บทนำ
เสียงนาฬิกาปลุกที่แผดร้องในช่วงเช้าตรู่ ส่งผลให้ผมที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงอย่างสบายใจเฉิบจำต้องตื่นจากภวังค์การหลับใหล
สองมือค้ำยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทุกอย่างดูอ้อยอิ่งราวกับเกียจคร้าน ริมฝีปากอ้ากว้างพลางหาวออกมาหลายต่อหลายครั้ง แถมยังทำท่าพร้อมจะหงายหลังทิ้งตัวลงนอนกลับไปที่เดิมได้ทุกเมื่อ
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุด กระนั้นภาระหน้าที่การงานของผมมันก็ไม่เคยแผ่วลงเลย อย่างว่าแหละ ผู้จัดการดาราที่ไหนเขาได้หยุดพักผ่อนเหมือนคนปกติทั่วไปกัน ยิ่งช่วงวันหยุดคิวงานยิ่งเยอะจนวิ่งกันหัวหมุน
แต่ขอเถอะ วันนี้รู้สึกข้อเข่าไม่ดีอย่าให้ต้องถึงขั้นนั้นเลย จะลาออกก็ไม่ได้ด้วย เพราะไม่มีจะกินกันแล้ว
ยุคข้าวยากหมากแพงเฉกเช่นนี้ต้องสู้ สู้กับใครไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องสู้!...
“ตะวันตื่นหรือยัง!” เสียงตะโกนที่ดังจากชั้นล่างขึ้นมา พานทำให้อาการสะลึมสะลือมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เสียงของมนุษย์แม่นี่ทรงพลังจริง ๆ จากที่ง่วงตอนนี้ตื่นเต็มตาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ตื่นแล้วคร้าบบบ~” ตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดังพอกัน ระหว่างนั้นผมก็ค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียงเพื่อเดินไปหยิบผ้าขนหนูเตรียมอาบน้ำ
“ปิดนาฬิกาสักทีสิ จะตั้งปลุกเผื่อคนทั้งซอยเลยหรือไง!” แม่ก็พูดไปนั่น มันก็ไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นสักหน่อย
ครั้นได้ยินคำสั่ง มือจึงเอื้อมไปกดปิดนาฬิกาปลุก ช่วงนี้ผมค่อนข้างเบลอ ๆ และลืมง่าย เพราะงั้นอย่าได้ถือสากันเลย
ปลายเท้ามุ่งตรงไปทางห้องน้ำ ก่อนจะเร่งจัดการชำระล้างร่างกายให้สะอาดหมดจด เพื่อที่จะได้ออกไปทำงานด้วยความสดชื่น
หลังทำอะไรเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ผมก็เดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง ซึ่งพบว่าแม่กำลังตั้งโต๊ะมื้อเช้าคอยอยู่ก่อนแล้ว
ระหว่างที่สองเท้าขยับก้าวเดินอยู่นั้น สายตาและนิ้วมือยังคงจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็กดูตารางงานของเด็กในสังกัดที่ผมดูแลอยู่ รวมถึงเช็กข่าวสารในโซเชียลไปด้วย
“มัวแต่กดโทรศัพท์เดี๋ยวก็สะดุดล้มหรอกค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของ ‘ดาว’ โพล่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง เธอคือน้องสาวสุดที่รักของผมเอง
“วันนี้วันหยุดทำไมตื่นแต่เช้า” ผมละสายตาจากหน้าจอ เพื่อหันไปคุยกับน้องดาว
แต่งตัวซะน่ารักเลย ผมคงต้องเริ่มทำตัวโหด ๆ ไว้คอยเป็นไม้กันหมาแล้วมั้งเนี่ย
“หนูจะไปทำรายงานบ้านเพื่อน” คนตัวเล็กบอก ก่อนจะเดินไปทรุดกายลงนั่ง ซึ่งผมก็ขยับเท้าก้าวเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้าม
“ทำรายงานจริงหรือเปล่า” ดวงตาหรี่มองคนตรงหน้าเพื่อจับพิรุธ
“ถ้าพี่ตะวันไม่เชื่อเดี๋ยวไปถึงแล้วหนูจะวิดีโอคอลมาหา โอเคมั้ยคะ?” น้องดาวย้อนถามอย่างทีเล่นทีจริง
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก ยังไงพี่ก็มีสายคอยรายงานให้ฟังอยู่แล้ว” มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างคนที่เหนือกว่า
