ตอนที่ 2 พี่กับน้อง (2)
ก็ไม่ค่อยจะกดดันเท่าไหร่หรอก ไม่เลยจริง ๆ หม้อดินถึงกับเลิกคิ้วกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน น้องทำหน้าเหมือนกับว่า ‘อะไรของมึงวะพี่’
“ผมจะไม่ทำให้พี่ตะวันต้องขายหน้าครับ” เป็นประโยคที่ค่อนข้างซาบซึ้งมากเลยทีเดียว
“ดีมากครับ ถ้าแคสผ่านเดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าว” มือของผมวางลงที่ไหล่กว้าง พร้อมกับตบเบา ๆ หนำซ้ำยังเอาของกินมาล่อน้องอีก
ถามกระเป๋าตังค์ตัวเองก่อนว่าเงินน่ะมีไหม แต่ไม่เป็นไร ถ้าเกิดได้บทพระเอกขึ้นมาจริง ๆ ผมจะไปขอเงินจากพี่ไปร์ทเพื่อมาเลี้ยงข้าวหม้อดินเอง
“ตกลงครับ” รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากหนา แววตาของหม้อดินทั้งแพรวพราวและร้ายกาจ ทว่ามันก็จางหายเพียงแค่พริบตาเดียว
ผมปล่อยให้หม้อดินแยกไปเตรียมตัวเพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าถึงบทบาท โดยที่ตนเองนั้นเดินไปทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังผู้กำกับ
สายตาของผมโฟกัสที่ร่างสูง ซึ่งกำลังกวาดสายตาอ่านบทอยู่ เพียงไม่นานหม้อดินก็ส่งกลับคืนให้ทีมงาน และเดินออกมายืนอยู่ตรงจุดมาร์ค
“เริ่มได้” ผู้กำกับโพล่งขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ บรรยากาศรอบกายห้อมล้อมด้วยความเงียบสงัดทันที
ดาราคนอื่น ๆ ที่มาแคสติ้งในวันนี้ต่างพากันมองไปยังจุดที่หม้อดินยืนอยู่โดยพร้อมเพรียง ราวกับโดนมนต์สะกด
เปลือกตาของเขาหลับพริ้มลง ก่อนจะเปิดขึ้นด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนไป เรียกได้ว่าอย่างกับคนละคน เหมือนไม่ใช่หม้อดินที่เพิ่งคุยกับผมเมื่อกี้เลย
“คิดเหรอว่าจะหนีไปจากฉันพ้น!” ระดับน้ำเสียงก้องกังวาน ส่งผลให้ผมและอีกหลายคนต่างสะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน
ไม่รู้ว่าหม้อดินกำลังมองผมหรือผู้กำกับกันแน่ เพราะดวงตาคมดุดันคู่นั้นกำลังจดจ้องมาทางพวกเรา
“...” ผมไม่รู้ว่าบทพระเอกเป็นยังไง แต่น่าจะโหดสัสรัสเซียแหละดูจากทรงแล้ว
เล่นตะคอกใส่ขนาดนี้เป็นกูกูก็หนีครับ…
“จำเอาไว้! ว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉันเพียงคนเดียว อย่าปล่อยให้ผู้ชายคนไหนมาเข้าใกล้และแตะต้องร่างกายนี้อีก!” นอกจากน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดแล้ว แววตาของหม้อดินยังสื่อความหมายออกมาได้เป็นอย่างดี ว่าตัวละครกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่นจนปูดนูน นั่นยิ่งขับให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาคมชัดมากยิ่งขึ้น ลุคดิบเถื่อนเผยปรากฏให้เห็นประจักษ์แก่สายตา จนทุกคนพากันนั่งตัวลีบอย่างหวาดหวั่น
“สุดยอด!!” ผู้กำกับโพล่งขึ้น พร้อมปรบมือระรัว พอเห็นพี่เฮงทำแบบนั้นผมจึงทำตาม “บทพระเอกต้องเป็นหม้อดินเท่านั้น!!”
