บทที่ 4 เกล็ดพญารุ้ง
ซิตรินไม่รู้หรอกว่าไอ้เจ้า ‘เกล็ดพญารุ้ง’ ที่ไอยพูดถึงนี่มันคืออะไร แต่หลังจากกินอาหารมื้อนั้นเสร็จ เด็กชายก็ปิดสวิตช์ความเป็นเด็กนรกของตนแล้วกลับเข้าสู่โหมดเด็กหน้าตายไร้อารมณ์ดังเดิม เขาเก็บของ จับหล่อนยัดใส่ไว้ในถุงผ้าข้างเอวให้โผล่ออกมาแต่หัว แล้วก็เริ่มออกเดินทางตามแผนที่อีกครั้ง
ยิ่งเดินเด็กชายผมแดงก็ยิ่งพาซิตรินลึกเข้ามาในป่าที่มืดมิดและเต็มไปด้วยต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้า ผืนดินเต็มไปด้วยหนองน้ำเฉอะแฉะ ตามโคนต้นไม้และเนินดินมีตะไคร่น้ำสีแดงคล้ำเกาะเป็นหย่อมๆ แลดูสยดสยองเหมือนคราบเลือด แค่เห็นสภาพแวดล้อมบริเวณนี้ หญิงสาวก็ต้องพับโครงการชิ่งหนีตอนที่เด็กชายนอนหลับเก็บไปชั่วคราวก่อน เพราะหล่อนตัวเล็กเกินกว่าจะกระโดดข้ามแอ่งน้ำเล็กๆ เหล่านั้นไปได้ ถ้าจะหนีตอนนี้คงจะทุลักทุเลน่าดูชมเชียวล่ะ
ยิ่งเดินป่าก็ยิ่งมืดมิดลงเรื่อยๆ ขนาดเป็นตอนกลางวันยังมืดเหมือนตอนกลางคืนจนไอยต้องเอาผ้าชุบน้ำมันมาพันปลายไม้ทำเป็นคบเพลิงแล้วจุดเป็นไฟส่องทาง ซิตรินอยู่กับเด็กชายหลายวันแต่ก็เพิ่งเคยเห็นเขาจุดไฟแบบพิสดารเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทุกทีเวลาจะจุดไฟเขาจะหาเศษไม้แห้งมาปั่นแบบโบราณจนไฟติด แต่วิธีจุดไฟในวันนี้ของไอยนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก เพราะเขาแค่เอามือไปอังๆ ด้านบนคบเพลิงแล้วพึมพำอะไรสองสามคำไฟก็ลุกพรึบติดขึ้นมาเอง โอ้แม่เจ้า! เด็กนี่มีพลังจิตหรือไม่ก็เวทมนตร์ด้วย ...ว่าแต่ ที่ผ่านมาไอ้เด็กนี่มันจะจุดไฟด้วยวิธีโบราณให้ลำบากไปเพื่อ? คนสวยไม่เข้าใจค่ะ
ซิตรินแอบมองเด็กชายผมแดงที่บัดนี้ทำหน้าเรียบสนิทด้วยความพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดมากขึ้น ไอยเป็นเด็กที่แปลกมากเหมือนคนสองบุคลิก เวลาคุยกับหล่อนเขาก็เหมือนเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งที่ช่างหยอกช่างแกล้ง แต่เวลาที่เขาออกเดินหรือแม้แต่เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกสัตว์ปีศาจเขากลับสงบนิ่งและทำทุกอย่างด้วยความมีสติราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามาก เด็กคนนี้ไม่เคยแสดงความหวาดกลัวออกมาให้หล่อนเห็นแม้แต่ครั้งเดียว หล่อนเสียอีกที่อายุมากกว่าเขาแท้ๆ แต่เวลาเจอกับพวกสัตว์ปีศาจยังอดกลัวจนร้องโวยวายออกมาไม่ได้
