ตอนที่ 4 ขอโทษ (2)
(“กูอยากให้มึงไปนะตะวัน นานมากแล้วที่เราไม่ได้สังสรรค์กัน นานจนเพื่อนแทบจะลืมหน้ามึงหมดแล้ว”) ฟ่าพูดเสียงอ่อนเพื่อโน้มน้าวให้ผมรับคำ
“จะพยายามแล้วกัน...หืม?” เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์ จึงไม่ทันมองว่าหม้อดินยังไม่ลุกย้ายไป จึงเป็นเหตุทำให้ผมนั่งทับที่ตักแกร่งของเขาเข้าอย่างจัง
เกิดจากความมักง่ายล้วน ๆ ที่ทำให้ตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ล่อแหลมเช่นนี้
(“เป็นไรวะ”) หลังได้ยินเสียงตกใจที่เปล่งออกไปฟ่าจึงรีบถามไถ่
ครั้นได้สติผมก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ลำบากหม้อดินต้องยื่นมือมากันศีรษะของผมเอาไว้เพื่อไม่ให้โขกกับเพดานด้านบน
“พี่ขอโทษ” ผมเบี่ยงตัวหลบ และเอนกายไปอีกด้านจนแผ่นหลังแทบฝังติดกับประตูรถ
“ไม่เป็นไรครับ” มุมปากหนาปรากฏรอยยิ้ม ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะเคลื่อนย้ายที่นั่ง แววตาแห่งความพึงพอใจในบางอย่างฉายชัดขึ้นมาให้ได้เห็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจางหาย
“จะอยากรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับกูเลยหรือไง” ยอกย้อนปลายสายกลับไปด้วยทำนองประชดประชันอย่างทีเล่นทีจริง
ขณะเดียวกันรถยนต์ก็ขับเคลื่อนออกไปยังท้องถนน ด้วยฝีมือของสารถีจำเป็นอย่างหม้อดิน
มีอย่างที่ไหนให้ดาราในความดูแลเป็นคนขับรถ ส่วนผู้จัดการมัวแต่นั่งคุยโทรศัพท์ด้วยเรื่องสัพเพเหระ
(“ถามเพราะเป็นห่วงเพื่อนไง กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”)
“ไม่มีอะไรหรอกแค่เรื่องเล็กน้อย” ผมบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก “แล้วนี่หมดธุระจะคุยหรือยังกูจะได้ทำงานต่อ”
(“เออ ๆ ไว้เดี๋ยวกูโทรมาเอาคำตอบอีกที มึงต้องไปให้ได้นะเว้ย”) ท้ายประโยคไม่ค่อยกดดันกันเท่าไหร่เลย
“อืม” กระนั้นผมก็รับคำเพียงสั้น ๆ แล้วจึงกดวางสาย “หม้อดินอยากไปกินข้าวร้านไหนครับ”
ผมหันไปถามคนข้างกายอย่างหยั่งเชิง หากหม้อดินกินร้านที่ไม่หรูมากนักก็พอเลี้ยงไหวอยู่หรอก แต่ถ้าจะจัดหนักจัดเต็มแบบอลังการงานสร้างก็คงต้องไปเบิกเงินกับพี่ไปร์ท
รายนั้นถ้ารู้ข่าวว่าหม้อดินแคสติ้งบทพระเอกผ่านตั้งแต่เรื่องแรก แถมยังได้รับคำชมจากปากผู้กำกับมือทองมีหวังคงดีอกดีใจยกใหญ่ เผลอ ๆ จัดงานเลี้ยงฉลองให้เลยมั้งนั่น
แต่ดูจากทรงหม้อดินแล้วก็เหมือนเป็นลูกคนมีตังค์อยู่นะ หวังว่าเขาคงไม่ติดหรูจนเกินไป...
