บทที่ 2 นี่ข้าคือใคร???
ขบวนบรรณาการเดินทางทวนแม่น้ำอูรูไมล่าที่เป็นดั่งสายเลือดของชาวเซฮารานไปทางทิศตะวันตกเป็นเวลาสิบกว่าวัน จากนั้นก็ยังต้องเดินทางตัดลงทางตะวันตกเฉียงใต้ด้วยรถเทียมตัวกีเซลข้ามทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลอีกเกือบเดือนจึงจะเข้าเขตชายแดนการ์ซิด กระนั้นเจ้าหญิงผู้งดงามก็ยังคงหลับไหลไม่ได้สติตลอดทางจนเป็นที่หนักใจของเพทย์เพียงหนึ่งเดียวในขบวนยิ่งนัก เขาไม่เคยเจอคนตายแล้วฟื้นมาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรจะต้องรักษานางอย่างไรดี นางหลับยาวนานเหมือนสัตว์ในช่วงจำศีล เขาได้รับคำสั่งมาว่าให้ทำอย่างไรก็ได้ให้นางฟื้นขึ้นมาก่อนจะเดินทางไปถึงเมืองหลวงแห่งการ์ซิด ตลอดหนึ่งเดือนกว่าๆ มานี้เขางัดสารพัดวิธีที่ร่ำเรียนมาใช้จนหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าหญิงผู้งดงามตรงหน้าจะตื่นจากนิทรารมณ์แต่อย่างใด และวันนี้ก็เป็นกำหนดเส้นตายที่จะทำการรักษาแล้ว หากยังไม่สำเร็จก็เห็นทีจะต้องยอมส่งศีรษะตนเองกลับไปเซฮารานแต่โดยดี
กระโจมสีขาวที่ตั้งอยู่กลางโอเอซิสเล็กๆ ในทะเลทรายอันเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงอาเซร่าถูกปกคลุมไปด้วยควันสีเขียวเข้มกลิ่นฉุนกึก แพทย์อันดับหนึ่งแห่งเซฮารานกำลังงัดเอาไม้ตายสุดท้ายของตนออกมาปลุกเจ้าหญิงนิทราพระองค์นี้ เขาสั่งให้นางกำนัลปิดกระโจมให้สนิทแล้วจุดไฟเผาต้นเมารุนซึ่งเป็นต้นไม้หายากชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นในทะเลทราย กลิ่นของมันยามโดนเผาจะทำให้แสบจมูกอย่างมาก ไม่ว่าใครได้กลิ่นก็ต้องจามติดต่อกันถึงสามวันสามคืนเลยทีเดียว เล่นเอาทหารคุ้มกันขบวนและนางกำนัลชาวการ์ซิดพากันหลบออกจากค่ายพักไปยืนเหนือลมกันหมด
"ฮะ ฮะ ฮัด อ๊าด...เช่ย!" เสียงจามหลุดออกมาจากริมโอษฐ์อิ่มเต็มของเจ้าหญิงในที่สุด จากนั้นเปลือกเนตรเย้ายวนก็กระพริบถี่รัวก่อนจะลืมขึ้นมางงๆ
นายแพทย์ชราดีใจจนน้ำตาไหลพรากที่รักษาหัวของตนเองไว้ได้ในที่สุด แม้จะต้องจามติดต่อกันไปอีกสามวันสามคืนก็คุ้มค่า
"องค์หญิงฟื้นแล้ว!ฮัด...เช่ย! ๆ ๆ" พระพี่เลี้ยงตะโกนลั่นด้วยความดีใจ รีบไปเปิดประตูกระโจมไล่ควันสีเขียวออกให้หมด แต่ไม่วายจามไปตลอดทาง
