บทที่ 1 เจ้าหญิงแห่งเซฮาราน
ราตรีอันมืดมิดปราศจากดวงจันทร์ ท่ามกลางผืนฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพรายและผืนทรายสีขาวสะอาดราวกับแป้งฝุ่น เสียงร่ำไห้คร่ำครวญของคนนับหมื่นนับพันชีวิตที่นั่งคุกเข่ารายล้อมวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งจันทราเทพดังกระหึ่มจนผนังวิหารที่สร้างจากหินสีดำสนิทแทบจะสั่นสะเทือน
ใจกลางวิหารมีร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวแสนสวยในชุดสีดำทอดกายเหยียดยาวอยู่บนแท่นหินรูปวงกลมที่สลักลวดลายเรขาคณิตแปลกประหลาด ผิวของนางขาวซีดจนเกือบจะเขียว ผมสีดำดุจม่านราตรีคลี่สยายสะท้อนแสงไต้เป็นเงาวูบไหว นางคือเจ้าหญิงพระองค์เดียวของอาณาจักรเซฮาราน.... เจ้าหญิงอาเซร่า ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงประชา เพราะนอกจากจะมีความงดงามเป็นเอกในแผ่นดินแล้ว นางยังเป็นผู้ที่อ่อนหวานและจิตใจงดงามอย่างยิ่งอีกด้วย เมื่อครั้งที่นางยังมีชีวิตอยู่ได้ช่วยเหลือประชาชนไว้มากมาย จนแทบจะกล่าวได้ว่าความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรครึ่งหนึ่งของเซฮารานมาจากนางเลยทีเดียว
เสียงนักบวชสวดมนต์ประสานกันเป็นท่วงทำนองสูงต่ำรับกันเป็นจังหวะ เพื่อชุบชีวิตเจ้าหญิงผู้กำชะตาอาณาจักรไว้ ไม่มีใครรู้ว่าพิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันยอมเสี่ยงแม้จะรู้ว่ามีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม
เจ้าหญิงอาเซร่าทรงมีสิริโฉมงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ แต่ความงามนี้ก็เป็นสิ่งที่นำภัยมาสู่อาณาจักรเซฮาราน เพราะเกิดไปต้องตาต้องใจราชาของอาณาจักรการ์ซิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนดิน ผู้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณ ราชาแห่งอาณาจักรการ์ซิดได้ยินคำร่ำลือเรื่องความงามของเจ้าหญิงพระองค์นี้จึงอยากได้นางมาประดับฮาเร็ม เขาถึงกับส่งทูตมาเจรจากึ่งบังคับให้เซฮารานส่งนางไปเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อแสดงความจงรักภักดีทั้งๆ ที่เซฮารานหาได้เป็นเมืองขึ้นของการ์ซิดไม่ เดิมทีราชาดาอิลไม่มีความสนใจในอาณาจักรรักสงบเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อีกฟากของทะเลทรายแห้งแล้งกันดารอย่างอาณาจักรเซฮารานสักเท่าไหร่ เขาจึงไม่เคยคิดจะเข้ามาบุกโจมตีเพื่อยึดเซฮารานเป็นเมืองขึ้น แต่ครั้งนี้คณะทูตจากการ์ซิดได้ย้ำว่าหากอาณาจักรที่เล็กราวขี้ตายุงเช่นเซฮารานไม่ส่งเจ้าหญิงอาเซร่าซึ่งเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทไปเป็นบรรณาการแด่กษัตริย์การ์ซิด เซฮารานจะถูกลบออกจากแผนที่โลกภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน.... ไม่มีใครไม่เชื่อคำขู่นี้ เพราะกองทัพแห่งการ์ซิดนั้นได้ชื่อว่าเป็นกาองทัพปีศาจ ยิ่งหลังจากราชาหนุ่มแห่งการ์ซิดคนนี้ขึ้นครองราช การ์ซิดก็ได้แผ่ขยายอาณาจักรออกไปจนแทบจะกลืนกินทั้งทวีป
แต่เจ้าหญิงผู้อ่อนหวานงดงามแห่งเซฮารานมีหรือจะทรงทำพระทัยได้ เมื่อทราบว่าตนเป็นผู้ชักนำสงครามมาสู่อาณาจักรที่เคยสงบสุขมาช้านาน พระองค์ก็ทรงปลิดชีพองค์เองด้วยการปักมีดสั้นเข้าสู่พระหทัยท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคณะทูตจากการ์ซิดและขุนนางแห่งเซฮารานทั้งหลาย ราชาและราชินีแห่งเซฮารานถึงกับประชวนพระวาโยกลางท้องพระโรง
