ตอนที่ 5 ดูแลผมแค่คนเดียว (1)
เราใช้เวลาเดินทางครู่ใหญ่กว่าจะถึงร้านอาหาร อันเนื่องมาจากการจราจรบนท้องถนนที่ติดขัด ไหนพี่ไปร์ทพร่ำบอกว่าใช้รถยนต์ส่วนตัวมันสะดวกสบายกว่าไงแล้วที่เป็นอยู่นี่คืออะไร ผมว่ามันก็พอกัน เผลอ ๆ ขนส่งสาธารณะบางอย่างยังรวดเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ
อันที่จริงการสัญจรในเมืองหลวงเรียกได้ว่ารถสามารถติดได้ทุกช่วงเวลา ไม่เลือกว่าต้องเป็นเฉพาะตอนเช้าหรือตอนเย็น อยู่ที่แต้มบุญของคุณแล้วล่ะว่าจะเจอแจ็คพอตหรือเปล่า
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เลย...
หลังจอดรถเสร็จเรียบร้อยเราทั้งสองต่างไม่รอช้าที่จะเดินย่างกายเข้าไปภายในร้าน ซึ่งถูกตกแต่งราวกับนำภาคอีสานมาตั้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ แม้จะไม่มีเงินมากพอจนพาหม้อดินไปเลี้ยงอาหารหรู ๆ กระนั้นผมก็ไม่ใจร้ายถึงขั้นให้ดาราในสังกัดนอนกลางดินกินกลางทราย
“สวัสดีค่ะ มากันกี่ท่านคะ” พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ด้านหน้ารีบตรงเข้ามากล่าวคำทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“สองครับ” ผมเป็นคนตอบคำถามนั้น ก่อนที่พนักงานจะหันไปกวาดสายตาสำรวจมองหาโต๊ะว่าง
“เชิญทางนี้ค่ะ” เธอผายมือเชื้อเชิญ พร้อมย่ำเท้าเดินนำหน้าไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งอยู่ด้านในสุด และไม่ลืมที่จะยื่นเมนูส่งมาให้หลังจากที่เราหย่อนกายนั่งลงบนเบาะนุ่ม
“อยากกินอะไรสั่งได้เต็มที่เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ” ผมบอกออกไปอย่างใจดีโดยไม่ถามไถ่เงินในบัญชีของตนเองบ้างเลย
“พี่ตะวันสั่งให้ผมดีกว่าครับ”
“โอเค” ไม่ต้องรอให้หม้อดินอธิบายเพิ่มเติมผมก็เข้าใจดี เขาคงไม่คุ้นชินกับเมนูที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจึงเลือกไม่ถูกว่าควรสั่งอะไร เลยให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างผมคอยแนะนำให้
“เอา…” ชื่อเมนูที่ต้องการถูกเอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปาก พนักงานสาวรีบจดตามทันทีเพื่อไม่ให้ตกหล่น “หม้อดินจะรับน้ำอะไรดีครับ?”
“น้ำเปล่าครับ”
“เอามาสองเลยครับ” หูเงี่ยฟังคำตอบจากเด็กในสังกัด เมื่อได้ยินแล้วจึงบอกพนักงานอีกครั้งหนึ่ง
“ขออนุญาตทวนรายการอาหารทั้งหมดนะคะ มี…”
พอมานั่งฟังเมนูที่ตนเองสั่งไปเมื่อครู่แล้ว ก็เพิ่งคิดได้ว่าจะสั่งไปถมที่หรืออย่างไร
ผลลัพธ์จากความหน้ามืดเป็นเหตุสังเกตได้…
“ถูกต้องครับ” ผมยืนยันรายการอาหารเมื่อชื่อเมนูที่พนักงานร่ายมานั้นไม่มีอะไรตกหล่น และไม่ได้เกินมาจากที่สั่ง “ขอรสชาติแบบไม่ต้องเผ็ดมากนะครับ”
ท้ายประโยคไม่วายกำชับ แม้หม้อดินจะบอกว่ากินเผ็ดได้กระนั้นผมกลับคิดว่าอะไรที่มากเกินไปมันคงไม่ดีต่อกระเพาะ เดี๋ยวน้องจะแสบท้องเอาได้ ส่วนตัวผมไม่เป็นอะไรหรอกชิลล์ ๆ รสชาติเหล่านี้กินมาทั้งชีวิตจนชินปากเสียแล้ว
