ตอนที่ 3 ขอโทษ (1)
“พอดีเลยครับ หม้อดินเองก็แคสบทพระเอกผ่านแล้ว ต่อจากนี้คงได้ร่วมงานกัน” ประโยคบอกเล่าถูกเอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปาก พร้อมรอยยิ้มภูมิใจที่ประปรายอยู่บนใบหน้า
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”
หัวใจของผมเกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง เมื่อคนที่ตนเองหมายปองฉีกยิ้มหวานส่งมาให้ คนคลั่งรักมักมีความรู้สึกเป็นแบบนี้เองสินะ บรรยากาศรอบกายถึงได้ดูสดใสซู่ซ่า
“พี่ตะวันครับ” เสียงทุ้มเข้มที่ดังมาจากร่างสูงข้างกาย ดึงสติผมให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง
“หืม? ว่าไงครับ” คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูง
“เราจะไปกันได้หรือยังครับ ผมหิวข้าวแล้ว”
เข้าใจว่าวัยกำลังกินกำลังนอน โอเคผมผิดเองที่ปล่อยให้หม้อดินหิ้วท้องรอนาน
“ขอโทษทีครับพี่มัวแต่คุย” ผมยังคงกล่าวกับหม้อดินด้วยถ้อยคำสุภาพ แม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าถึงห้าปีก็ตามแต่
เนื่องจากเราทั้งสองยังไม่สนิทกัน ดังนั้นจะให้ผมพูดแบบฮาร์ดคอเหมือนเวลาคุยกับคนอื่น ๆ ที่คุ้นเคยกันดีก็กระไรอยู่
“งั้นผมไม่รบกวนแล้วดีกว่า พี่ตะวันจะได้พากันไปกินข้าว ขอตัวนะครับ” เป็นเดวาที่ขอปลีกตัวออกไปเสียเอง ทว่าผมกลับเอื้อมไปคว้าข้อมือรั้งน้องเอาไว้ แล้วโน้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่าย
“คืนนี้พี่จะโทรหา รอรับสายพี่ด้วยนะครับ”
การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราทั้งสองค่อนข้างยุ่งเหยิง น้อยครั้งที่จะมีเวลาโทรคุยกันแบบกะหนุงกะหนิง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการคุยผ่านแชทแอปพลิเคชันในโซเชียลเสียมากกว่า ไหน ๆ วันนี้ก็ได้พบหน้ากันแล้วผมจึงนัดแนะไว้ซะเลย
“ผมจะรอครับ” แก้มกลมที่ผมรู้ดีว่านุ่มหยุ่นและหอมหวานมากแค่ไหนขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ท่าทางขวยเขินนั้นส่งผลให้หัวใจของผมเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ราวกับมีคนกำลังนั่งตีกลองชุดอยู่ด้านใน
“ปะ” ละสายตาจากแผ่นหลังเล็กที่เดินห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ เพื่อหันกลับมาเอ่ยเรียกร่างสูงข้างกาย “ไม่ชอบเดวาเหรอ?”
ผมเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาเมื่อเห็นสีหน้าของหม้อดิน บรรยากาศรอบกายเขาคล้ายกำลังแผ่รังสีบางอย่างออกมาจนสัมผัสได้ ซึ่งแน่นอนว่าชวนให้ขนหัวลุก
“เปล่าครับ” คนถูกตั้งคำถามปฏิเสธเสียงเข้ม
“แล้วทำไมต้องทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้น” อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นยังไง แต่เหมือนตอนที่แสดงบทบาทพระเอกไม่มีผิดเพี้ยน
หรืออารมณ์ยังค้างอยู่? ออกจากบทไม่ได้อะไรทำนองนี้…
“ก็แค่รู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ดีเท่าไหร่น่ะครับ”
“งั้นรีบขึ้นรถเถอะครับ” สองเท้ารีบก้าวเดินนำหน้าไปที่รถยนต์ มือล้วงหยิบรีโมทในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดเพื่อปลดล็อก ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับ และจัดการสตาร์ทรถพร้อมเปิดแอร์ไว้ให้อย่างเตรียมพร้อม
สงสัยหม้อดินคงจะร้อน ด้วยความเป็นผู้จัดการที่ดีผมคงต้องปฏิบัติพัดวีกันหน่อย…
Tru...Tru...Tru…
ยังไม่ทันได้เหยียบคันเร่งเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ให้ออกไปจากบริเวณที่จอดอยู่ ทว่าก็จำต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์ของตนเองนั้นกำลังสั่นครืดและแผดเสียงร้อง
จะไม่หยิบขึ้นมาดูก็คงไม่ได้ เผื่อมีเรื่องด่วนเข้ามาเดี๋ยวจะพลาด…
“โหล” หลังเห็นชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอกลับไม่เป็นไปตามอย่างที่คิด เพราะคนที่โทรมานั้นคือเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของผมเอง
และแน่นอนว่าปลายสายกำลังทำให้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ ถึงได้กรอกเสียงลงไปด้วยประโยคสั้นห้วนเช่นนั้น
ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอก เพียงแต่ว่าเพื่อนผมคนนี้มันชอบโทรมาคุยด้วยเรื่องไร้สาระ แล้วแม่งก็ดันโทรได้จังหวะในตอนที่ผมกำลังยุ่งอยู่พอดี เรียกได้ว่าเป็นแทบทุกครั้ง
(“รับสายกูทีไรเป็นต้องใช้น้ำเสียงแบบนี้ตลอดเลยนะ”) ‘ฟ่า’ ถึงกับโอดครวญหลังได้ยินคำทักทาย
“ก็ดูเวลาที่มึงโทรมาสิ ไม่ทำงานทำการหรือไง”
(“กูว่างพอดีน่ะ”) อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างใสซื่อ มันคงคิดว่าสิ่งที่ผมยอกย้อนกลับไปเป็นคำถามจริง ๆ ไม่ใช่หลอกด่าทางอ้อม
“เออดีใจด้วยแต่กูทำงานอยู่ มึงมีไรก็รีบ ๆ พูดมา” ไม่วายเอ่ยเร่งเมื่อเพื่อนยังคงลีลาไม่ยอมบอกจุดประสงค์ของตนเสียที
(“ศุกร์หน้ามีงานเลี้ยงรุ่นมึงจะมามั้ย”)
“รับปากไม่ได้ว่ะ ขอดูตารางงานก่อนไว้เดี๋ยวบอกอีกที” บทจะมีงานเข้ามันก็มี แม้แต่ตัวผมเองยังไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ดังนั้นจึงไม่อยากตกปากรับคำ เดี๋ยวจะเป็นการให้ความหวังเพื่อนเปล่า ๆ
อันที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปงานเลี้ยงรุ่นหรือสังสรรค์กับเพื่อนสักเท่าไหร่เนื่องจากไม่ว่าง กระนั้นพวกมันก็ยังคงแวะเวียนมาชวนถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะได้รับคำปฏิเสธกลับไป
(“ลาออกแล้วมาทำงานกับกูมั้ยถ้าจะงานรัดตัวขนาดนี้ ถามจริงเถอะ มึงเคยมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองบ้างหรือเปล่าวะ”)
มาเป็นชุด พูดซะกูสำนึกผิดไม่ทันเลย…
ฐานะทางบ้านฟ่าเรียกได้ว่าดีมาก พ่อของมันเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบโฆษณาที่มีชื่อเสียง พอฟ่าเรียนจบมหา’ลัยจึงต้องไปช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัว ได้นั่งตำแหน่งสูงตั้งแต่อายุยังน้อย ตัดภาพมาที่ผมจนป่านนี้ยังเป็นลูกน้องเขาอยู่เลย
แต่ฟ่ามันก็เก่งที่ดูแลธุรกิจแทนพ่อได้ เพราะถ้าไม่เก่งจริงธุรกิจคงไม่อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก มันคงถูกกวดขันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อให้ซึมซับ
สงสารเพื่อนที่ถูกเลือกให้เดินเส้นทางนี้ตั้งแต่แรก ไม่มีโอกาสได้ไปทำในสิ่งที่สนใจจริง ๆ
“ไม่ได้หรอก ก็งานตรงนี้มันทำให้กูสามารถเลี้ยงครอบครัวได้” ยิ่งถ้าทำนาน ๆ และมีประสบการณ์มากกว่านี้บอกได้เลยว่าเส้นทางเศรษฐีคงอยู่อีกไม่ไกล แต่นั่นแหละมันต้องแลกมาด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง
“ผมขับรถให้มั้ยครับพี่จะได้คุยโทรศัพท์สะดวก ๆ” หม้อดินโพล่งขึ้นมา หลังเห็นว่าผมมีธุระต้องคุยกับปลายสายอีกนาน
(“เสียงใครวะ”) นี่ก็อยากรู้ไปหมด ความเสือกไม่เข้าใครออกใคร และไม่ออกจากฟ่าด้วย
“เด็กในสังกัดน่ะ...เอาอย่างนั้นเหรอหม้อดิน งั้นพี่ฝากด้วยนะ” ผมตอบคำถามของเพื่อน ก่อนจะหันไปพูดกับคนข้างกาย
หลังกล่าวจบก็ตั้งท่าจะเปิดประตูก้าวลงจากรถเพื่อย้ายที่นั่ง แต่หม้อดินกลับโพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องลงไปหรอกครับ สลับกันบนรถก็ได้” เขาบอกอย่างชาญฉลาด ทว่าก็เป็นวิธีที่ลำบากอยู่เหมือนกัน “พี่ย้ายมาฝั่งผมก่อนสิครับ”
“มันจะดีเหรอ” ผมมองสบตากับหม้อดินอย่างลังเล พื้นที่ภายในรถใช่ว่าจะกว้างขวาง หากผมย้ายไปฝั่งนั้นร่างกายของเรามีหวังเบียดชิดกันยิ่งกว่าปลากระป๋องเป็นแน่
“มีอะไรให้ต้องกังวลเหรอครับ ผู้ชายด้วยกัน” ดูเหมือนว่าหม้อดินจะจับสังเกตได้ ถึงพูดออกมาราวกับล่วงรู้ความคิดของผม ซึ่งสิ่งที่น้องเอ่ยนั้นมันก็ถูก
ผมไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ขยับตัวย้ายฝั่งตามที่ตกลงกันไว้ ระหว่างนั้นก็สนใจคุยธุระกับปลายสายเฉกเช่นเดิมไม่ได้โฟกัสกับอะไรนอกเหนือจากนี้
