บทนำ ด้ายแดงแห่งโชคชะตา (2)
ในระหว่างที่กำลังเจ็บใจในโชคชะตาอาภัพของตัวเอง กลับมีตาแก่คนหนึ่งโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มเสียง เล่นเอาตกใจผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ มองดูท่าทางดีอกดีใจเกินเหตุของตาแก่ตรงหน้าอย่างงงๆ
การแต่งตัวก็เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั่วไป แต่ท่าทีกลับดูแปลกประหลาดพิลึกคนชะมัด ไม่ทราบว่าตาแก่นี่เป็นใครกันน่ะฮะ ทำไมพอเห็นหน้าเขาแล้วถึงต้องยิ้มแป้นทำตาหยีแบบนั้นด้วย ดูทำปากเข้าสิ ปากนี่แทบจะฉีกเลยไปถึงหูอยู่แล้ว!
แปลกคนจริงตาแก่นี่ ดูท่าทางว่าจะเพี้ยนไปแล้วแฮะ
‘มีอะไรรึเปล่าตา กำลังหาทางกลับบ้านอยู่เหรอ’
ด้วยอุปนิสัยกวนโอ๊ยปากวอนหาเรื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้วิญญาณ
เด็กหนุ่มถามขึ้นด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท สองมือล้วงกระเป๋ากวาดสายตามองสำรวจขึ้นลงไปทั่วร่างของชายชราตรงหน้า
ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับพวกเขาแฮะ แต่บอกไม่ถูกว่าไม่เหมือนกันตรงไหน คงเป็นความรู้สึกล่ะมั้ง ตาแก่นี่มีอะไรที่ต่างออกไป ทั้งที่ก็น่าจะเป็นผีเหมือนกัน
ผู้เฒ่าจันทรากวาดตาขึ้นลงมองสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าหลายรอบจนมั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่แล้วจึงเงยหน้าขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก รีบกล่าววาจาตรงเข้าประเด็นในทันใด ‘เจ้าหนู เจ้าอยากไปเกิดใหม่หรือไม่?’
‘หือ เอ่อ ก็...อยากดิ ใครบ้างจะอยากอยู่ในสภาพนี้ วันๆ ได้แต่ลอยไปลอยมาข้าวก็กินไม่ได้ บ้านก็ไม่มีให้อยู่ น่าเบื่อชะมัดยาด แต่เดี๋ยวก่อน! ตาพูดเหมือนรู้ว่าผมเป็นผีงั้นแหละ หรือว่าตาเองก็ตายแล้วเหมือนกัน!’
ดวงตาของวิญญาณเด็กหนุ่มเบิกกว้างแทบถลน ก่อนจะหรี่ตาจ้องเขม็งตาแก่ตรงหน้าที่ยังฉีกยิ้มกว้างไม่ยอมหุบสักที แสดงว่าสิ่งที่เขาพูดไปเป็นความจริง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคนที่มองเห็นเขาได้ล้วนแต่ต้องตายไปแล้วทั้งนั้น
‘ฮะๆ ข้าไม่ใช่ทั้งผีและมนุษย์ แต่ข้าสามารถช่วยให้เจ้ามีชีวิตใหม่อีกครั้งได้ เพียงแต่มีข้อแม้สักเล็กน้อย หากเจ้ารับปาก ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่ทันที สนใจหรือไม่เล่า’
‘เงื่อนไขอะไร อย่ามาล้อเล่นน่ะ ตาเห็นผมเป็นเด็กสามขวบรึไง ถึงมาหลอกกันง่ายๆ เป็นผีก็ต้องถูกส่งไปลงนรกสิ ส่วนเรื่องที่จะถูกส่งตัวไปเกิดใหม่ก็คงต้องภาวนาต่อฟ้าเอา ไม่มีใครไปเกิดใหม่ได้ง่ายๆ อย่างที่ตาพูดหรอก’
อย่าคิดว่าเขาจำอะไรไม่ได้แล้วจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ เขาจำได้น่ะว่าพอตายแล้วก็ต้องรอให้ยมทูตมารับตัวไปยมโลก
‘เจ้านี่ฉลาดใช่ย่อย นี่สิ ถึงค่อยสมกับท่านแม่ทัพหานหน่อย’ เสียงพึมพำแผ่วต่ำ ทำให้วิญญาณเด็กหนุ่มใบหน้าอาบเลือดหรี่ตามองอย่างเอาเรื่อง ท่าทางตาแก่นี่จะเสียสติไปแล้ว เขารีบเผ่นหนีไปที่อื่นดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างโปร่งแสงก็ลอยลิ่วหนีไปอย่างไม่คิดสนใจอีก ทว่า...คำพูดต่อจากนั้นกลับรั้งร่างเขาไว้ให้หยุดชะงัก นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยหันกลับไปมอง
‘ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นแตกต่างจากที่นี่มากนัก แต่เจ้าไม่ต้องกลัว หน้าที่ของเจ้าคือสืบคดีไขปริศนาการตายของนางโลมคนหนึ่งนามว่า ‘เฟยหนี่ว์’ นางอยู่ที่ ‘หอเฟยเซียง’ หอคณิกาอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เป็นบุตรสาวของแม่เล้าเฟย นางมีรูปโฉมงดงามประหนึ่งดอกบัวล้ำค่า เป็นที่หมายตาของคุณชายตระกูลใหญ่ ภายในหนึ่งปีเจ้าต้องจับตัวคนร้ายในคดีนี้มารับโทษให้ได้ หากเจ้าทำตามที่ตกลงไว้ไม่ได้ ร่างใหม่จะค่อยๆ อ่อนแรงลง ผ่านไปหกชั่วยามเจ้าจะหลับใหลไม่ได้สติ วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างกลายเป็นผีเร่ร่อนเหมือนเดิม’
‘อืม...แล้วมันจะต่างจากเดิมตรงไหน สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ’
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วคิดตามคำพูดของตาเฒ่าตรงหน้า ถึงเงื่อนไขนี้จะน่าสนใจแต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องกลับมาเป็นผีเหมือนเดิม แล้วมันจะต่างอะไรจากที่เป็นอยู่ตอนนี้มิทราบ?
‘เจ้าอย่าดูถูกชะตาชีวิตของตนนักสิ สิ่งใดควรไขว่คว้าย่อมต้องไขว่คว้า เมื่อมีโอกาสจงอย่าละทิ้ง เจ้าสามารถเลือกที่จะมีชีวิตต่อไปได้ เพียงแค่ทำตามเงื่อนไขให้สำเร็จ หากไขปริศนาการตายของแม่นางเฟยได้ เจ้าก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในร่างนั้นต่อไปได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปเวียนว่ายตายเกิดเข้าสู่วัฏสงสาร ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถแต่งงานมีครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว’
‘แล้วตาเป็นใคร ที่พูดมาทั้งหมดนี่ทำได้จริงแน่เหรอ’
เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาแก่นี่พูดสักเท่าไหร่เลย ท่าทางดูเหมือนคนสติ
เลอะเลือน พูดจาเรื่อยเปื่อยหาความจริงไม่ได้ แล้วนี่เขาจะเสียเวลาทนฟังไปเพื่อ? รีบเผ่นหนีก่อนดีกว่า!
‘เดี๋ยว! นี่เจ้าคิดว่าตาแก่อย่างข้าเลอะเลือนเสียสติไปแล้วหรือเจ้าหนู!’
น้ำเสียงฉุนเฉียวกรุ่นโทสะทำให้วิญญาณเด็กหนุ่มชะงักพลางกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำมาเป็นโกรธไปได้ เขาพูดความจริงแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เลยรึไง
คราวนี้เขาไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย เพียงเงี่ยหูรอฟังประโยคถัดไปเท่านั้น
‘ข้าแก่ก็จริง แต่หูตาข้ายังดีอยู่นะ ไม่เชื่อแล้วไยเจ้าไม่พิสูจน์เองเล่า ลองไปดูให้เห็นกับตาสิ แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะรู้เองว่าสิ่งที่ตาแก่คนนี้พูดเป็นความจริงหรือไม่’
ผู้เฒ่าจันทราแย้มยิ้มกว้างขึ้น แม้เสี้ยววินาทีหนึ่งมุมปากจะบิดเบี้ยว หางตาจะกระตุกถี่ยิบ แต่กระนั้นก็มิได้แสดงท่าทีอะไรออกไป
เจ้าเด็กนี่ท่าทางฉลาดรู้ทันคน รู้จักระมัดระวังตัวไม่หลงเชื่อใครง่ายๆ ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย ด้ายแดงที่ผูกโยงไว้คงไม่ผิดตัวแน่แล้ว…
‘ก็ได้ ผมจะลองเชื่อดูสักครั้งก็ได้ แต่รู้เอาไว้ด้วยว่าถ้าตาพูดโกหก ต่อให้ต้องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินหา ผมก็จะตามหาลากเอาตัวตามาลงโทษให้ได้ พอเจอแล้วก็จะต่อยให้ฟันร่วงหมดปาก เอาให้เคี้ยวข้าวไม่ได้กันไปเลย คอยดู!’
