บทที่ 2 ทะลุมิติ
บทที่ 2 ทะลุมิติ
ความรู้สึกชาๆ ปวดๆ ราวกับมีดมาผ่าซากเนื้อ ทำให้จางหมี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพเบลอๆ ของห้องสีขาวและ เธอพยายามขยับตัวแต่ก็ทำได้เพียงกระพริบตาเบาๆ เท่านั้น ความทรงจำเริ่มกลับมาทีละน้อย ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่ห้องฉุกเฉินรอรับการรักษาอยู่
ภาพเหตุการณ์ในอดีตพรั่งพรูเข้ามาในหัว มันเป็นความทรงจำของร่างนี้ที่เธอย้ายวิญญาณมาเด็กสาวคนนี้มีชื่อเดียวกันกับเธอ เธอเป็นเด็กหัวช้าที่ต้องนั่งอยู่หลังห้องตลอด อยู่มาวันหนึ่งมีนักเรียนชายคนที่เธอแอบชอบมาสารภาพรักกับเธอทำให้เธอดีใจมาก เธอเฝ้าแต่คิดถึงเขาอยู่ทุกวัน จนมาวันหนึ่งเธอได้ทราบความจริงว่า การที่เด็กนักเรียนชายคนนั้นสารภาพรักกับเธอนั้นเป็นเพียงเกมส์ที่เขากับเพื่อนพนันกันเท่านั้น ด้วยความเสียใจที่ได้รู้ว่าเธอเป็นเพียงตัวตลกประจำโรงเรียนเท่านั้นทำให้ เด็กสาวที่น่าสงสารคนนี้เดินออกมาจากโรงเรียนในสภาพเหม่อลอย เธอข้ามถนนโดยที่ไม่ดูรถที่วิ่งมาอย่างเร็ว และในท้ายที่สุดก็ถูกรถชน
ก่อนที่จางหมี่จะย้ายวิญญาณมาสู่ร่างเด็กสาวในยุค 2024 เธอเคยเป็นศิษย์อันดับสองของสำนักที่มีชื่อเสียง วิชาต่อสู้ของเธอโดดเด่น และพลังปราณของเธอก็ล้ำเลิศไม่แพ้กัน นอกจากนี้จางหมี่ยังมีความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรและการหลอมยารักษา ซึ่งเรียนรู้จากอาจารย์ที่เป็นเพื่อนสนิทของบิดา อาจารย์คนนั้นไม่เพียงถ่ายทอดวิชาต่อสู้และปราณเท่านั้น แต่ยังสอนศาสตร์การรักษาด้วยพลังปราณ ซึ่งเธอใช้เพื่อรักษาผู้คนและตนเองได้
เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงหลังจากฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่ จางหมี่พยายามรวบรวมสมาธิและพลังทั้งหมดที่เธอมี เธอต้องต่อสู้กับความอ่อนล้าที่กำลังถาโถมเข้าสู่ร่างกาย ทันใดนั้นมือข้างซ้ายของเธอก็รู้สึกเหมือนกำอะไรบางอย่างไว้แน่น จางหมี่ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาช้า ๆ และเมื่อเธอแบมือออก สิ่งที่เห็นคือ จี้หยกสีแดง ซึ่งเป็นของสำคัญที่ท่านพ่อของเธอมอบให้
จางหมี่ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับได้พบสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมจี้หยกนี้ถึงตามเธอมายังโลกใหม่ได้ แต่เธอรู้สึกถึงพลังอันคุ้นเคยที่ซ่อนอยู่ในจี้หยกนั้น
เธอรวบรวมพลังปราณและส่งผ่านเข้าไปในจี้หยกทันที เมื่อพลังนั้นถูกถ่ายทอดออกไป จี้หยกสีแดง ก็เริ่มเปล่งแสงสีแดงทองสว่างจ้า แสงนั้นแทรกซึมไปทั่วร่างของจางหมี่ เส้นแสงสีแดงทองค่อย ๆ เลื้อยไปตามบาดแผลของเธอ เสียงกระซิบของพลังที่เธอคุ้นเคยดังก้องในหัว บาดแผลที่เคยเจ็บปวดและฉีกขาดเริ่มสมานตัวอย่างช้า ๆ ความเจ็บปวดที่เคยรู้สึกเริ่มบรรเทาลงทีละน้อย
