ตอนที่ 6 ดูแลผมแค่คนเดียว (2)
ผมใช้ช้อนกับส้อมในการค่อย ๆ เลาะหนังปลาออก เกลือที่ทาเคลือบอยู่ด้านบนกระจายตกหล่นโดนเนื้อปลาสีขาวด้านใน
มันเป็นอะไรที่ดีต่อใจไตถูกตัดจริง ๆ แน่นอนว่าผมย่อมเขี่ยเม็ดเกลือเหล่านั้นออกอยู่แล้ว ก่อนจะตักเนื้อปลาตรงส่วนที่ไม่มีก้างไปวางไว้บนจานของเขา เนื่องจากยังร้อนอยู่จึงมีไอควันลอยขึ้นมาเล็กน้อย
“ขอบคุณครับ” เด็กนอกที่เลาะหนังปลาเผาไม่เป็นได้แต่เอ่ยขอบคุณ
“ไม่ต้องเกรงใจ มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้วที่ต้องดูแลหม้อดิน”
หากทำตัวดีว่านอนสอนง่ายบอกได้เลยว่าผมบริการทุกระดับประทับใจอย่างแน่นอน…
“หากวันหนึ่งผมมีชื่อเสียงขึ้นมาจริง ๆ พี่ตะวันจะดูแลผมแค่คนเดียวได้หรือเปล่า” คำถามที่หม้อดินโพล่งขึ้นมาส่งผลให้ผมทำท่าครุ่นคิดตามประโยคนั้น
“ถ้าหม้อดินจ่ายเงินพี่เพิ่มพี่ก็ยินดีครับ” เอ่ยจบผมก็หัวเราะร่า
จะว่ายังไงดีล่ะ นอกจากเงินเดือนประจำที่ได้รับจากบริษัทแล้ว การที่ผมดูแลดาราคนอื่น ๆ มันก็ทำให้ผมได้ส่วนแบ่งจากพวกเขาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่งแม้จำนวนจะไม่ได้มากมายก็ตาม
เนื่องจากส่วนแบ่งต่าง ๆ ทางบริษัทเป็นคนตกลงกับดาราโดยตรง เม็ดเงินในส่วนที่ผมจะได้รับคือเสี้ยวเดียวเท่านั้นเอง
หากผมยอมดูแลหม้อดินเพียงแค่คนเดียว ก็เท่ากับว่าผมต้องสูญเสียเงินเหล่านั้นไป เว้นแต่ว่าเขายอมจ่ายเพิ่มมากกว่าที่ผมได้รับ ผมถึงจะตกลงในข้อเสนอนี้
ชีวิตของผมขับเคลื่อนด้วยเงิน ดังนั้นหากข้อเสนอไหนดีผมก็พร้อมยินดีรับมันมา…
“พี่ตะวันพูดแล้วนะครับ” มุมปากหนาปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก
หม้อดินเหมือนคนที่มีอะไรสักอย่างเก็บไว้ในใจ ทว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่….
ระหว่างมื้ออาหารเราทั้งสองได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ไม่มีอะไรต้องซีเรียส กระนั้นก็มีบ้างบางครั้งที่ผมสอดแทรกความรู้เล็ก ๆ น้อยให้หม้อดิน
อีกทั้งเมนูที่สั่งมายังถูกพวกเราฟาดจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะกินไม่หมดเสียด้วยซ้ำ เมื่ออิ่มหนำสำราญกันเป็นที่เรียบร้อยผมจึงเรียกให้พนักงานมาเช็กบิล
ราคาอาหารไม่ได้แพงมากมายอะไรแค่ทำให้เงินที่ผมกดมาใส่ไว้ในกระเป๋าตังค์เมื่อวานนี้หายวับไปกับตาก็เท่านั้น
Tru...Tru...Tru…
จังหวะที่ผมและหม้อดินกำลังจะเดินไปเปิดประตูขึ้นนั่งบนรถ โทรศัพท์ของผมก็แผดร้องดังขึ้น
มือล้วงหยิบออกมาดู ชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอบ่งบอกว่าเป็น ‘เฟรน’ เด็กในความดูแลของผมที่โทรเข้ามา
“ว่าไงเฟรน” นิ้วรีบแตะสัมผัสหน้าจอเพื่อกดรับสายทันที เพราะเกรงว่าสาเหตุที่โทรมาอาจจะมีเรื่องด่วน
(“พี่ตะวันเสร็จงานหรือยังคะ”) กระแสน้ำเสียงของน้องดูไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่
“เสร็จแล้ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
(“มาหาเฟรนหน่อย เกิดปัญหาขึ้นแล้ว”)