สามวันให้หลัง กองทัพปีศาจแห่งการ์ซิดก็ยกมาประชิดชายแดนเซฮาราน โดยอ้างว่าการกระทำของเจ้าหญิงอาเซร่าเป็นการหมิ่นเกียรติของราชาแห่งการ์ซิด สร้างความหวาดกลัวต่อประชาชนชาวเซฮารานที่รักสงบเป็นอย่างยิ่ง
ราชาและขุนนางแห่งเซฮารานทำการยื้อเวลาแห่งสงครามด้วยการส่งราชทูตกับม้าเร็วไปขอขมาราชาแห่งการ์ซิดพร้อมทั้งส่งแก้วแหวนเงินทองไปเป็นบรรณาการอีกยี่สิบเล่มเกวียน โดยแจ้งราชาดาอิลแห่งการ์ซิดว่าทางเซฮารานจะทำพิธีชุบชีวิตเจ้าหญิงอาเซร่าภายในเวลาเจ็ดวัน และสัญญาว่าทันทีที่เจ้าหญิงฟื้นคืนชีพจะรีบส่งตัวไปถวายเป็นบรรณาการแด่ราชาดาอิล ขอให้กองทัพแห่งการ์ซิดโปรดรั้งทัพไว้ที่ชายแดนจนกว่าพิธีจะเสร็จสิ้นด้วยเถิด
แม้ราชาและขุนนางแห่งการ์ซิดแทบจะหัวเราะเยาะกับข้ออ้างให้รั้งทัพนั้น แต่อาณาจักรเซฮารานก็ได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่รวมรวมนักบวชและเวทมนต์เก่าแก่ไว้มากที่สุดในโลก ราชาหนุ่มแห่งการ์ซิดจึงสั่งให้กองทัพรอคอยอีกสักหนึ่งสัปดาห์เพื่อจะดูว่าพิธีคืนชีวิตคนตายของเซฮารานจะสนุกสนานสักเพียงใด อย่างน้อยก็อาจทำให้พระองค์หายเบื่อได้ชั่วคราว
ท่ามกลางตำนานลึกลับทั้งหลายในโลก ตำนานศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับการชุบชีวิตคนตายของเซฮารานเป็นเรื่องที่มีการกล่าวขวัญกันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีใครเคยพิสูจน์ว่าตำนานมีความเป็นไปได้จริงๆ มาก่อน เพราะนอกจากตำนานจะกล่าวว่าต้องใช้นักบวชที่มีพลังแก่กล้าถึงหนึ่งร้อยคนมาสวดทำพิธีในค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์แล้ว ยังต้องใช้เลือดของผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์เซฮารานจำนวนหกสิบคนเป็นเครื่องสังเวยในพิธีนี้อีกด้วย แม้ว่าจะใช้เลือดเพียงคนละจอกมิใช่ว่าจะต้องสละชีวิต แต่ผู้ที่จะทำการสละเลือดต้องเกิดจากความเต็มใจจริงๆ เท่านั้น หากมีแม้แต่คนเดียวที่ไม่เต็มใจจะสละเลือดพิธีก็ไม่อาจสำเร็จไปได้ ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน เพราะไม่เคยมีใครสามารถทำให้คนในราชวงศ์เซฮารานพร้อมใจกันสละเลือดได้
แต่บัดนี้ เมื่อกองทัพปีศาจกำลังมาเยือน การสละเลือดเพียงจอกเดียวของตนเพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินอันเป็นที่รักย่อมเป็นเรื่องง่ายและน่าเต็มใจอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ราชวงศ์เลย ผู้คนทั้งอาณาจักรแทบจะแย่งกันกรีดเลือดตนเองเพื่อเอามาร่วมพิธีอยู่แล้ว
อนิจจา...แท้จริงแล้วผู้คนต่างก็รักตนเองที่สุด หากเจ้าหญิงผู้อ่อนหวานงดงามฟื้นคืนชีพ ชีวิตของเจ้าหญิงหลังจากถูกส่งตัวไปยังการ์ซิดจะเป็นอย่างไรหามีใครสนใจไม่ ขอเพียงบ้านเมืองสงบสุขไร้สงคราม ประชาชนกินดีอยู่ดี จะให้ส่งเจ้าหญิงไปอีกสักกี่สิบคนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร โชคร้ายก็เพียงทั้งอาณาจักรกลับมีเจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เสียงร่ำไห้ที่ดังระงมรอบวิหารจันทรา แท้ที่จริงก็เป็นเพียงการคร่ำครวญให้แก่ตนเองของชาวเซฮารานเท่านั้น!
