ตอนที่ 1 พี่กับน้อง (1)
“หม้อดินเคยไปแคสติ้งอะไรมาก่อนหรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถามเมื่อเราขึ้นมานั่งประจำเบาะบนรถยนต์ของบริษัทกันแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผมเป็นคนขับ
“ไม่เคยครับ” คำตอบที่ได้รับกลับมานั้น ทำให้รู้แล้วว่าวันนี้คงต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดทั้งวันจนกว่างานจะสิ้นสุด
มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรบอกกล่าวกับนักแสดงที่อยู่ในความดูแลของตนเอง ซึ่งทุกคนโอเคไม่ได้มีปัญหาติดขัดอะไร เพราะแต่ละคนนั้นก็อยู่ในวงการมาสักพักแล้ว ทว่าหากเกิดเรื่องอะไรเร่งด่วนขึ้นผมคงต้องผละจากทางนี้เพื่อไปดูแลคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า
“พี่ตะวันครับ” หลังจากจับยัดโทรศัพท์กลับเข้าที่เดิม จู่ ๆ คนข้างกายก็โพล่งเรียกขึ้นมา ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองที่ผม “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
พออยู่ในรัศมีที่ใกล้ชิดกันยิ่งทำให้ผมนึกอิจฉาคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
ทำไมวะ ทำไมกูไม่เกิดมาหล่อแบบนี้…
ผมนึกตามคำพูดนั้น ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
“ไม่นะครับ” มั่นใจว่าจำไม่ผิดแน่ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอคนหน้าตาแบบนี้เสียหน่อย หม้อดินคงคิดไปเองแล้วล่ะ
“อา...งั้นผมคงจำผิด”
ครั้นอีกฝ่ายเบี่ยงสายตากลับไปทอดมองยังทิศทางอื่น ผมจึงสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับเคลื่อนออกมาจากลานจอดรถของบริษัท
ตลอดการเดินทางห้องโดยสารปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด กระนั้นผมกลับรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยลอบมองอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ไม่ได้หันไปสนใจหรือไถ่ถาม เนื่องจากกำลังใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ
ซึ่งใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย งานแรกของเขาถือว่าค่อนข้างหิน เข้ามาบริษัทได้ไม่ทันไรก็ถูกให้ไปแคสติ้งซีรีส์เสียอย่างนั้น
“หม้อดินได้เรียนการแสดงมาบ้างหรือยังครับ” หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อย และกำลังเดินเข้าไปด้านใน ผมจึงชวนเขาพูดคุยไปพลาง ๆ เผื่อจะได้ช่วยให้คำแนะนำสำหรับมือใหม่
“ไม่ครับ” คนตัวสูงตอบปฏิเสธแทบจะในทันที
ก็ไม่ผิดหรอกนะที่ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน เพราะบางคนก็มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้มาแต่กำเนิด มีดาราอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จจากฝีมือตัวเองล้วน ๆ ดังนั้นอย่าเพิ่งดูถูกดูแคลน
บางทีคนตัวสูงข้างกายอาจจะพอมีของอยู่บ้าง ไว้รอดูเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนแล้วกัน ว่าจะส่งไปเรียนการแสดงเพิ่มเติมดีหรือเปล่า อย่างไรซะมันก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง
“สู้ ๆ แล้วกันนะ ทำใจให้สบายไม่ต้องเกร็ง เล่นให้เป็นธรรมชาติเหมือนคุยกับเพื่อนนั่นแหละ” ผมตบไหล่น้องมันเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ และไม่วายปิดท้ายประโยคด้วยคำแนะนำ
ธรรมชาติในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงให้หม้อดินเล่นแข็งเป็นหินหรอกนะ อันนั้นก็ธรรมชาติเกินไป
“ขอบคุณครับ” เขากดยิ้มมุมปาก พลางใช้สายตาจ้องมองผม
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าแววตาของหม้อดินแปลก ๆ ชอบกล
“อ๋อ...ที่สำคัญนะเวลาเจอผู้หลักผู้ใหญ่อย่าลืมไหว้ด้วย” ผมกำชับ ก่อนที่เราทั้งสองจะเดินเข้าไปให้ห้องที่มีการแคสติ้งนักแสดงอยู่
ผมเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กในสังกัดได้เห็น โดยการยกมือไหว้ทีมงานที่เดินผ่านไปผ่านมา ซึ่งบางคนก็คุ้นหน้ากันดีอยู่แล้ว
“เด็กใหม่เหรอตะวัน” ผู้กำกับฝีมือดีที่เป็นผู้ชายวัยกลางคนเอ่ยทัก หลังหันมาสบตากับผม
เนื่องจากเด็กในโมเดลลิ่งของเรามาแคสติ้งซีรีส์ที่พี่เฮงเป็นผู้กำกับค่อนข้างบ่อย ราวกับฝากฝังให้ช่วยปลุกปั้นดังนั้นจึงคุ้นเคยกันดี
“สวัสดีครับพี่เฮง” ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้บุคคลตรงหน้าเป็นอันดับแรก “ใช่ครับ น้องเพิ่งมาวันนี้...หม้อดิน นี่พี่เฮงผู้กำกับมือทองครับ”
ผมตอบคำถามของเขา และท้ายประโยคนั้นก็หันมาพูดบอกหม้อดิน เพื่อให้น้องได้ทำความรู้จักกับอีกฝ่าย
“สวัสดีครับ” คนข้างกายกล่าวทักทายด้วยท่าทีนอบน้อม
ทำงานในวงการบันเทิงต้องรู้จักอยู่เป็น ไหว้เข้าไปเถอะไม่อย่างนั้นจะถูกเอาไปซุบซิบนินทาได้ว่าไม่มีสัมมาคาราเต้ เอ้ย! คาราวะ
“สวัสดี ๆ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่ฝีมือนักแสดงด้วย” พอถูกชมโต้ง ๆ อีกฝ่ายจึงรีบบอกปัดอย่างถ่อมตัว “แล้วนี่มาแคสบทอะไรล่ะ”
“พระเอกครับ” คำตอบหนักแน่นที่ดังมาจากร่างสูง ส่งผลให้ผมหันขวับไปมองเขาจนคอแทบเคล็ด
ใจมันได้ว่ะ มาวันแรกแท้ ๆ แต่คัดบทพระเอกเลย งานนี้มีอยู่สองอย่างไม่ปังก็พัง
“เอาแฟ้มข้อมูลมาดูหน่อย” พี่เฮงหันไปบอกผู้ช่วยของตนเอง ก่อนจะรับแฟ้มมาเปิดดูคร่าว ๆ “คนที่มาแคสบทนี้มีแต่ดาราที่อยู่ในวงการมานานแล้วทั้งนั้นเลยนะ มีแค่เราที่มือใหม่ ประสบการณ์อะไรก็ไม่มีจะไหวเรอะ ถึงรูปร่างหน้าตาดีเหมาะสมกับบทแต่ใช่ว่าจะผ่านเลยนะ”
พี่เฮงก็แบบนี้แหละ ปากหมาไว้ก่อนใครสอนไว้ก็ไม่รู้ อีกอย่างเด็กที่ผมเคยพามาแคสติ้งด้วยส่วนใหญ่ก็รับบทตัวประกอบทั้งนั้น ไม่เคยมีใครแคสบทตัวหลักเลยสักคน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เด็กตัวเองโดนดูถูกต่อหน้าต่อตา
พี่ไปร์ทคิดยังไงถึงรับงานนี้ให้หม้อดิน หรือว่าจะส่งมาแคสเล่น ๆ พอให้เรียนรู้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ๆ บอกเลยว่าเสียเวลากูฉิบหายเลยครับพี่
“ถ้าไม่ไหวบริษัทผมคงไม่ส่งหม้อดินมาหรอกครับ ระดับพี่เฮงคนใจกว้างคงยินดีมอบโอกาสให้น้องหน้าใหม่ได้แสดงฝีมือใช่มั้ยครับ?” รู้ดีว่าพี่เฮงมันชอบโดนคนอวย เพราะงั้นชมมันเข้าไป เอาให้ลอยติดเพดานเลยเป็นไง
“ได้สิ ๆ งั้นมาเริ่มเลย” นั่น...ลัดคิวให้เด็กกูด้วยเป็นไงล่ะ
“หม้อดิน” ผมดึงแขนน้องให้ขยับเข้ามาใกล้ เพื่อกระซิบให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน “พี่ไม่ได้กดดันและไม่ได้คาดหวังอะไรมากนะ แต่อย่าทำให้บริษัทของเราขายหน้านะครับ...โดยเฉพาะหน้าพี่”