ลาพิสจามติดๆ กันหลายทีจนเหนื่อย กำลังหลับฝันหวานอยู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยกลิ่นที่แสนจะทะลุทะลวงโพรงจมูก เล่นเอาหล่อนจามจนงงไปหมด กว่าจะตั้งสตินึกได้ว่าตัวเองเดินทางผ่านอุโมงค์มิติเพื่อมาตามหาของเล่นของแอมเบอร์ที่มิตินี้ก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว
หญิงสาวขมวดคิ้วไปจามไป แต่ก็ไม่วายมองสำรวจรอบๆตัวไปด้วย รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับมาอยู่ในโลกยุคโบราณที่ผู้คนแต่งตัวรุ่มร่ามสีสันสดใสคล้ายชุดยิปซี โชคดีที่ข้าวของเครื่องใช้ที่มิตินี้ก็ไม่ต่างจากโลกยุคโบราณเท่าไหร่ แต่ที่โชคร้ายคือสัมพาระสำหรับผจญภัยในเป้หล่อนไม่ได้อยู่ที่นี่ แถมยังถูกคนพวกนี้จับเปลี่ยนชุดมาเป็นอะไรที่ฟูฟ่องรุ่มร่ามไปหมด หล่อนจามแต่ละทีเครื่องประดับที่คล้ายเหรียญทองที่ถูกร้อยอยู่ตามเส้นผมถึงกับกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งราวกับกระพรวนแมว เสื้อที่เกิดจากการเอาผ้าหลากสีมาพันไปพันมาคล้ายเสื้อเอวลอยก่อนจะถูกรวบมากลัดรวมกันไว้ที่ไหล่ซ้ายด้วยเข็มกลัดทองฝังพลอยหลากสี ทิ้งชายผ้าเป็นสายไปด้านหลังยาวจรดสะโพก ท่อนล่างเป็นกระโปรงเอวต่ำสีดำบานย้วยยาวจรดข้อเท้า ปักลวดลายสีสดใสด้วยด้ายมันวาวและลูกปัดที่ทำมาจากเพชรพลอยหลากสี ข้อมือข้อเท้าหล่อนก็เต็มไปด้วยกำไลทองคำราวกับนางระบำอินเดียโบราณ เสียแต่ว่าหล่อนเคยแต่เรียนการต่อสู้ไม่เคยเรียนเต้นรำ ไม่งั้นหล่อนคงลุกขึ้นมาเต้นระบำให้คนที่พากันมามุงพวกนี้ดูไปแล้ว
ลาพิสเหลือบไปเห็นกำไลทองคำขาวที่ข้อมือซึ่งความจริงเป็นทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องจีพีเอสสามมิติของตนยังอยู่ก็ถึงกับถอนใจโล่งอก อย่างน้อยหล่อนก็คงไม่หลงทางที่นี่ละนะ โชคดีที่มันดูเหมือนเครื่องประดับ และความที่มันรัดพอดีข้อมมือ คนพวกนี้เลยไม่รู้จะถอดมันออกยังไงด้วยล่ะมั้ง จึงยังคงเหลือติดตัวอยู่จนบัดนี้ หญิงสาวกดปุ่มที่ส่งสัญญาณแปลภาษาจากเทคโนโลยีชิ้นเดียวที่ยังเหลือติดตัวอยู่ทันที คอมพิวเตอร์ข้อมือเครื่องนี้สามารถทำการประมาลผลและแปลภาษาทุกภาษาได้ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดคุยในภาษานั้นๆ นานเกินสองร้อยชั่วโมง และจะทำการส่งสัญญาณภาษาที่ถูกแปลสู่สมองของผู้ใช้ด้วยระบบชีวะฟิสิกส์ ทำให้ผู้ใช้พูดภาษาอื่นได้อย่างง่ายดาย อืม... ดูจากวันที่ที่หล่อนมาถึงนี่แล้ว ตอนนี้ก็ผ่านไป......
