บทที่ 2 ร่างใหม่ที่ต่างไปจากเดิม [2]
เขาเบิ่งตาโตๆ กวาดมองไปรอบกระโจมอีกครั้ง ที่นี่ถูกสร้างขึ้นแบบลวกๆ เหมือนที่พักในค่ายทหารที่สร้างขึ้นชั่วคราวไม่มีผิดเพี้ยน พื้นที่ด้านในโล่งกว้าง
ไร้ของประดับสวยงามตกแต่งสักชิ้น นอกจากโต๊ะไม้กับเก้าอี้ใกล้ผุพังอย่างละตัว เขาก็ยังไม่เห็นอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย
อาจเพราะได้รับความตื่นตระหนกตกใจมากเกินไป เขาถึงรู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน ร่างกายเหมือนจะเริ่มทรงตัวไม่อยู่ สงสัยคงต้องนอนหลับอีกสักตื่น ไม่แน่ว่าพอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาอาจพบว่าตัวเองกลับไปอยู่ที่เดิมแล้วก็ได้ บางทีตาเฒ่าหนวดเครายาวคนนั้นอาจเป็นเพียงแค่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง
ผู้ที่เป็นเพียงดวงวิญญาณอย่างเขา จู่ๆ จะกลับมามีชีวิตได้ยังไงล่ะ จริงไหม?
ถึงในใจจะรู้สึกอยากปกป้องร่างนี้ไว้ด้วยความสงสาร แต่ก็ยังนึกต่อต้านสุดฤทธิ์ จะให้เขามาอยู่ในร่างใหม่เป็นใครก็ได้ จะขี้เหร่เนื้อตัวดำปี๋ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องไม่ใช่กับร่างนี้สิ
ถ้าหากเดาไม่ผิดสถานะของเด็กคนนี้คงไม่ธรรมดาแน่ คนที่แค่มองตาก็รู้สึกใจสั่น แค่ปลายนิ้วสัมผัสแตะต้องก็อยากกระชากร่างให้เข้ามาอยู่ใกล้ แล้วตวัดวงแขนกอดรัดอย่างนี้ น่าจะถูกยกให้อยู่ในฐานะพิเศษ
เขามีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี คนคนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ คงสังหารใครไม่ได้ ในเมื่อเข้ามาอยู่ในค่ายทหารแล้วจะมีประโยชน์อะไรได้อีกเล่า ถ้าไม่ใช่ใช้ร่างกายยั่วยวนนี่รองรับอารมณ์ป่าเถื่อนของพวกทหารชั้นเลวพวกนั้น ถูกระบายความใคร่แทนหญิงสาวที่อยู่ในเมือง
ยิ่งคิดใบหน้างามล้ำก็ยิ่งซีดเผือดไร้สีเลือด เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแรงๆ หวังให้ความเจ็บนี้เรียกสติตัวเองกลับมา สองตาแดงก่ำเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตารู้สึกอึดอัดทรมาน หายใจไม่ออกยังไงยังงั้น
เขาอยากหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ระบายความโกรธแค้นที่ปะทุในอก จะให้เขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้เพื่อทำภารกิจเนี่ยนะ น่าขำสิ้นดี! แบบนี้มันบ้ามาก เขาทนรับเรื่องโหดร้ายแบบนี้ไม่ไหวหรอก!
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อทนรับความสะเทือนใจไม่ไหวจึงเลือกที่จะปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ความมืดมิดกลืนกินสติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่น้อยนิด หวังว่าพอลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้งทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ก็แค่ถูกฝันร้ายมาทำให้ตกใจเล่น สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เขายังคงเป็นผีล่องลอยไปทั่ว รอเวลาไปเกิดใหม่ และยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเหมือนเดิม
...แต่ความเป็นจริงมักโหดร้ายเสมอ ต่อให้เขาจะภาวนาสักกี่ล้านครั้ง อยากหนีไปให้ไกลแค่ไหนก็ทำไม่ได้อยู่ดี ในตอนที่เปลือกตากำลังจะเปิดขึ้น เขาก็ยังรับรู้ถึงพลังชีวิตที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ยังคงอยู่ในร่างเดิมที่น่าหนักใจ...
นี่เขาต้องยอมรับความจริงสินะ?
เหอะ! ตายไปแล้วได้มาเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องดี แต่มาเกิดใหม่ทั้งทีไยต้องให้กลายเป็นชายบำเรอ!
“น่าปวดหัวจริงๆ เลย! ชอบเล่นสนุกบนความทุกข์ของคนอื่นนักนะ สะใจมากสิท่าที่เห็นผมตกอยู่ในสภาพแบบนี้น่ะ ตาแก่จอมเจ้าเล่ห์เอ๊ย!”
รู้หรอกว่าโวยวายไปก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้น แต่เขาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่น่าเศร้าของผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายนี้แสนจะอ่อนแอเปราะบาง เรี่ยวแรงก็มีอยู่น้อยนิด แถมฐานะยังต้อยต่ำติดดินเอาไปสู้ใครก็ไม่ได้ แค่คิดก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว
“แล้วไอ้เสียงหวานหยดปานน้ำผึ้งนี่อีก ฟังดูยั่วอารมณ์แปลกๆ ถ้าไอ้พวกบ้าตัณหากลับได้ยินเข้าคงอยากรุมทึ้งลวนลามกันพอดี ก่อนอื่นคงต้องหาทางป้องกันตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นคงถูกพวกป่าเถื่อนฉุดกระชากลากถูไปข่มขืนแน่ๆ”
แค่คิดถึงตรงนั้นร่างเพรียวบางก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความทรงจำของร่างนี้ค่อยๆ ย้อนกลับคืนมา โถมทะลักเข้าใส่ราวกับน้ำป่าไหลหลาก เล่นเอาเขาปวดหัวไปหมด เสียงบทสนทนาและภาพเหตุการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นในหัว เหมือนกับหนังม้วนหนึ่งที่กำลังฉายซ้ำ ซึ่งมีตัวละครหลักเป็นเจ้าของร่างนี้
และในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้คือใคร...