“เอ่อ...พี่เฮงคะ” ผู้ช่วยที่นั่งอยู่ข้างเขารีบสะกิดเรียกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“อะไรอีก” พี่เฮงย้อนถามกลับเสียงขุ่น เนื่องจากถูกขัด
“แล้วคนที่แคสไปก่อนหน้านี้ล่ะคะ พี่บอกให้เขาอยู่ก่อน”
“ก็ไปบอกสิว่าให้กลับได้เลย” เขาบอกอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ปล่อยให้คนมีความหวังแล้วมาดับฝันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
“แต่ยังมีคนรอแคสบทพระเอกอีกนะคะ ไม่รอดูก่อนเหรอ”
“ก็จะเอาคนนี้” ผู้กับกำมือทองบอกชัดในเจตนารมณ์ของตนเอง “ทำไมใครมีปัญหา?”
“ไม่มีค่ะ พี่เฮงว่าไงก็ตามนั้นเลย” ผู้ช่วยสาวรีบเอ่ยละล่ำละลัก พร้อมถอยกรูดออกห่าง
ผมคิดว่างานนี้คงมีเด็กเส้นอยู่แน่ ๆ แต่นับว่าโชคดีที่พี่เฮงเน้นฝีมือมากกว่า หม้อดินคงเข้าตาผู้กำกับอย่างจังถึงได้ผ่านฉลุยเฉกเช่นนี้
อันที่จริงชื่อเสียงเรียงนามของพี่เฮงก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ ว่าผู้กำกับมือทองคนนี้อินดี้สุด ๆ ถ้าเขาได้หมายตาให้ใครมารับบทอะไรแล้วก็ยากที่จะขัด ต่อให้จะมีเส้นเล็กเส้นใหญ่ หรือเส้นหมี่มาติดต่อเอาไว้ก็ตามแต่
“ดี เกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวผมเคลียร์เอง” พี่เฮงบอกทิ้งท้าย ก่อนจะตวัดสายตาไปมองหม้อดินอีกครั้ง “ตามมาคุยรายละเอียดกับพี่หน่อย”
ครั้นได้ยินพี่เฮงบอกเด็กในสังกัดตนเองเช่นนั้น ผมจึงรีบเดินตามไปเพื่อเก็บรายละเอียดงานและคุยเรื่องค่าตัว
เรานั่งอยู่ในห้องพักส่วนตัวของผู้กำกับเป็นเวลานานกว่าที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง และเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีจุดไหนที่เราตกลงกันไม่ได้ ดังนั้นเป็นอันสรุปได้ว่าต่อจากนี้เราสามารถร่วมงานกันได้อย่างราบรื่นแน่นอน
แม้ว่าล้วนเป็นการคาดเดา กระนั้นลึก ๆ แล้วผมกลับมั่นใจว่าหม้อดินคงไม่ทำให้เสียการเสียงาน…
“เก่งนะเนี่ย ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแต่เล่นสื่ออารมณ์ได้ถึงขนาดนี้” ผมเอ่ยปากชมขณะที่เรากำลังจะเดินไปที่รถเพื่อขับกลับบริษัท
“เพราะผมทำเพื่อพี่ตะวันต่างหากล่ะ”
“พี่กดดันมากไปเหรอ ขอโทษทีนะครับ” หม้อดินกำลังประชดผมอยู่หรือเปล่านะ ไม่ได้ตั้งใจจะกดดันจริง ๆ แค่วิญญาณผู้จัดการจอมเฮี้ยบเข้าสิง
“ผมไม่ได้ประชดพี่หรอกนะครับ ที่ทำไปก็แค่ไม่อยากให้พี่ต้องขายหน้าจริง ๆ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยอธิบายราวกับล่วงรู้ว่าผมกำลังคิดในแง่ไหน
ดวงตาคมคู่นั้นจับจ้องมาที่ใบหน้าของผมเนิ่นนานจนพานทำให้รู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“อา...ขอบคุณนะครับ” นึกอะไรไม่ออกจึงบอกออกไปเพียงประโยคนี้