ประชาชนชาวเซฮารานต่างแห่กันมาเอาใจช่วยในพิธีชุบชีวิตของเจ้าหญิงกันอย่างล้นหลาม ผู้มีเชื้อสายราชวงศ์หกสิบคนยืนประจำตำแหน่งในวิหารล้อมรอบแท่นบูชารูปวงกลมที่มีร่างของเจ้าหญิงอาเซร่าประทับอยู่ สายธารโลหิตสีแดงที่ถูกกรีดออกมาจากข้อมือของผู้ทำพิธีไหลไปตามรางรูปทรงเรขาคณิตที่พื้นวิหาร ทำให้สัญลักษณ์เหล่านั้นแปล่งแสงเรืองรอง สายธารโลหิตไหลเร็วขึ้นตามจังหวะการสวดของเหล่าจอมเวทย์ที่กระชั้นขึ้น รูปทรงเรขาคณิตที่เปล่งแสงบนพื้นลอยตัวขึ้นในอากาศหมุนวนรอบแท่นพิธีจนดูราวกับพายุหมุนลูกเล็กๆ ฉับพลันก็บังเกิดเป็นอุโมงค์ดำมืดดูดกลืนร่างไร้วิญญาณของเจ้าหญิงให้หายวับไปในพริบตา ผู้คนโดยรอบเริ่มแตกตื่นซุบซิบกันถึงความอัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยังคงมีแต่นักบวชจอมเวทย์เท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีสงบและยังท่องคาถาต่อไปด้วยจังหวะถี่รัว ไม่นานก็ปรากฏลูกบอลทองคำลอยออกมาจากอุโมงค์ มันส่องประกายเรืองรองราวกับดวงจันทรา หัวหน้านักบวชยื่นไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ไปแตะที่ลูกบอลเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าจนแสบตา แล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้นๆ ก่อนจะกางออกเป็นหกกลีบคล้ายดอกไม้แย้มบาน พร้อมกับร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวในชุดดำก้าวออกมา
เสียงฮือฮาดังไปทั่ว เพราะหญิงสาวคนนั้นดูคล้ายเจ้าหญิงอาเซร่าอย่างยิ่ง แต่นางกลับงดงามยิ่งกว่าจนน่าตื่นตะลึง ดวงตาที่โตกว่าเดิมเล็กน้อย และกลายจากสีดำเป็นสีน้ำเงินเข้มกระพริบด้วยความงงงวยสองสามครั้งก่อนที่นางจะหมดสติล้มลงกองกับพื้น แพทย์หลวงและผู้ช่วยรีบเข้ามาประคองร่างงดงามไปนอนพักที่ห้องด้านในวิหาร และทำการรักษาเป็นการด่วน พวกเขาพบว่านางเพียงแค่หลับลึกเท่านั้น คณะแพทย์จึงลงความเห็นกันว่าการเกิดใหม่คงจะทำให้ร่างกายต้องการเวลาพักฟื้น
คณะทูตจากการ์ซิดที่เข้ามาสังเกตการณ์ภายในพิธีรีบกลับไปส่งข่าวยังราชสำนักการ์ซิดทันที เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนคุมตัว "เครื่องบรรณาการ" แห่งเซฮารานซึ่งประกอบด้วยทหารการ์ซิดสี่สิบนาย นางกำนัลการ์ซิดสี่นาง หัวหน้าแพทย์หลวงและพระพี่เลี้ยงประจำพระองค์ของเจ้าหญิงอาเซร่าซึ่งเป็นคนของเซฮารานเพียงสองคนก็ออกเดินทางสู่การ์ซิดพร้อมร่างที่ยังสลบไสลของเจ้าหญิงผู้ถูกชุบชีวิต ท่ามกลางเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกของประชาชนชาวเซฮารานทั้งอาณาจักร