เด็กชายคนนี้แม้จะแต่งตัวมอซอ ผมเผ้าก็ชี้โด่ชี้เด่แทบจะไม่เป็นทรง แต่เขากลับมีหน้าตาและผิวพรรณดีมากๆ เขามีดวงตาสีน้ำตาลแดงที่บางครั้งแวววาวเหมือนมีเปลวไฟอยู่ข้างใน คิ้วเข้ม จมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูป รับรองว่าโตขึ้นต้องเป็นหนุ่มหล่อขั้นเทพคนหนึ่ง และด้วยบุคลิกที่โดดเด่นมั่นใจในตัวเองและแฝงแววผู้นำจนดูเหมือนจะเป็นเผด็จการของเขาด้วยแล้ว ซิตรินมั่นใจว่าเด็กคนนี้คงไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวระดับชนชั้นธรรมดาสามัญเป็นแน่ แต่หล่อนก็ยังงงว่าถ้าหากเขาเกิดมาจากครอบครัวชนชั้นสูงแล้วทำไมพ่อแม่ของเขาถึงยอมปล่อยให้เขาเข้ามาหาของป่าตามลำพังแบบนี้กันนะ
ซิตรินคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย หล่อนกินอิ่มๆ มา พอนั่งอยู่ในถุงได้สักพักก็เริ่มรู้สึกง่วงจนตาจะปิด ในที่สุดหล่อนก็ผล็อยหลับไป
ตื่นมาอีกทีหญิงสาวก็เห็นไอยกำลังปีนอยู่บนหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่งด้วยมือเปล่า พอชะโงกหน้าลงไปดูข้างล่างหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม นี่มันสูงไม่ต่ำกว่ายี่สิบเมตรแล้วนะ เด็กนี่ปีนขึ้นมาได้ยังไงฟร๊ะ ทำไมไม่รู้จักรักตัวกลัวตายซะบ้าง หญิงสาวเริ่มคิดว่าตนไม่น่ารีบตื่นขึ้นมาเลย ให้ตายสิ! หวาดเสียวชะมัด อย่างน้อยถ้าจะตายก็ขอตายแบบศพสวยๆ ไม่ได้เหรอ
หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงโวยวาย เพราะกลัวเด็กชายจะเสียสมาธิแล้วพวกหล่อนจะได้ตกลงไปตายหมู่แบบศพไม่สวย หล่อนจึงนั่งเหงื่อตกรอจนไอยปีนขึ้นไปถึงชะง่อนผาแห่งหนึ่งและหยุดพักหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่อยู่ในจุดที่ปลอดภัยแน่แล้วหญิงสาวก็เริ่มเปิดฉากโวยวายด่าเด็กชายออกมาเป็นชุด
“ไอยยยยย! ไอ้เด็กนรก ไอ้เด็กเฮงซวย แกจะพาฉันปีนขึ้นมาทำซากอะไรสูงขนาดนี้ฟร๊ะ ฉันยิ่งกลัวๆ ความสูงอยู่ด้วย ไม่มีอะไรจะทำแล้วรึไง ถ้าเกิดพลาดตกลงไปตายเดี๋ยวศพฉันก็ไม่สวยพอดีกัน!”
ไอยปรายตามามองหน้าหญิงสาวตัวเล็กที่โวยวายเป็นภาษาประหลาดปนกับภาษาของเขา แล้วถามออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่น้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“ข้าสงสัยมานานแล้วว่าคำว่า ไอ้-เด็ก-นะ-รก นี่หมายความว่ายังไง”
ซิตรินถลึงตาใส่แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้จึงส่งยิ้มหวานหยดไปให้เด็กชายแล้วตอบออกมาว่า
“ไอ้เด็กนรก ก็หมายความว่า นายท่าน อย่างไรล่ะ”
ไอยยกถุงที่ใส่ร่างเล็กจิ๋วของสัตว์เลี้ยงของตนขึ้นมาให้หญิงสาวเข้ามาสบดวงตาที่ร้อนดุจเปลวไฟของตนในระยะใกล้ เขาหรี่ตาแล้วตะคอกถามด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เหรอยาน่า?!?!”
ซิตรินสะดุ้งเฮือก ทำคอหดเหมือนเต่า ก็แหม หล่อนก็ยังตัวเล็กแค่เนี้ยะ จะไปสู้รบตบมือกับไอ้เด็กเวรนี่ได้ยังไง รอให้หล่อนกลับไปตัวโตก่อนเถอะ ฮึ่ม!