"บ้าฉิบ!อะไรวะ นอนหลับไปแป๊บเดียว ผ่านไปสามสิบห้าวันเข้าไปแล้วเหรอเนี่ย" ลาพิสลืมตัวสบถเสียงดังลั่น จ้องวันที่ๆ ปรากฏบนข้อมือตาแทบถลน ลืมจามไปชั่วขณะ ถึงหล่อนจะเป็นคนชอบนอนขนาดไหน แต่ก็ยังไม่เคยนอนหลับยาวรวดเดียวนานขนาดนี้มาก่อน
"ฮัดชิ่ว!องค์หญิงรับสั่งว่าอะ... ฮัดชิ่ว! อะไรนะเพคะ" เสียงถามปนจามมาจากหญิงวัยกลางคนข้างกายทำให้ลาพิสรีบหุบปาก ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรเป็นศัตรูแบบนี้พูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า
"ทรงกระหายน้ำหรือไม่ ฮาด....เช่ย!" ชายชราที่จามจนจมูกแดงน้ำตาไหลพราก รินน้ำจากกาดินเผาใส่จอกเล็กๆ มาให้ ลาพิสรีบรับมาดื่มดับกระหาย หลังจากที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหนก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีทันใด
ราวกับคนพวกนี้รู้ว่าหล่อนหิวจัด พวกเขารีบยกอาหารมาให้หล่อนและปรนนิบัติดูแลราวกับหล่อนเป็นบุคคลสำคัญ พอกลิ่นฉุนๆ ในกระโจมหายไปหมดก็มีคนโผล่เข้ามาดูหล่อนอีกเพียบราวกับกำลังดูสัตว์ประหลาด ลาพิสขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจแต่ก็ยังไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตากินไปจามไปจนอาหารหมดไปกว่าสามถาดใหญ่ๆ ราวกับกำลังกินชดเชยช่วงเวลาสามสิบกว่าวันที่มัวแต่นอนหลับไป ก็หล่อนน่ะถือคติว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องไง หญิงสาวรู้ตัวดีว่าตัวเองมีนิสัยเสียอยู่อย่างที่แก้ไม่หายนั่นก็คือชอบโมโหหิว ขนาดพวกลูกน้องพ่อลูกน้องแม่หล่อนคนไหนที่ว่าโหดสุดๆ แล้วยังไม่อาจหาญเข้าใกล้หล่อนเวลาที่รู้ว่าหล่อนกำลังหิวเลย ยังดีที่หล่อนเป็นคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ไม่งั้นป่านนี้คงอ้วนเป็นช้างไปแล้ว
พอกินจนอิ่มหนำสำราญเบิกบานใจแล้ว หญิงสาวก็ค่อยมีเวลาหายใจหายคอขึ้นเล็กน้อย หล่อนเอนหลังไปพิงหมอนอิงปรายตาคมกริบไปทั่วห้อง ทำเอาเสียงกระซิบกระซาบทั้งหลายในห้องเงียบลงทันที พวกผู้ชายที่แต่งตัวรัดกุมด้วยเสื้อแขนยาวสีแดงเลือดหมู กางเกงขายาวสีดำ สวมทับด้วยเสื้อเกราะอ่อนสีเงินเหมือนกันทุกคนจนดูคล้ายพวกทหารพากันหลบฉากออกนอกกระโจมกันไปหมด คงเหลือแต่ผู้หญิงสาวสี่คนที่ใส่ชุดสีขาวสลับแดงรุ่ยร่ายเหมือนกันหมด ซึ่งคงจะเป็นเครื่องแบบอะไรสักอย่าง กับชายแก่หัวล้านแต่มีหนวดเครายาวกับหญิงวัยกลางคนที่ยกอาหารมาให้หล่อน
"ที่นี่.. ฮัดชิ่ว ที่ไหน" เสียงกังวาลทรงอำนาจดังออกมาจากริมฝีปากบางแต่อิ่มเต็มของเจ้าหญิงผู้ได้ชื่อว่าตายแล้วฟื้น มันออกจะตะกุกตะกักและเพี้ยนๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครสงสัย เพราะหล่อนพูดไป จามไป
"ที่นี่โอเอซิสไมอุระ ฮ้าด...เช่ย! ชายแดนของอาณาจักรการ์ซิดเพคะ" พระพี่เลี้ยงตอบไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ เพราะกลัวเจ้านายตนเองจะคิดสั้นอีก แต่พอไม่เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอะไรก็แอบถอนใจด้วยความโล่งอก
"ข้า... มาอยู่ที่นี่.. ได้..อย่างไร" ลาพิสถามต่อ พยายามพูดภาษาของที่นี่ให้ดีที่สุด
