บทที่ 5 เมื่อจันทร์เต็มดวง
อรุณลักษณ์บิดกายบนเตียงหลังจากผ่านค่ำคืนอันยาวนาน นึกภาพใบหน้าชายที่ช่วยเอาไว้แล้วรู้สึกผ่าวร้อน เขาช่างหล่อเหลามีแววตาชวนหลงใหล แต่เธอไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาคงมีศัตรูมากมาย และไม่พ้นมีหญิงสาวมาติดเช่นเดียวกัน คนตัวเล็กถอนหายใจสะบัดผ้าห่มออกจากกาย แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับตนเอง
เธอหยิบชุดพยาบาลมาสวมใส่ แล้วสำรวจตนเองอีกครั้งในกระจก ผ่านเรื่องร้ายๆ มา พอกลับมาใช้ชีวิตปกติ มันเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ป่านนี้ชายคนนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง รีบสะบัดไล่ความคิด ไม่ควรนึกถึงเขาอีกแล้ว คฤหาสน์หลังนั้นก็น่ากลัวเกินไป
มาถึงโรงพยาบาล เธอเข้าห้องพักแล้ววางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ ออกมาทำหน้าที่ตนเองตรงเคาท์เตอร์หน้าห้องฉุกเฉิน
“หายไปไหนมาเหรออรุณ ผมเป็นห่วงรู้ไหม” คุณหมอครีสเอ่ยทัก แล้วยิ้มกว้าง
เธอยิ้มตอบ “ไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ”
“ไม่สบายแล้วไม่มาหาผมล่ะ ผมรักษาได้”
“แหม... อรุณเขินคุณหมอนี่คะ” เธอแสร้งเย้า
ทว่าคนฟังกลับหน้าแดง ทำอะไรไม่ถูก แหงนหน้ามองเพดานกลบเกลื่อนความรู้สึกภายใน จนเพื่อนพยาบาลต้องสะกิด แล้วกระซิบ
“หมอครีสชอบอรุณจริงๆนะ”
คนฟังชะงัก แล้วยิ้มบางๆ
“ฉันรู้แล้วล่ะ ก็แค่อยากแกล้งคุณหมอเท่านั้นเอง” เธอกระซิบตอบเพื่อน
“ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะหมอ” เธอเอ่ยชวน เพราะอยากลืมเรื่องบางอย่างภายในจิตใจ ตอนนี้มันยังคงวนเวียนไม่ไปไหนเลย
“ได้เหรอครับ” คุณหมอยิ้มกว้าง
“ได้สิคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจอกันตอนเที่ยงนะครับ”
หญิงสาวพยักหน้าให้หมอหนุ่ม “ค่ะ”
มือเที่ยงที่ร้านเบอร์เกอร์ อรุณลักษณ์อมยิ้ม ไม่คิดว่าหมอจะไม่รู้จักการจีบสาวเอาเสียเลย ปล่อยให้เธอกินร้านแบบนี้เนี่ยนะ แต่ไม่เป็นไร อาจเพราะเขายังไม่ประสา แก้วโค้กถูกวางไว้ตรงหน้า หญิงสาวหยิบมาดื่ม
“หมอมีผ่าตัดไหมคะวันนี้” อรุณลักษณ์ชวนคุย
“มีพรุ่งนี้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ว่างทั้งวันน่ะสิคะ”
“ก็ไม่เชิงนะครับ มีเคสที่ต้องศึกษาอยู่”
ครีสเป็นหมอศัลยกรรมมือดีทีเดียว เขาเก่งทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แต่ไม่เก่งด้านเข้าสังคมเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่หน้าตาคมคายไม่น้อย