นั่นไง ทำไมทีซื้อหวยไม่เคยถูก พอเรื่องไม่ดีแบบนี้ล่ะเดาแม่นจริง ๆ
“โอเคพี่จะรีบไป” เพราะรู้ตารางงานของเฟรนดีอยู่แล้วจึงไม่ต้องถามไถ่อะไรให้มากความ หลังวางสายผมก็เลยหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ข้างกาย “หม้อดินขับรถกลับบริษัทเองได้หรือเปล่าครับ เราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้วล่ะ พอดีเกิดปัญหาขึ้นกับดาราอีกคน”
“ผมไปด้วยไม่ได้เหรอ” แววตาของคนตั้งคำถามยังคงคาดหวังในคำตอบ
“มันคงไม่ดีเท่าไหร่ ที่นั่นมีนักข่าวป้วนเปี้ยนอยู่ พี่อยากให้หม้อดินเก็บตัวก่อน อีกอย่างไม่รู้ว่าปัญหานี้หนักมั้ยเพราะงั้นอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลยครับ” ผมอธิบายออกมายาวเหยียด
อันที่จริงทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับดาราในสังกัดมันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องจัดการ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้หม้อดินยื่นมือเข้ามาช่วยหรอก
“โอเคครับ แต่พี่ตะวันเอารถไปดีกว่าเดี๋ยวผมหาทางกลับเอา”
“อันนี้ก็ไม่ได้ ทำตามที่พี่บอกเถอะนะ” ผมแทบจะอ้อนวอนหม้อดินแล้วตอนนี้ ช่วยว่านอนสอนง่ายอีกสักครั้งได้หรือเปล่า
“ครับ” คนตัวสูงกว่าเกิดอาการลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดก็ยอมตอบรับแต่โดยดี
“งั้นไว้เจอกันนะครับ ขับรถดี ๆ ล่ะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรผมก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อไปโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาพอดี จังหวะนี้จะมัวรอแต่รถเมล์ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นคงเดินทางไปถึงตอนตลาดวาย
คนขับพยายามที่สุดแล้วที่จะพาผมไปถึงที่หมายโดยเร็ว กระนั้นการจราจรกลับไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถผมจึงกดโทรหาเฟรน ทว่าเธอก็ไม่รับสาย
เกิดอาการร้อนรนขึ้น จนถึงขั้นรีบหันไปเร่งให้คนขับหาวิถีทางหลุดพ้นออกไปจากท้องถนนที่ติดขัดนี้
ทว่าท้ายที่สุดด้วยความชาญฉลาดและรอบรู้ทุกซอกทุกมุมของพี่คนขับ จึงทำให้ผมได้มายืนอยู่ด้านหน้าตึกสตูดิโอทันเวลา นอกจากค่ารถแล้วผมไม่ลืมที่จะให้ทิปเขาเพิ่มไปด้วย
สองเท้าภายใต้รองเท้าผ้าใบรีบก้าวดุ่ม ๆ ตรงไปด้านใน ขณะที่นิ้วมือยังคงรัวโทรหาเฟรนไม่หยุด
(“พี่ตะวัน”) คราวนี้ปลายสายกดรับ พร้อมน้ำเสียงที่ดูเหมือนกำลังร้องไห้อยู่
“พี่มาถึงแล้ว เฟรนอยู่ไหน” ผมเอ่ยถามพลางหอบหายใจถี่
(“อยู่ห้องแต่งตัวชั้นสองค่ะ”)
ครั้นได้คำตอบจึงไม่รอช้าที่จะพุ่งตัวตรงไปยังบันได ผมก้าวยาว ๆ เพื่อขึ้นไปด้านบน ก่อนจะมาถึงหน้าห้องซึ่งแปะกระดาษสีขาวเอาไว้ว่าเป็นห้องแต่งตัวของใคร
“เกิดอะไรขึ้น” ผมกดวางสาย และถามคนที่นั่งอยู่หน้ากระจกตรงมุมห้อง
บรรยากาศภายในดูท่าจะไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะทันทีที่ย่างกายเข้าไปสายตาทุกคู่พลันจดจ้องมาที่ผมโดยพร้อมเพรียง