“พี่ตะวัน~” เหมือนมีเสียงสัญญาณช่วยชีวิตที่ดังมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏกายอยู่ตรงหน้า
ซึ่งบุคคลนั้นก็คือ ‘เดวา’ ดาราวัยรุ่นที่อยู่บริษัทโมเดลลิ่งอื่น และที่สำคัญเขาก็ยังเป็นคนคุยของผมอีกด้วย
ต้าวคนน่ารัก มองยังไงก็ดูนุ้บนิ้บไปหมด จนอยากฟัดแก้มกลม ๆ นั้นให้จมเขี้ยว แต่ไม่ได้เด็ดขาดผมจะไม่ทำให้น้องต้องบอบช้ำ
“ครับผม” รอยยิ้มหวานตรงมุมปากฉีกกว้างอย่างออกนอกหน้า แววตาที่ใช้มองเจิดจ้าเปล่งประกายแบบไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ตัวเองดี
“ไม่คิดว่าจะเจอพี่ตะวันที่นี่ พาเด็กในสังกัดมาแคสติ้งเหรอครับ?” ขนาดระดับน้ำเสียงที่เอ่ยถามยังฟังระรื่นหู หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว วอนอย่าเอียงคอมองแบบนั้นได้ไหมพี่จะล้ม
“ใช่ครับ เด็กในสังกัดคนใหม่” ผมตอบรับพร้อมอธิบายเพิ่มเติม ก่อนที่ท้ายประโยคจะแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน “หม้อดิน นี่น้องเดวาดาราที่อยู่สังกัดอื่นครับ”
หม้อดินควรรู้แต่เพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องที่ผมกับเดวาคุย ๆ กันอยู่นั้นคงป่าวประกาศให้คนรู้เยอะไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะกระทบกับงานของน้อง
และด้วยความที่เดวาเพิ่งอายุยี่สิบสอง ส่วนหม้อดินอายุยี่สิบห้าแล้ว ผมจึงใช้สรรพนามเรียกแทนเดวาแบบนั้นเพื่อบอกกลาย ๆ ว่าให้อ่อนโยนกับเด็กน้อยของผมด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เดวายื่นมือส่งไปให้ พร้อมเอ่ยอย่างเป็นมิตร ทว่าคนตัวสูงกว่ากลับทำเพียงแค่พยักหน้ารับเบา ๆ โดยไม่คิดจะจับมือ
เพราะความจิตใจดีที่ไม่อยากให้น้องเดวาต้องเสียหน้า ผมจึงคว้ามือบางมาจับไว้เสียเอง
นุ่มนิ่มขนาดนี้ดีแล้วล่ะที่ไม่จับ เพราะผมก็รู้สึกหวงอยู่เหมือนกัน…
“แล้วนี่เดวามาแคสติ้งเหมือนกันเหรอ”
“ครับ แต่ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่า” คนตัวเล็กบอกอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก แววตาเต็มไปด้วยความกังวลจนเห็นได้ชัด
“เดวาทำได้อยู่แล้วเชื่อพี่สิ สู้ ๆ นะครับ” ผมบีบมือน้องเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ ทั้งที่จริงแล้วอยากจะยกขึ้นมาจูบเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีหม้อดินยืนอยู่ตรงนี้ด้วย “ว่าแต่แคสบทไหนเหรอ”
“น้องพระเอกครับ”
เอาแล้วไง งานนี้พี่กับน้องจะตีกันหรือเปล่า เพราะดูท่าว่าหม้อดินจะไม่อยากผูกมิตรกับเด็กน้อยของผมสักเท่าไหร่…