จางหมี่หายใจเข้าลึก รู้สึกถึงพลังชีวิตที่ค่อย ๆ กลับคืนมา พลังจากจี้หยกยังคงไหลเวียนไปทั่วร่าง ทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นในทุกขณะ
ขณะที่จางหมี่หลับตาเพื่อรวบรวมพลังและฟื้นฟูสภาพร่างกาย ความรู้สึกถึงความอบอุ่นและการกอดรัดเริ่มเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด เสียงร้องไห้ของใครบางคนดังขึ้นอย่างชัดเจน มันไม่ใช่เสียงของความเจ็บปวดหรือความกลัว แต่เป็นเสียงของความรักและความห่วงใยที่แท้จริง
“หมี่หมี่ ลูกแม่เป็นอย่างไรบ้าง ฮื่อออ ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้”
จางหมี่ค่อย ๆ ลืมตามองไปยังคนที่กอดรัดเธออยู่ เธอเห็นหญิงสาววัยกลางคนที่มีผมเผ้ากระเซิงและร่างกายทรุดโทรม ร่างกายของเธอแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความเสียใจอย่างลึกซึ้ง จางหมี่พยายามรวบรวมความทรงจำจากร่างนี้ คิดว่าเธอเคยเห็นหญิงสาวนี้ที่ไหนมาก่อน
ไม่นานนัก จางหมี่ก็ตระหนักได้ว่า หญิงวัยกลางคนที่กอดเธอไว้นั้นคือ จางเจิน แม่ของเธอเอง ความทรงจำและความรู้สึกที่มีต่อแม่ของเธอเริ่มกลับมาชัดเจนในใจ จางเจินผู้เป็นแม่ได้เห็นลูกสาวของตนอยู่ในสภาพที่เลือดอาบและนอนนิ่งเหมือนกับของไร้ค่าที่ถูกโยนทิ้งทำให้เธอเสียใจและเสียขวัญมาก
จางหมี่พยายามจะขยับมือและเรียกสติของแม่ออกไปจากความเศร้า "แม่… แม่คะ ฉันไม่เป็นไร" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าแต่เต็มไปด้วยความหวัง
จางเจินยิ่งกอดรัดลูกสาวของเธอแน่นขึ้น ร้องไห้ด้วยความดีใจและความโล่งใจที่ได้รับรู้ว่าลูกสาวของเธอยังมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกของความรักและความห่วงใยทำให้ทั้งสองคนรู้สึกเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
"หมี่หมี่… ลูกแม่ลูกไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า เจ็บตรงไหน บอกแม่ บอกแม่ …" เสียงของจางเจินสั่นเครือด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย จากนั้นก็ลูบผมลูบตัวลูกสาวของเธอ
จางเจินพยายามเพ็งมองไปที่บาดแผลที่ทำให้เลือดของลูกสาวไหลออกมามากมายขนาด แต่ทว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นคือ รอยแผลเล็กๆ ที่มีเลือดซึมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จางเจินรู้สึกสงสัยมาเพราะว่าตามเนื้อตัวของลูกสาวนั้นเต็มไปด้วยเลือดแต่ทำไม …ทำไมแผลถึงได้เล็กขนาดนี้เล่า..
จางหมี่เห็นสายตาสงสัยของแม่เธอจึงได้เอ่ยอีกว่า
"ความจริงรถไม่ได้ชนหรอกค่ะ ฉันหกล้มก่อน รถเบรคทันทำให้ฉันเป็นแผลเล็กๆ เท่านั้น" เธอรู้ว่าหากบอกว่าหากไม่บอกเช่นนี้แม่ของเธอคงจะไม่ยอมเชื่อแน่นอน จางเจินมองดูแผลของลูกสาวใกล้ๆ อีกครั้งก็ได้รู้ว่าเป็นแผลเล็กๆ จริงๆ อย่างที่ลูกสาวบอกเธอถึงกับถอนหายใจด้วยความโลกอก เพราะหากว่าลูกสาวเป็นอะไรไป เธอต้องอยู่ไม่ได้แน่นอน...
*****