“พี่ตะวันซื้อตัวเพื่อนหนูไปหมดแล้วเหรอคะ”
ผมไหวไหล่แทนการตอบรับ ก่อนที่แม่จะบอกให้เราสองพี่น้องรีบลงมือรับประทานอาหาร หลังมื้อเช้าเสร็จสิ้น พวกเราต่างพากันแยกย้ายเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเอง
ในตอนนี้ผมเป็นเสาหลักของครอบครัว และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในบ้านทุกอย่าง เพราะแม่ไม่ได้ทำงานเนื่องจากสุขภาพไม่ค่อยดี ส่วนน้องดาวก็ยังเรียนไม่จบ เพิ่งอยู่มหา’ลัยปีสอง
นับว่าโชคดีที่บ้านของเราอยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยของน้องดาวสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่ต้องไปอยู่หอ เพราะไม่อย่างนั้นค่าใช้จ่ายคงเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว
แต่ใช่ว่าน้องดาวจะปล่อยให้ผมแบกรับทุกอย่างเพียงคนเดียวหรอกนะ น้องเคยทำงานพาร์ทไทม์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ผมกลัวว่าน้องจะไม่ไหว ไหนจะทั้งเรียนทั้งทำงาน จึงบอกให้น้องลาออกแล้วไปตั้งใจเรียนอย่างเดียว
ซึ่งน้องสาวของผมก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ความตั้งใจนั้นส่งผลให้น้องได้รับทุนการศึกษาเรียนดีอยู่บ่อย ๆ แถมยังมีโอกาสดี ๆ เข้ามามากมาย คนเป็นพี่อย่างผมย่อมภูมิใจอยู่แล้วที่น้องสาวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่น้องดาวจะนำพาเรื่องปวดหัวมาให้
ถึงแม้ครอบครัวของเราจะไม่ได้ร่ำรวย กระนั้นก็มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ถ้าถามว่าอยากรวยไหม? ผมขอตอบเลยว่าใครจะไม่อยากล่ะครับ
ต่อให้รวยแล้วเป็นทุกข์ผมก็จะเอา อยากสัมผัสเหมือนกันว่ามันทุกข์แบบไหน…
Tru...Tru...Tru…
ภวังค์ความคิดถูกทำลายลงเพราะสายเรียกเข้า มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนเพื่อหยิบเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสั่นครืดออกมากดรับ แล้วยกขึ้นแนบหู ระหว่างนั้นสองเท้าก็ขยับก้าวอยู่บนฟุตบาท เพื่อมุ่งตรงไปยังป้ายรถเมล์หน้าปากซอย
“ครับ” กรอกเสียงทักทายลงไปเพียงสั้น ๆ หลังเห็นว่าคนที่โทรเข้ามานั้นคือเจ้าของบริษัทโมเดลลิ่งที่ผมทำงานอยู่ด้วย
ซึ่งเป็นบริษัทที่โด่งดังในวงการบันเทิงมากเลยทีเดียว ดาราตัวท็อป ๆ ก็ถูกปลุกปั้นจากที่นี่มาแล้วหลายคน แต่ผมไม่มีฝีมือมากพอจนได้ดูแลพวกเขาหรอก เพราะได้ดูแลนักแสดงหน้าใหม่เท่านั้น
(“อยู่ไหนแล้วตะวัน”) ปลายสายตั้งคำถามทันที เสียงเล็ก ๆ นั้นฟังดูนุ่มหู แต่ก็แฝงเร้นไปด้วยความน่าเกรงขาม
“ในซอยบ้านครับกำลังเดินไปรอรถเมล์ พี่ไปร์ทมีอะไรหรือเปล่า”
นอกจากจะเป็นเจ้านายแล้ว ‘พี่ไปร์ท’ ยังเป็นพี่รหัสของผมในสมัยที่ยังเรียนอยู่มหา’ลัยอีกด้วย
เราทั้งสองสนิทกันมาก จนหลายคนคิดว่าเป็นแฟนกัน แต่หารู้ไม่ว่าผมนั้น ‘ชอบผู้ชาย’ ซึ่งเรื่องนี้พี่ไปร์ทรู้มาโดยตลอด และเธอก็ไม่เคยคิดอะไรกับผมในเชิงชู้สาว
บางคนมันรู้ดีกว่าเจ้าตัว แค่เห็นด้วยสายตาก็ตัดสินไปแล้ว…
(“พี่บอกให้เอารถของบริษัทไปใช้ทำไมไม่เอาไป แกก็รู้ว่าขนส่งสาธารณะประเทศนี้มันห่วยแตกมากแค่ไหน”) ระดับน้ำเสียงของพี่ไปร์ทเริ่มจะมีน้ำโหมากขึ้น
ชักไม่แน่ใจว่าเธอโมโหผมหรือโมโหขนส่งสาธารณะภายในประเทศกันแน่…