“พี่ตะวันมีร้านไหนแนะนำหรือเปล่าครับ” คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้ผมถึงกับคิดหนัก
ไอ้มีน่ะมันก็มีอยู่ แต่เกรงว่าจะไม่ถูกปากนี่สิ…
“กินอาหารรสจัดได้หรือเปล่าครับ” เห็นพี่ไปร์ทบอกว่าหม้อดินเพิ่งกลับมาไทย ดังนั้นผมจึงต้องถามเพื่อเก็บข้อมูล
“กินได้ครับ” นอกจากประโยคนี้หม้อดินยังเสริมมาอีกว่า “พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ อะไรที่พี่กินผมก็กินได้ทั้งนั้น”
เยี่ยมไปเลยค่อยเลี้ยงง่ายหน่อย แบบนี้คงทำงานร่วมกันได้อีกนาน อันที่จริงผมก็เคยดูแลดาราหน้าใหม่ที่เป็นไฮโซอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าทุกคนล้วนเอาแต่ใจ
อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ เรื่องเยอะยิ่งกว่าดาราดัง ๆ เสียอีก ทว่าสุดท้ายแล้วเป็นไงล่ะ?
หึ! ดับสนิทตั้งแต่ยังไม่ทันดัง…
การจะอยู่วงการบันเทิงต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ใช่คิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าจนทุกคนต้องก้มหัวให้ สิ่งที่ควรมีคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต่อให้ผมเป็นแค่คนดูแลก็ใช่ว่าจะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้นี่หว่า อย่ามาทำแบบนี้กับผมเชียว ไม่อย่างนั้นเครื่องด่าจะทำงาน
“โอเคครับ งั้นไปที่ร้าน…” ผมบอกจุดหมายปลายทางอย่างกระตือรือร้น ระหว่างนั้นก็ชวนหม้อดินพูดคุยไปด้วย เผื่อจะได้สนิทสนมกันมากขึ้น “หม้อดินขับรถเก่งมากเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ว่าแต่ไปเรียนอยู่ที่นั่นมาเหรอ?”
“ประมาณนั้นครับ ครอบครัวของผมพาย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่ตอนผมเพิ่งอายุได้สิบสามปี” ประโยคบอกเล่าถูกเอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปากหนาหยักลึก ที่มีสีแดงระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติราวกับถูกบำรุงมาอย่างดี
“แล้วทำไมถึงย้ายไปเหรอครับ” ไม่ได้เรียกว่าเสือกนะครับแบบนี้ เขาเรียกว่าอยากใส่ใจต่างหาก
“...” หม้อดินนิ่งเงียบไปหลายวินาที พร้อมปรายหางตามามองผมเล็กน้อย
“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะครับ พี่แค่ถามเฉย ๆ” ครั้นรู้ว่าเผลอทำตัวเสียมารยาทใส่เขา ถึงได้รีบเอ่ยปากอย่างละล่ำละลั่ก
“เกิดอุบัติเหตุขึ้นน่ะครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
ผมมองเห็นแววตาของหม้อดินที่สลดลงด้วยความเศร้าหมอง และรู้สึกผิด แม้อีกฝ่ายจะเบี่ยงสายตาหลบหนีกระนั้นก็ทันสังเกต
“ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นก็อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ บนโลกนี้ไม่มีใครอยากทำผิดพลาดหรอก” ผมยื่นมือไปบีบไหล่หม้อดินเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ พลางฉีกยิ้มเล็กน้อย
“ผมยังไม่มีโอกาสขอโทษเขาคนนั้นเลย ไม่รู้ว่าถ้าขอโทษตอนนี้เขาจะให้อภัยผมได้หรือเปล่า บางทีอาจจะสายไปแล้วก็ได้”
การที่หม้อดินพูดแบบนี้แสดงว่าอุบัติเหตุในครั้งนั้นต้องมีคนได้รับผลกระทบแน่ ๆ แต่มันร้ายแรงถึงขั้นไม่น่าให้อภัยเชียวเหรอ
“ลองแล้วหรือไงครับถึงรู้ว่าสายไป” มันก็เป็นแค่การคาดเดาของหม้อดินเท่านั้น ถ้าไม่ลองจะรู้เหรอว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นอย่างไร
“ขอโทษครับ” จู่ ๆ หม้อดินก็โพล่งขึ้นมาหลังสิ้นประโยคของผม
“ห๊ะ?” ก็งงไปสิเหลืออะไร หน้าผมตอนนี้บอกได้เลยว่ามีเครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่เต็มไปหมด
“ผมแค่ลองซ้อม ๆ ดูน่ะครับ” หม้อดินหันมาสบตากับผมพลางยกยิ้มมุมปาก สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นไม่ได้อมทุกข์เหมือนเมื่อครู่
อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วผมจะตกใจทำไมก่อน ไม่รู้เรื่องแต่ดันอินแล้วหนึ่ง…