"ฮัดเช่ย ๆ ๆ หลังจากที่พระองค์ปลิดชีพพระองค์เอง กองทัพการ์ซิด ฮัดเช่ย ก็ ฮัดเช่ย ยกทัพมาประชิดชายแดนเราเพคะ ฮัดเช่ย พระบิดาของพระองค์จึงลองทำพิธีชุบชีวิตพระองค์ที่วิหารจันทรา ฮัดเช่ย พอพระองค์ฟื้นคืนชีวิต ทาง ฮัดเช่ย ทางการ์ซิดก็คุม เอ๊ย เชิญพระองค์มาทั้งๆ ที่พระองค์ ฮัดเช่ย ยังมิได้พระสติเพคะ" หญิงกลางคนจามจนหน้าแดงน่าสงสารขณะพยายามอธิบาย
ลาพิสจามไปขมวดคิ้วไป นี่คนพวกนี้คิดว่าหล่อนเป็นใครกันแน่
"ฮ้าด...ชิ่ว.... แล้ว ฮ้าดชิ่ว ข้าคือใคร" คำถามที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแสนสวยนี้เล่นเอาทุกคนในห้องพากันอ้าปากค้าง มองจ้องหล่อนราวกับเห็นตัวประหลาด
หรือว่า การฟื้นคืนชีพจากความตาย จะเป็นเหมือนการเกิดใหม่ที่ไร้ความทรงจำกันนะ แพทย์ชรากับพระพี่เลี้ยงมองสบตากัน ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ แต่อย่างน้อยพวกตนก็ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งเซฮารานจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย หรือขัดขืนการถูกส่งตัวไปเป็นบรรณาการแด่ราชาแห่งการ์ซิดอีกต่อไป
"ฮ้าด..ชิ่ว ทำไมไม่ตอบล่ะว่าข้าคือใคร" หญิงสาวถามย้ำอีก
"พระองค์คือเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งเซฮาราน ฮัดเช่ย มีพระนามว่า เจ้าหญิงอาเซร่าเพคะ ฮ้าดเช่ย" คราวนี้พระพี่เลี้ยงตอบอย่างฉะฉานด้วยความภาคภูมิใจ
อาเซร่า..... ชื่อเพราะดีแฮะ สงสัยหน้าตาก็จะคล้ายเรา คนพวกนี้เลยเข้าใจผิด แต่ก็สะดวกดีนะ เป็นถึงเจ้าหญิงก็แสดงว่าต้องมีคนรับใช้ และมีของกินไม่ขาดปากน่ะสิ ฮี่ๆ ๆ ลาพิสเผลอยิ้มชั่วร้ายแสดงความในใจออกมาจนพระพี่เลี้ยงวัยกลางคนขมวดคิ้ว
"ทรงแย้มสรวลไม่งามเพคะองค์หญิงอาเซร่า ฮัดเช่ย" พระพี่เลี้ยงตำหนิ
"เรียกข้าว่าลาพิส ไหนๆ ข้าก็เกิดใหม่แล้ว ขอใช้ชื่อใหม่ด้วยเลยนะ ฮัดชิ่ว"
"เอ่อ... ก็ ฮัดชิ่ว ก็ได้เพคะ องค์หญิง….ละ ลาพิส"
"ดี ฮัดชิ่ว ทีนี้ก็เล่าสิ่งที่ข้าควรรู้มาให้หมด ฮัดชิ่ว เพราะข้าจำอะไรไม่ได้เลย" ลาพิสสั่งยิ้มๆ
หญิงสาวตั้งใจฟังพระพี่เลี้ยงที่บอกว่าตนเองชื่อว่าเนราน และเป็นผู้เลี้ยงดูองค์หญิงอาเซร่าอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เล่าประวัติความเป็นมาของเจ้าหญิงพระองค์นี้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัยใจคอ ความชอบต่างๆ งานอดิเรก จนกระทั่งเหตุการณ์ที่สำคัญ และสถานการณ์ทางการเมืองของอาณาจักรต่างๆ ในมิตินี้
หญิงสาวพยักหน้าเป็นระยะๆ สลับกับการจาม ยิ่งฟังนานเข้า คิ้วโก่งเรียวก็ยิ่งขมวดเป็นปมหนักเข้าทุกที ก็นิสัยใจคอของเจ้าหญิงองค์นี้ช่างตรงกันข้ามกับหล่อนไปเสียหมดทุกอย่าง แถมตอนนี้หล่อนก็กำลังถูกส่งตัวไปประดับฮาเร็มของพระราชาหน้าหม้อองค์หนึ่งอีกต่างหาก แต่ถ้าหน้าหม้อธรรมดายังไม่เท่าไหร่ นี่ดันรบเก่ง แถมยังเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดในมิตินี้อีกด้วย การหลบหนีคงไม่ง่ายซะแล้ว เอาไว้ค่อยรอคนพวกนี้หลับกันให้หมดก่อน หล่อนจะเอาแผนที่สามมิติออกมาดูว่าไอ้ของเล่นเจ้าปัญหาของแอมเบอร์ยู่ที่ไหน แล้วค่อยวางแผนต่อไปว่าจะทำยังไงดี ป่านนี้ไม่รู้ว่าไอ้เพื่อนตัวแสบทั้งสองคนจะหาของเจอแล้วกลับไปก่อนแล้วรึยัง เพี้ยง! ขอให้พวกมันโชคร้ายกว่าหล่อนเป็นสิบเท่าเลย!