เธออ้าปากเพื่อพูดคุยอีกครั้ง ทว่าอกข้างซ้ายกับปวดขึ้นมาราวกับมีเข็มทิ่มแทงอยู่ ใบหน้าเริ่มซีดเซียว ครีสขมวดคิ้วมองสีหน้า
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เธอส่ายหน้า “เปล่าค่ะ แค่ปวดหน้าอกข้างซ้ายนิดหน่อย”
ครีสมีสีหน้าเครียดขึ้น
“ระวังด้วยนะครับ เผื่อเป็นอาการของโรคหัวใจ”
อรุณลักษณ์ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันทราบว่าอาการโรคหัวใจเป็นอย่างไร”
“ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจนะครับ” เขาแย้ง แล้วยิ้มอ่อนโยน
“ค่ะ”
จบมื้ออาหาร ครีสแยกตัวออกไปเพราะต้องอ่านข้อมูลคนไข้ต่อ ส่วนเธอต้องเข้าร่วมการผ่าตัด ทว่าไม่นานร่างกายไม่อาจทานทน ทำเอาเธอเป็นลมจนเพื่อนร่วมงานต้องช่วยกันแบกออกมา อรุณลักษณ์ฟื้นมาในห้องพัก
เธอลุกนั่งจับหน้าอกข้างซ้าย เหตุใดมันจึงเต้นแรงและรัวขนาดนี้ หรือเพราะโรคหัวใจอย่างที่ครีสว่า
“หายหรือยัง”
คนถูกถามเงยหน้ามอง แล้วยิ้มบางๆ
“หายแล้วจ้ะ ขอโทษด้วยนะอลิส”
“พักผ่อนน้อยหรือเปล่า พักนี้อรุณเหม่อบ่อยๆ นะ” อลิสทัก
ไม่ให้เหม่อได้อย่างไร ในหัวมันมีแต่ภาพเขาคนนั้นตลอด ใบหน้าคมคาย นัยน์ตาสีแดงราวกับโลหิต มันลืมไม่ลงไม่รู้ทำไม
“ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยคงต้องลากงานไปพักบ้างแล้ว” อรุณลักษณ์แสร้งเย้ากับเพื่อน
“พักบ้างก็ดี เราเห็นอรุณทำแต่งาน อยู่คนเดียวจะเอาเงินไปใช้อะไร ไม่เหมือนเราภาระเยอะจะตาย”
“อยากทำเก็บไว้ตอนแก่น่ะ ไม่มีลูก ไม่มีใคร ก็เลยต้องเก็บเงินไว้”
อลิสยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วขยับเข้ามาใกล้
“หมอครีสไง สร้างครอบครัวกับเขาเสียสิ” เธอแสร้งล้อเพื่อน คนฟังชะงัก
“ต้องคิดดีๆ ก่อนจ้ะ ไม่ใช่อยู่ดีจะมาเป็นครอบครัว เราไม่อยากซ้ำรอยเดิมอีก” เธอเข็ดกับความรัก เพราะมีแต่ผิดหวังช้ำใจตลอด อาจเพราะเป็นคนไทย เธอถือเรื่องความสัมพันธ์ แค่ไม่อยากนอนกับใครให้เกิดปัญหาในตอนหลัง
หากเธอมั่นใจ คงมอบกายมอบใจให้ไป ทว่าแต่ละคนเล่นเอาหัวใจแทบพัง ต้องรักษายาวตลอดเลย
“จ้า แม่คนสวย” อลิสเย้า
อรุณลักษณ์หยิบกระเป๋าสะพายไหล่ แล้วลุกยืน เพื่อนร่วมงานจ้องมองด้วยความเป็นห่วง
“จะกลับเลยเหรอ” อลิสถาม
“คงกลับเลยแหละ ไม่ไหว วันนี้เพลียไม่รู้เป็นอะไร”
“เดินทางดีๆ นะ”
เธอพยักหน้าช้าๆ แล้วพาตัวเองออกมาจากห้องพัก เดินเท้ากลับห้องซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก เปิดประตูห้องออกแล้วโถมกายลงนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้ทำไมมันช่างวุ่นวายนัก เหนื่อยยิ่งกว่าทุกวัน หรือเพราะเจอเรื่องน่าตื่นเต้นมากันแน่