สรุปแล้วคนที่มีปัญหาคือเฟรนหรือผมกันแน่วะเนี่ย อย่ากดดันกันผ่านทางสายตาได้ไหม กูเพิ่งมากูไม่รู้
“ทำไมวันนี้ตะวันไม่มาคอยคุมเด็กของตัวเอง” ‘พี่ดา’ หนึ่งในทีมผู้ดูแลงานนี้ยิงคำถามใส่ผมทันที
“สวัสดีครับพี่ดา” เนื่องจากอีกฝ่ายอายุมากกว่าจึงกล่าวทักทายเป็นอันดับแรกก่อนตอบ “พอดีผมมีงานอื่นที่ต้องไปทำน่ะครับ”
“เด็กของตะวันไปหาเรื่องน้องนาเดีย กว่าพวกพี่จะจับแยกออกจากกันได้แทบแย่ แถมยังมีนักข่าวเก็บภาพเอาไว้ได้อีก” ประโยคบอกเล่าถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดบ่งบอกชัดเจนว่าค่อนข้างฉุนเฉียวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“นาเดียต่างหากที่เป็นคนหาเรื่องเฟรน” เด็กในความดูแลของผมเอ่ยแย้ง ดวงตากลมโตแดงระเรื่อเนื่องจากกำลังร้องไห้อยู่ กระนั้นกลับไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
“เฟรน” ผมเรียกชื่อเธอเสียงนิ่ง พลางส่งสายตาห้ามปรามว่าอย่าเพิ่งวู่วาม ไม่อย่างนั้นเรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่
คนที่นั่งอยู่ในห้องก็มีแต่ทีมงานทั้งนั้น เกิดพวกเขาเอาไปพูดนินทาลับหลังมีหวังคงส่งผลต่องานอื่น ๆ
“ตะวันจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง พี่ขอแนะนำได้มั้ย ว่าให้เฟรนไปขอโทษนาเดียซะทางนั้นเขาจะได้ไม่เอาเรื่อง ส่วนนักข่าวเดี๋ยวพี่ให้คนไปคุยเองว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
เป็นธรรมดาของวงการบันเทิงที่สามารถพลิกดำให้เป็นขาวได้ขอเพียงแค่มีเส้นสายมากพอ
“ใครเป็นคนบอกเหรอครับว่าเฟรนหาเรื่องนาเดีย พี่เห็นกับตาเองหรือเปล่า?” ผมยังคงไม่ด่วนสรุป เพราะรู้จักนิสัยของเด็กตัวเองดี ทำงานใกล้ชิดกันมานานหากไม่สุดจะทนจริง ๆ เฟรนย่อมไม่เดือดดาลจนอยากปะทะขนาดนั้น หนำซ้ำน้องยังบอกอีกด้วยว่าตนถูกหาเรื่องก่อน
“ผู้จัดการของนาเดียเป็นคนบอก และพวกพี่ก็เข้าไปเห็นกับตาด้วยว่าเฟรนกำลังตบฝั่งนั้น” ที่พูดมาแสดงว่าไม่ได้อยู่ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องบาดหมางขึ้น
และนี่ไม่มีใครคิดที่จะฟังคำพูดของเด็กผมบ้างเหรอ?...
“แล้วมีใครเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นหรือเปล่าล่ะครับว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ผมว่าเรียกฝั่งนั้นมานั่งจับเข่าคุยกันเลยจะดีกว่ามั้ย”
และมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กในความดูแลของผมทำผิดจริง ตราบใดที่ทุกคนเข้าไปทันเห็นแค่ตอนที่ทั้งสองปะทะกันแล้ว แต่กลับไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น พอผู้จัดการของนาเดียบอกเช่นนั้นก็พากันเชื่อไปหมด
ถ้าช่วงเวลาที่เกิดเรื่องมีเพียงแค่เฟรน นาเดียและผู้จัดการของเธอ ทำไมถึงไม่พากันห้ามเด็กของผมทั้งที่จำนวนฝั่งนั้นก็มีมากกว่า อีกอย่างเฟรนก็ตัวเล็กกว่าทั้งสองตั้งเยอะ
ไม่ใช่ว่าต้องการให้เหตุการณ์มันออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกหรอกเหรอ..