“รู้แล้วครับ ๆ ผมใช้เวลาเดินทางไม่นานหรอก บริษัทอยู่แค่นี้เอง” รีบตอบรับคำอย่างรวดเร็ว แต่ถามว่าจะทำตามไหมก็ไม่ “สรุปพี่ไปร์ทมีอะไรครับ”
(“วันนี้มีเด็กมาใหม่ พี่วานให้แกดูแลได้มั้ย”)
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ได้อะ” ย้อนถามกลับไปอย่างทีเล่นทีจริง ตอนนี้เด็กที่ผมต้องคอยดูแลก็ค่อนข้างเยอะพอสมควร หากต้องรับผิดชอบเพิ่มอีกคงไม่ต้องนอนกันแล้วมั้ง
ยิ่งถ้าวันไหนทุกคนต่างมีงานเข้ามาพร้อมกันรัว ๆ ผมไม่ตายเลยเหรอ
(“ต้องได้”) หลังได้ยินประโยคนี้ แวบแรกเลยนะผมเกิดความคิดที่ว่า แล้วจะมาถามกูทำไมครับเนี่ย (“เดี๋ยวน้องใบเตยให้คนอื่นดูแลแทน แค่นี้ตะวันก็จะได้ดูห้าคนเท่าเดิม ไม่เกินใจหรอกจิ๊บ ๆ”)
“เด็กใหม่นี่ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”
(“ผู้ชาย”) คำตอบที่ได้รับส่งผลให้มุมปากยกยิ้มโดยอัตโนมัติ
“น่ารักมั้ย” ยังคงยิงคำถามออกไปด้วยความใคร่รู้
(“พี่รู้นะว่าแกคิดอะไร”) พี่ไปร์ทพูดขึ้นมาราวกับรู้ทันความคิดของผม (“แต่เสียใจด้วย ถ้าตะวันจีบคนนี้ตะวันคือเมีย”)
“อย่าสลับโพให้ผมเถอะขอร้อง อย่างผมนี่ต้องผัวเท่านั้น” อดไม่ได้ที่จะแย้งกลับไปทันควัน เมื่อถูกยัดเยียดอีกโพมาให้ทั้งที่ความจริงแล้วผมเป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอด “อีกอย่างถ้าผมจะจีบจริง ๆ พี่ก็คงไม่อนุญาต”
(“แน่นอนจ้ะ แกจะกินเด็กที่ไหนก็ได้ยกเว้นเด็กในสังกัดของตัวเอง”)
“พี่มีเรื่องจะคุยแค่นี้ใช่มั้ยครับ รถเมล์มาแล้วผมคงต้องวางสายก่อน” สายตาสะดุดเข้ากับรถเมล์ที่กำลังขับมุ่งตรงมาจอดเทียบป้าย ผมรีบยื่นมืออีกข้างที่ว่างไปโบก เพื่อให้คนขับชะลอความเร็วลง
(“โอเค ๆ ไว้เจอกันที่บริษัทแล้วค่อยคุยรายละเอียดอีกที”)
“ครับ” ผมรับคำเพียงสั้น ๆ นิ้วเคลื่อนกดวางสาย ก่อนจะจับยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วจึงก้าวขึ้นรถเมล์
เนื่องจากเป็นวันหยุดคนจึงไม่แน่นเท่าไหร่ ก็เลยสามารถหาที่นั่งได้สบาย ๆ เพราะถ้าเป็นวันธรรมดาบอกได้เลยว่าปลากระป๋องดี ๆ นี่เอง…
ผมใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย อาจจะเป็นเพราะวันนี้การจราจรบนท้องถนนเต็มใจด้วยกระมัง
“สวัสดีค่ะคุณตะวัน” พนักงานตรงประชาสัมพันธ์เอ่ยทักทายเสียงหวาน เมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปภายในบริษัท
ซึ่งตกแต่งไว้อย่างหรูหราให้รู้กันไปเลยว่านี่คือบริษัทโมเดลลิ่งชื่อดังจะได้ดูขลัง ๆ ราวกับคนมีของ
“สวัสดีครับคุณส้มโอ” ผมฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้เธอพร้อมกับคำชม “แต่งตัวสวยทุกวันเลยนะครับ”
“นิดนึงค่ะเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่บริษัท”
“รางวัลพนักงานดีเด่นต้องเข้าแล้วครับ”
“สาธุค่ะ” คุณส้มโอพนมมือแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ เหมือนอยากให้สิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปนั้นสมพรปาก
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” บทสนทนาระหว่างเรายุติลงแต่เพียงเท่านี้ แน่นอนว่าคุณส้มโอก็ไม่ได้รั้งให้ผมอยู่ต่อ
สองเท้ารีบก้าวยาว ๆ เพื่อตรงไปที่ลิฟต์ ก่อนจะแทรกกายเข้าไปภายในกล่องโดยสารทรงสี่เหลี่ยม นิ้วมือเอื้อมกดปุ่มชั้นที่ต้องการ แล้วจึงเคลื่อนย้ายตนเองไปยืนตรงมุมลิฟต์เผื่อมีคนเข้ามาเพิ่มระหว่างทางจะได้ไม่ขวางทาง
ติ้ง…
เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมด้วยบานประตูที่เคลื่อนเปิดเมื่อถึงชั้นที่หมาย ไม่รอช้าที่จะก้าวเดินต่อไปยังห้องทำงานของพี่ไปร์ทเพื่อคุยธุระที่ยังคงคั่งค้าง
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก…
แม้สนิทกันดีกระนั้นผมก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปภายในห้องโดยไม่ส่งสัญญาณบอกกล่าวในเชิงขออนุญาต
“เชิญจ้ะ” บุคคลที่อยู่หลังบานประตูส่งเสียงตอบกลับมา ครั้นได้ยินดังนั้นฝ่ามือจึงผลักบานประตูก้าวเข้าไปด้านใน
ทว่าพี่ไปร์ทกลับไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เก้าอี้ตรงข้ามมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้อยู่
“ถ้าพี่ไปร์ทคุยธุระอยู่ผมไปยืนรอด้านนอกก่อนก็ได้นะครับ” เนื่องจากไม่อยากรบกวนจึงเอ่ยออกไปเช่นนี้
“ไม่ต้อง ๆ ตะวันมาก็ดีแล้ว นี่เด็กใหม่ที่พี่จะให้แกดูแล” มือบางรีบโบกปัดไปมา
“อ๋อ” ผมครางรับในลำคอเพียงสั้น ๆ ปลายเท้ารีบย่างกรายเข้าไปหาเพื่อจะได้มองหน้า ‘เด็กใหม่’ ให้ชัดเจน
“หม้อดิน นี่พี่ตะวันผู้จัดการของเรา ต่อจากนี้ไปเขาจะมาช่วยดูแลหม้อดินนะ มีอะไรก็ปรึกษาพี่เค้าได้เลย”
“สวัสดีครับพี่ตะวัน ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ครั้นอีกฝ่ายผุดลุกขึ้นยืนเพื่อหันมาเผชิญหน้า นั่นจึงทำให้รู้ว่าเด็กใหม่คนนี้ตัวสูงกว่าผมมากโข หนำซ้ำยังหน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติราวกับเป็นลูกรักพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งปากหนาหยักลึกที่รับกับจมูกโด่งสัน คิ้วเข้มเรียวยาวพาดเฉียงเป็นทรงสวย ไหนจะผิวหน้าที่เนียนเกลี้ยงเกลานั้นอีก ผมต้องทำบุญด้วยอะไรถึงจะได้เกิดมาหล่อแบบนี้
จากที่สายตามองเห็นสามารถทำนายอนาคตเด็กคนนี้ได้เลยว่าไปได้ไกลในวงการบันเทิงอย่างแน่นอน…
“สวัสดีครับหม้อดิน” จะว่าไปทำไมชื่อดูน่ารักน่าเอ็นดูจัง ผิดกับหน้าตาและรูปร่างอย่างสิ้นเชิง
“น้องเพิ่งกลับมาไทยเมื่อไม่นานมานี้ มีอะไรก็แนะนำน้องหน่อยนะ พี่ฝากด้วย ส่วนนี่เป็นประวัติคร่าว ๆ ของหม้อดิน เอาไปไว้ศึกษากันล่ะ” พี่ไปร์ทพูดระรัวออกมาเป็นชุด ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดคือท้ายประโยค
“ยังไงนะครับ” ผมรับแฟ้มประวัติมาถือไว้ ขณะที่ปากก็ย้อนถามกลับไป
“พี่หมายถึงทำความรู้จักกัน” ริมฝีปากบางเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้
“แล้วนี่รับงานมาให้หม้อดินบ้างหรือยังครับ”
“รายละเอียดอยู่ในนั้นเลย เปิด ๆ ดูเอานะพี่ขอตัวก่อนพอดีมีภารกิจด่วน” ฝากลูกไว้เรียบร้อยพี่ไปร์ทก็ตั้งท่าจะชิ่งหนี กล่าวจบคนตัวเล็กไม่รอช้ารีบเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าแบรนด์เนมใบโปรด แล้วพุ่งตัวผละออกจากโต๊ะทำงานทันที
เราทั้งสองได้แต่มองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป ก่อนที่สายตาจะหันกลับมาโฟกัสอยู่กับแฟ้มตรงหน้า
“พี่ว่าเราคงต้องรีบไปบ้างแล้วล่ะครับ” หลังจากดูรายละเอียดงานเรียบร้อย ผมจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับหม้อดิน
หาทำกันจริง ๆ อะไรคือการรับงานที่เวลากระชั้นชิดแบบนี้ นับว่าโชคดีที่วันนี้น้อง ๆ คนอื่นมีคิวงานไม่มาก อีกทั้งส่วนใหญ่สามารถไปด้วยตนเองได้ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงได้วิ่งหัวหมุนจริง ๆ…