คนที่มิตินี้ก็ไม่ต่างจากคนที่โลกเท่าไหร่ แต่สัตว์ที่นี่ค่อนข้างจะแตกต่างกับที่โลกมากอยู่ เช่นได้ตัวที่พวกเขาใช้ลากรถนั่นไง ตัวใหญ่เหมือนวัวแต่รูปร่างเหมือนหมา แถมหน้าตาดันเหมือนกวางอีกต่างหาก
สภาพภูมิอากาศก็ไม่พิสดารอะไรมาก มีป่ามีแม่น้ำมีทะเลทราย เวลาต้องเดินทางในทะเลทรายที่ร้อนระอุ ผู้คนที่นี่ก็จะเดินทางกันตอนกลางคืนเหมือนกับผู้คนในโลกยุคโบราณ ตอนกลางวันก็นอนพักผ่อนหลบแดดกัน พออากาศเริ่มร้อนจัดขึ้นทุกคนก็พากันหลับหมด เหลือทหารเฝ้ายามอยู่นอกกระโจมเพียงไม่กี่คน ลาพิสกดปุ่มสีเขียวที่คอมพิวเตอร์ข้อมือให้ฉายภาพแผนที่สามมิติออกมาทันทีที่ปลอดคน
อืม... มิตินี้คล้ายโลกจริงๆ มีทวีปใหญ่อยู่สามทวีป พื้นที่ริมทวีปที่ติดทะเลส่วนใหญ่เป็นป่าทึบ ส่วนกลางๆ ทวีปก็เป็นทุ่งหญ้าและทะเลทรายคล้ายๆ ที่โลก ตอนนี้หล่อนอยู่ที่ริมทะเลทรายของทวีปหนึ่ง ดูจากประวัติการเดินทางที่ถูกบันทึกลงในเครื่องตั้งแต่หล่อนมาถึงที่มิตินี้แล้ว อาณาจักรเซฮารานคงจะอยู่ติดทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป ส่วนศูนย์กลางของอาณาจักการ์ซิดก็อยู่ที่เมืองท่าริมทะเลด้านตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปนี้ สองอาณาจักนี้ถูกคั่นกลางด้วยทะเลทรายกว้างใหญ่ และตอนนี้หล่อนก็เดินทางมาได้สามในสี่ของระยะทางแล้ว อีกไม่นานก็จะออกพ้นทะเลทรายเข้าสู่พื้นที่ๆ เขียวขจีไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าโปร่ง
หญิงสาวกัดฟันกรอดเมื่อเหลือบไปเห็นสัญญาณจีพีเอสแสดงตำแหน่งของเจ้าของเล่นที่หล่อนมาตามหา ก็จะไม่ให้หัวเสียได้ยังไง เพราะมันดันอยู่ที่ตรงศูนย์กลางของอาณาจักรการ์ซิด ซึ่งเป็นทิศตรงกันข้ามกับจุดที่ประตูมิติเปิด! สรุปว่าหล่อนต้องไปการ์ซิดเพื่อเอาของเล่นก่อน แล้วถึงจะกลับไปยังประตูมิติที่วิหารจันทราของเซฮารานได้
ทางที่ดี แกล้ง เล่นไปตามน้ำ พอไปถึงการ์ซิดอะไรนั่น ค่อยแกล้งบอกว่าคิดถึงบ้าน แล้วให้ราชาหน้าหม้อจัดทหารไปส่งหล่อนกลับเซฮารานน่าจะง่ายกว่า ไม่เปลืองแรง แถมยังสะดวกสบายอีกต่างหาก ตอนนี้ก็แค่ต้องมานั่งคิดแผนว่าทำยังไงราชาหน้าหม้อนั่นจึงจะตกหลุมพราง ยอมปล่อยหล่อนกลับบ้านโดยเร็วที่สุด ถือซะว่าได้มาเที่ยวเล่น เปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน พอเรียนจบก็ต้องรีบไปรับช่วงกิจการครอบครัวแล้ว ต่อไปคงไม่มีเวลาไปมัวเที่ยวเล่นอีก ว่าแต่ ตอนนี้รีบนอนเอาแรงก่อนดีกว่า