ย้อนอดีต
เมื่อแววดาวลืมตาขึ้นมาคราวนี้ ปรากฎว่า รอบๆกายมีแต่ต้นไม้ จึงเอ่ยเบาๆว่า"อะไรอีกล่ะเนี่ย อยู่ไหนอีกคราวนี้ เวรกำอะไรกันหว้าาาาา" เมื่อตั้งสติได้จึงสำรวจตัวเองว่ามีตรงไหนบุบสลายหรือไม่ ตามร่างกายมีบาดแผลเล็กน้อย ส่วนมากเกิดจากการลื่นไถล แววดาวคิดว่าหญิงคนนี้น่าจะตกเขาลงมาข้างล่าง การแต่งกายก็ออกแนวงิ้ว นี่เราคงไม่ได้มากับรถงิ้วแล้วตกเขานะ มองดูท้องฟ้าใกล้จะค่ำแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปเรื้อยๆโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าตัวเองมาที่จีนการแต่งกายแบบจีนก็เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อเดินมาได้สักพักก็พบคนตัดฟืน จึงรีบปรี่เข้าไปหา พอเข้าใกล้ก็เอะใจการแต่งกายแบบหนังจีนกำลังภายในเลย ในใจแอบหวั่นวิตกนิดๆ จึงถามไปว่า "ท่านลุง ที่นี่ที่ไหน? ปีอะไร? อีกไกลไหมกว่าจะถึงหมู่บ้าน"
ลุงตัดฟืนอายุประมาณ 40 ต้นๆ กล่าวว่า นี่คือเขาซานเว่ย เป็นที่ที่คนไม่ค่อยเข้ามาเพราะสัตว์ป่าดุร้ายมาก ยิ่งเข้าไปลึกยิ่งอันตรายมาก แล้วถามกลับมาว่า"แม่หนูเข้ามาทำอะไรที่นี่รึ" แววดาวกำลังจะเอ่ยตอบก็รู้สึกว่าโลกหมุนเคว้ง แล้วก็ล้มลง ลุงตัดฟืนทำอะไรไม่ถูกจึงวางไม้ฟืนลงแล้วรีบแบกแววดาวกลับลงเขาไป
ผ่านไป 2 วันแววดาวลืมตาขึ้นมาปารกฎว่าอยู่ในห้องเล็กๆหลังคามุงฟาง จึงนึกขึ้นได้กำลังจะลุกขึ้นก็เห็นผู้หญิงวัย 40 ต้น เดินเข้ามาห้ามไว้ "อย่าเพิ่งลุกเลยแม่หนู เป็นอย่างไรบ้างรึ รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนรึไม่"
แววดาวตอบไปว่า"หนูไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่ที่ไหนคะ?"
หญิงกลางคนตอบกลับมาว่า นี่คือหมู่บ้านในหุบเขาซานเว่ย เป็นหมู่บ้านเล็กๆห่างไกลจากเมืองใหญ่ นางชื่อ ฟางเหม่ยเอิน สามีนางลุงคนตัดฟืนชื่อ ฟางหลิวจง คนส่วนใหญ่เข้าป่าหาฟืนและอาหาร นานๆจะเข้าเมืองสักที นางถามกลับมาว่าแววดาวเป็นใคร ทำไมถึงไปอยู่ที่นั้น
แววดาว ตอบไปว่า ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไปทำอะไรที่นั้น ไม่มีความทรงจำใดๆเลย
ฟางเหม่ยเอินจึงคิดว่านางความจำเสื่อมสาเหตุน่าจะมาจากตกเขาลงมา ตกเย็นวันนั้นสองสามีภรรยาจึงตกลงกันว่าจะรับนางเป็นบุตรบุญธรรม เนื่องจากตนไม่มีบุตร และตั้งชื่อให้แววดาวว่า "ฟางเหม่ยอิง"เพราะพอนางอาบน้ำล้างตัวแล้ว งดงามมาก แต่แววดาวหารู้ไม่เพราะในบ้านไม่มีกระจกส่อง แต่นางก็ชอบชื่อนี้และไม่ได้สนใจอะไรมากนักในระหว่างพักฟื้นร่างกายก็คิดว่าจะหาเงินยังไงแบบไหน จนเมื่อหายดีแล้วก็คิดว่าปรับสมดุลของร่างกายก่อนค่อยว่าอีกที บ้านของครอบครัวฟางนั้นห่างจากหมู่บ้านพอสมควรแต่ฟางเหม่ยอิงก็ไม่ได้ถามอะไร
สักพักนางเดินไปถามฟางเหม่ยเอินว่า "ท่านแม่ข้าอยากลองเข้าเมืองดูสักครา ได้รึไม่ ไปพร้อมท่านพ่อตอนท่านเอาของไปขาย นะท่านแม่ นะ" เมื่อฟางเหม่ยเอินเจอลูกอ้อนก็ไม่อยากขัดใจเนื่องด้วยเห็นว่า ฟางเหม่ยอิง อายุน่าจะ 13 ขวบปีได้ยังเด็กนักน่าจะอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดานะ เลยอนุญาต
เมื่ถึงวันเดินทาง "ใช้เวลานานไหมกว่าจะถึงท่านพ่อ" ฟางเหม่ยอิงถามฟางหลิวจง
*" 2 ชั่วยามก็ถึงแล้วล่ะเหม่ยอิง"ฟางหลิวจงบอกเสียงอ่อนโยน
เมื่อถึงตัวอำเภอ หลิวจงก็พาเหม่ยอิงเอาของไปส่ง แล้วถามเหม่ยอิงว่า"หิวไหมเหม่ยอิง พ่อพาซื้อขนมอร่อยๆกินดีไหม"
เหม่ยอิง "ลูกยังไม่หิว ลูกขอไปเดินชมที่ต่างๆรอท่านพ่อได้ไหม เจ้าคะ กว่าท่านพ่อจะเสร็จคงจะนาน"
หลิวจง "ลูกไม่เคยมาจะหลงทางรึไม่ รอไปพร้อมพ่อดึกว่านะ พ่อเป็นห่วง"
"โถ่ ท่านพ่อลูกจำร้านนี้ได้ และลูกไปไม่ไกลหรอกเจ้าคะ นะท่านพ่อ นะนะ"
หลิวจงถอนหายใจ "เฮ้อ! อย่าไปไกลนะลูก" พูดจบทางเถ้าแก่ร้านก็เรียกพอดี
เหม่ยอิงยิ้ม แล้วจึงเดินไปเรื่อยๆชมร้านรวงมากมาย ระรานตา ในใจก็คิดว่าจะหาเงินโดยวิธีใด สุดท้านก็คิดไม่ออก จึงเดินวนกลับหาหลิวจง ระหว่างนั้น ก็ได้ยินเสียงดังโวยวายจากข้างหลัง "หลบๆ หลีกทางหน่อย เกะกะจริงๆ"แล้วรถม้าก็วิ่งผ่านไป
เหม่ยอิงมองดูแล้วบ่นอุบในใจว่า "ใหญ่คับถนนจริงๆเลยนะ แหม น่า....... จริงๆ"
จังหวะนั้นคนในรถม้านั่งคุยกันว่า "จัดการเรียบร้อยใช่ไหม มันไม่กลับมาได้อีกใช่ไหม ท่านแม่"
คนที่ถูกเรียก ตอบกลับมาว่า "ตกเขาขนาดนั้นมันกลับมาไม่ได้หรอก อีกอย่างเรากำลังจะกลับเมืองหลวงกันแล้ว ส่วนแกก็ไม่ต้องพูดถึงมันอีก ฝังมันไว้ที่นี่แหละ