‘ฝูกว่างเยว่’ เป็นบุตรชายคนเดียวของราชครูฝูในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่บัดนี้ต้องโทษถูกเนรเทศ ขับไล่ให้ไปอยู่ชายแดนอันไกลโพ้นและทุรกันดารกับไป๋ฮูหยิน
โทษฐานใช้อำนาจบาตรใหญ่เล่นงานขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างไร้เหตุผล ทั้งยังแอบอ้างพระนามของพระองค์โกงกินเงินในท้องพระคลังมานานนับสิบปี ขณะที่บุตรสาวคนโต ‘ฝูไป๋ฮวา’ กลับถูกรั้งตัวอยู่ในวังและได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสนมเอกในวันเดียวกันนั้นเอง
…วันที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่เหลือใครร่วมยินดีกับนางเลยสักคน
นับจากนั้นมานางก็กลายเป็นนกน้อยในกรงทองที่ขาดอิสระ ไม่อาจสลัดหนีไปไหนได้ตลอดชีวิต ถึงจะสุขสบายได้รับการปรนนิบัติอย่างดี แต่กลับต้องพลัดพรากจากครอบครัวและชายอันเป็นที่รัก นางไม่อาจครองคู่กับบุรุษเพียงหนึ่งเดียวในดวงใจ ได้อีกแล้ว แล้วยังคิดว่านางจะมีความสุขได้อีกหรือ?
และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ...ชายคนรักของนางยังเป็นคนเดียวกับที่ฮ่องเต้มีราชโองการพระราชทานสมรสแต่งตั้งให้ฝูกว่างเยว่ไปเป็นภรรยารองอีก ทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติหานเจี้ยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดุจดั่งสามีภรรยา โดยเว้นตำแหน่งภรรยาเอกไว้ เพื่อรอให้ผู้ที่เหมาะสมกว่ามารับตำแหน่งนี้ ซึ่งนี่ก็เท่ากับเป็นการหักหน้าหานเจี้ยที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
ฮ่องเต้โฉดนั่นจงใจสร้างความอับอายให้แก่คนทั้งสองต่อหน้าธารกำนัลมากมายเพื่อความสะใจของตัวเอง
เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างเสียงฮือฮาถกเถียงกันในวงขุนนางน้อยใหญ่ ต่อหน้าโอรสสวรรค์นี่คือประกาศิตอันเฉียบขาด ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้ามาคัดค้านแทนสักคน
ในใจของคนพวกนั้นแค่หลับตาดูก็รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยในคราวเคราะห์ของผู้อื่น แม้ว่า
สีหน้าท่าทางจะไม่เปลี่ยน แต่แววตากลับเผยประกายความสะใจอย่างไม่คิดปกปิด
“ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะมีชะตาตกอับในรักอย่างนี้ นอกจากจะถูกแย่งชิงคนรักไป แล้วยังถูกหมิ่นเกียรติหยามศักดิ์ศรีต่อหน้าคนนับร้อยอีก”
ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ช่างกระไร กล้าทำเรื่องโฉดเขลาไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนั้น ไม่กลัวภัยจะมาถึงตัวบ้างเหรอ ทรงเลอะเลือนสติฟั่นเฟือนถึงขั้นไม่สนใจความเป็นตายของตัวเอง กล้าเล่นงานแม่ทัพใหญ่ซึ่งๆ หน้า ใช้พระราชอำนาจที่มีเหนือกว่ารังแกลูกน้องกันเห็นๆ หรือเพราะถูกรูปโฉมอันงดงามประหนึ่งเทพธิดาบนสวรรค์ของ
ฝูไป๋ฮวาบดบังดวงตาจนทำให้มองไม่เห็นความจริงอะไร
แม่ทัพใหญ่หานมีคุณูปการต่อบ้านเมือง ปกป้องแคว้นอย่างไม่คิดเสียดายชีวิต ทำเพื่อราษฎรทุกหย่อมหญ้า ขจัดภัยพาลที่หวังทำลายความสงบสุขของพวกเขาให้หมดไป แต่พระองค์กลับเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ทำร้ายคนดีๆ คนหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น ไม่รู้สึกผิดอะไร ไม่เห็นแก่คุณงามความดีที่สั่งสมมานาน มุ่งทำลายผู้ที่ชาวเมืองรักและเทิดทูน
เขาไม่อยากคิดเลยว่าอนาคตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร บัลลังก์มังกรอาจถึงคราวต้องสั่นคลอนเพราะเหตุผลนี้แล้วก็ได้ ไม่รู้หรอกนะว่าฮ่องเต้โฉดนี่ทำแบบนี้ไปทำไม แต่มันเป็นอะไรที่สิ้นคิดและโง่มาก เหมือนขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ เลยว่ะ