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” กล่าวจบเธอก็เดินจากไป และมีพนักงานอีกคนเข้ามาแทนที่เพื่อเสิร์ฟน้ำให้ดื่มระหว่างรออาหาร
“สั่งมาเยอะเกินไปหรือเปล่าครับ” เมื่ออยู่กันตามลำพังร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามจึงเปิดปากถาม
“พี่ก็ว่าอย่างนั้น สั่งแบบหน้ามืดก็เป็นแบบนี้แหละครับ” ผมพูดติดตลกอย่างไม่คิดอะไร ทว่าหม้อดินกลับตื่นตระหนก
“พี่ตะวันจะเป็นลมเหรอครับ?” กระแสน้ำเสียงที่โพล่งถามเปี่ยมล้นไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำสีหน้าที่แสดงออกมานั้นยังบ่งบอกว่าผมไม่ได้คิดไปเอง
“ไม่ใช่ ๆ” รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหม้อดินทำท่าจะผุดลุกจากที่นั่งเพื่อตรงเข้ามาดูอาการ “คำว่าหน้ามืดที่พี่จะสื่อก็คือหิวจนสั่งของทุกอย่างมาแบบไม่ทันได้คิดน่ะ เห็นอะไรน่ากินก็สั่ง ๆ ๆ อะไรทำนองนี้”
พูดให้เด็กนอกเข้าใจยากเลยต้องมาลำบากอธิบายเช่นนี้ อย่าหาทำนะทีหลัง บอกใคร? บอกตัวเองนี่แหละ
“อ๋อ” หม้อดินครางรับในลำคออย่างโล่งอก และขยับตัวนั่งที่ตามเดิม
“สรุปใครต้องดูแลใครเหรอครับ” ผมย้อนถามพร้อมกลั้วหัวเราะ
“ก็คงผลัด ๆ กันมั้งครับ” สุ้มเสียงทุ้มเข้มเอ่ยตอบทันควัน ราวกับไม่ต้องครุ่นคิดให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
“เป็นเด็กที่มีน้ำใจจังเลยนะครับ ถ้าวันไหนดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาก็อย่าเปลี่ยนไปล่ะ” ผมไม่ได้เหน็บแนมหรือว่าหม้อดินหรอกนะ แต่พูดในฐานะที่เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวงการบันเทิงมามากกว่า “แม้ว่าอยู่ที่สูงมันจะหนาว แต่ถ้าเราวางตัวดีก็ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้”
ผมไม่ได้พูดประโยคนี้กับหม้อดินเพียงคนเดียว เด็กในความดูแลของผมล้วนถูกกำชับมาเหมือน ๆ กัน
เนื่องจากมีดาราหลายคนที่พลาดท่าในจุดนี้ พอมีชื่อเสียงเข้าหน่อยก็แปรเปลี่ยนไปราวกับคนละคนดั่งสำนวนที่ว่า ‘วัวลืมตีน’
ถ้าอยากอยู่วงการนี้นาน ๆ เหมือนดาวค้างฟ้าก็ต้องทำตัวดีให้เสมอต้นเสมอปลาย และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้เลยก็คือแฟนคลับ ซึ่งถือเป็นแรงสนับสนุนหลักที่ทำให้เหล่าดาราทั้งหลายได้เติบโต
“ผมไม่ได้หวังขนาดนั้นหรอกครับ” ทว่าคำพูดที่หม้อดินเอ่ยออกมากลับผิดคาด
เข้าวงการบันเทิงแต่ไม่อยากเป็นดาราดังเนี่ยนะ?...
“ไม่แน่หรอกครับ พี่ว่าหม้อดินก็มีฝีมืออยู่นะ ถ้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกนิดอนาคตไกลแน่นอน” ผมพูดตามสิ่งที่เห็น ไม่ได้จะอวยคนของตนเองเพียงอย่างเดียว อะไรดีผมก็ว่าดี
“ขอบคุณนะครับที่เชื่อมั่นในตัวผมขนาดนั้น”
ผมได้แต่ยิ้มรับในหน้าโดยไม่พูดอะไร เนื่องจากจังหวะนั้นพนักงานทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟพอดี
ครั้นถูกดึงดูดด้วยสิ่งที่อยู่ตรงหน้า บทสนทนาระหว่างเราจึงสิ้นสุดลง
“เดี๋ยวพี่ทำให้” รีบยื่นมือไปจัดการกับปลาเผาที่อยู่กลางโต๊ะ เมื่อเห็นว่าหม้อดินดูทุลักทุเลกับการแกะเนื้อของมันออกมากินเหลือเกิน