เด็กหนุ่มหันขวับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึงขังเอาเรื่อง เขาไม่รู้หรอกว่าจะเชื่อคำพูดของตาแก่นี่ได้หรือไม่ แต่ข้อเสนอเย้ายวนใจแบบนี้เป็นใครจะไม่สนกันบ้างล่ะ
ไหนๆ ก็ตายไปแล้ว อย่างมากก็ขอเที่ยวเล่นให้สนุกสักหน่อย เขาไม่หวังว่าจะได้เกิดใหม่เป็นคนอีกครั้ง เพราะฉะนั้นการได้เข้าไปอยู่ในร่างใหม่เลยก็ไม่เลวดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเวลาไปเกิดใหม่ด้วย ที่สำคัญงานเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นผีเร่ร่อนเหมือนเดิม
‘นี่ตา แล้วตาจะให้ผมเข้าไปอยู่ในร่างใคร ชื่ออะไร เป็นคนแบบไหนเหรอ แล้วหน้าตาหล่อไหม...เฮ้ย! หายไปไหนแล้ววะ!’
หลังจากที่ดีใจกับตัวเองอยู่พักใหญ่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามรายละเอียดของคนที่จะให้เข้าไปอาศัยอยู่ในร่าง เด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นตั้งใจจะถามดูให้รู้เรื่อง แต่กลับต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เพราะคนที่คิดจะถามดันหายตัวไปซะแล้ว
ตกลงว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้ฟุ้งซ่านจนละเมอคุยกับตัวเองหรอกใช่ไหม?
‘มัวยืนทำอะไรอยู่ฮึ! รีบตามข้ามาสิเจ้าหนู’
‘หนูที่ไหนตัวใหญ่ขนาดนี้กันเล่าตา!’ เขาสวนกลับไปด้วยคำพูดยียวน ก่อนจะรีบลอยตามร่างของตาแก่ไป
สรุปว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เมื่อกี้นี้เขาคุยกับตาแก่นี่จริงๆ
เขารีบติดตามชายชราตรงหน้าไป แต่แปลกที่ทุกครั้งพอเขาตามใกล้จะถึงตัวอีกฝ่ายก็เหมือนกับถูกอะไรบางอย่างดีดให้ไกลออกไป สุดท้ายไปๆ มาๆ ก็เหมือนเขาลอยเล่นอยู่คนเดียว ก่อนที่แสงสว่างตรงหน้าจะวาบขึ้น ทำเอาสองตาของเขาแสบไปหมดจนต้องปิดลง เขาพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ มันคล้ายกับมีอะไรมากดทับไว้จนหนักอึ้งเปิดไม่ออก
อย่าบอกนะว่ากลหลอกเด็ก นี่เขาชักจะบ้าไปใหญ่แล้ว!
วิญญาณเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนถึงกับแค่นหัวเราะ
เยาะหยันตัวเองในใจ เพียงเพราะรู้สึกเหงาต้องการเพื่อนคุยด้วยก็ถึงกับหลอกตัวเอง
ใครมันจะไปเชื่อเรื่องพรรค์นั้นกันเล่า!
โดยที่ไม่รู้เลยว่าบัดนี้ตัวเองได้โผล่มายังอีกโลกหนึ่งแล้ว และทันทีที่ลืมตาขึ้นก็ไม่รู้เลยว่าควรตีสีหน้าอย่างไร เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าดันไม่เหมือนกับสิ่งที่คิดไว้ ช่างแตกต่างจนไม่สามารถเอามาเทียบเคียงกันได้เลย!
นี่มันล้อเล่นกันใช่ไหม! เรื่องแปลกพิลึกพิสดารอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเขาจริงๆ น่ะเหรอ?!
วิญญาณเด็กหนุ่มถึงกับตะลึงลานทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ เขาอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงก็ไม่มีแม้แต่เสียงจะหลุดออกมา อยากจะร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ ก็ไม่มีแม้สักหยด
หลังจากได้รับความสะเทือนใจอย่างหนัก เขาก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบเอนเอียงไปมา สองขายืนไม่มั่นคง สองตาพร่ามัวมองเห็นอะไรไม่ชัดนัก ก่อนที่สติอันน้อยนิดจะดับวูบเหลือเพียงเสียงกรีดร้องร่ำไห้ในใจ
ขอให้นี่เป็นเพียงฝันไป ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สลายหายไปในพริบตา ขออย่าให้เป็นความจริงเลย!