะจางหมี่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ พวกเขาไม่ชอบที่จะอยู่สถานที่เดียวกันกับคนยากจนเหล่านี้
“นี่ไม่ใช่บ้านเธอ ทำไมฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?”
จางหมี่พูดขึ้นมาก่อนจะหันไปมองเครื่องประดับต่อ
“แกอย่าบอกฉันนะว่าแกสามารถซื้อของในนี้ได้ ฮาฮาฮา!!! ตลกตายล่ะ เงินจะกินข้าวยังไม่มี ยังกล้ามาดูเครื่องประดับอีก?” โจวเฟยเฟยหัวเราะเยาะ ทันใดนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจและดูถูกจางหมี่ต่อไป ตามประสาตัวร้ายปลายแถว
“หรือแกวางแผนจะขโมยของที่ร้านนี้!!! แม้!!ดูสิทำเป็นถามรายละเอียดทำเหมือนกับตัวเองสามารถที่จะซื้อของได้อย่างนั้นแหละ?”
ในเวลานั้นทุกคนที่มองจางหมี่อยู่ โดยเฉพาะพนักงานต่างทำหน้าตื่นตกใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาเชื่อที่โจวเฟยเฟยพูดจางหมี่รู้สึกรำคาญจึงพูดออกมาว่า
“โจวเฟยเฟยเธอนี้มันน่ารำคาญจริงๆ นะ ร้านนี้ไม่ใช้ร้านของบ้านเธอ ถ้าฉันจะดูของแล้วเธอจะมีปัญหาอะไร อย่ามายุ่งกับฉัน ” ดวงตาของจางหมี่เต็มไปด้วยความเย็นชา
“เอ๊ะ แก!!!กล้าพูดกับฉันแบบนี้หรือยายกระจอก แกกล้าขึ้นเสียงกับฉันเหรอ!”
เสียงของโจวเฟยเฟยยิ่งแหลมและดังขึ้นเหมือนว่านี้บ้านของเธอเอง เพราะปรกติจางหมี่ไม่เคยมีปากมีเสียงเวลาเธอรังแก จางหมี่มักจะก้มหน้าเงียบหรือไม่ก็ร้องไห้เท่านั้น แต่วันนี้ทำไมมันดูน่ากลัวแปลก โจวเฟยเฟยคิด
“เธอไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของฉันนี่ ฉันจึงจะขึ้นเสียงกับเธอไม่ได้ และก็เป็นเธอที่มาวุ่นวายอยู่กับฉันนี้ ”จางหมี่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“อีกอย่างฉันจะซื้อหรือไม่มันเป็นเรื่องของฉัน ไปให้พ้นได้มั้ยรำคาญ!!”
****