“จริงๆ น้า ไอ้เด็กนรก แปลว่านายท่านจริงๆ ไม่เชื่อไปถามใครแถวบ้านข้าก็ได้” หญิงสาวทำหน้าบ้องแบ๊วใสซื่อ ส่งสายตาวิ้งๆ ประหนึ่งนางฟ้าผู้บริสุทธิ์อ่อนโยนไปให้เด็กชาย เป็นสายตาชนิดที่ว่าไม่ว่าใครเห็นก็ต้องเชื่อคำพูดของหล่อนแน่นอน กร๊าก กักๆ ๆ ชาตินี้แกคงจะมีวันได้เจอคนแถวบ้านฉันหรอกนะไอ้เด็กนรก ไปถามเลยสิ ไปถามเล้ยยย
เด็กชายยังคงทำสีหน้าแบบไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ เขาปรับสีหน้าเป็นไร้อารมณ์อีกครั้งแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนนี้ข้าจะยังไม่เอาเรื่องเจ้าก่อนก็ได้ เพราะข้าต้องปีนขึ้นไปให้ถึงถ้ำด้านบนก่อนเที่ยง แต่รับรองว่าถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ข้าจะต้องสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่างแน่ จากตรงนี้ไปมันจะอันตรายอยู่สักหน่อย เดี๋ยวเราต้องเข้าไปขโมยเกล็ดพญารุ้งกันแล้ว ดังนั้นห้ามเจ้าส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้นจนกว่าข้าจะอนุญาตอีกครั้ง เข้าใจหรือไม่ ถ้าเจ้ากล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า ข้าจะโยนเจ้าลงไปในหน้าผาด้านล่างทันที”
ซิตรินฟังแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก หล่อนพยักหน้าหงึกๆ และรูดซิปปากตัวเองทันที นี่ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่กันบนหน้าผา หล่อนคงตะเกียกตะกายหาทางวิ่งหนีเด็กนี่เข้าไปแอบในป่าแล้ว ตัวเองอยากจะไปเสี่ยงอันตรายก็ไปคนเดียวสิ จะหอบหิ้วเอาหล่อนมาด้วยทำไมก็ไม่รู้ โรคจิตที่สุด!
ไอยเริ่มต้นปีนต่อด้วยความระมัดระวัง แขนเล็กๆ ของเด็กชายที่ย่างเข้าวัยรุ่นเกร็งแน่นจนสั่น นิ้วมือทั้งห้าประหนึ่งฉาบด้วยกาวเหนียว เขาเหนี่ยวตัวสูงขึ้นๆ อย่างไม่ย่อท้อ เหงื่อกาฬไหลโชกจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มราวกับตกน้ำ บางครั้งมันก็หยดลงบนหัวของซิตรินด้วย
หญิงสาวเหลือบมองใบหน้าของเด็กชายด้วยความลุ้นระทึก เมื่อเห็นว่าสีหน้าเขายังคงสงบนิ่งและเรียบสนิทไร้อารมณ์ราวกับความพยายามปีนป่ายขึ้นมาทั้งหมดของตนเป็นเพียงเรื่องที่ไม่สลักสำคัญหรือมีค่าใดๆ ที่ควรแก่การเก็บเอามาเป็นอารมณ์ หล่อนก็ค่อยๆ สงบใจลงได้บ้าง
พอเด็กชายปีนขึ้นไปอีกประมาณยี่สิบเมตร เขาก็ค่อยๆ โผล่ศีรษะขึ้นไปกวาดตามองสำรวจลานหินเรียบโล่งหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่เกือบจะกึ่งกลางความสูงของหน้าผาแห่งนี้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยเด็กชายก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไปนั่งหมอบอยู่หลังก้อนหินใหญ่หน้าปากถ้ำและแหงนหน้าทำจมูกฟุตฟิตเหมือนจะดมกลิ่นที่ลอยออกมาจากถ้ำแห่งนี้
ซิตรินทำจมูกฟุตฟิตตามอย่างบ้าง แต่หล่อนกลับไม่ได้กลิ่นผิดปกติอะไรสักอย่างนอกจากกลิ่นอับชื้นที่มีอยู่ตามปกติของถ้ำทุกแห่งที่หล่อนเคยไป หญิงสาวทำหน้างงแล้วเอียงคอมองการกระทำที่แสนประหลาดของไอยต่อ
ไอยล้วงมือเข้าไปหยิบผงอะไรบางอย่างออกมาจากถุงผ้าที่ผูกเป็นพวงอยู่ข้างเอว จากนั้นก็เอาผงสีเหลืองนั้นไปทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่หัวของหล่อนที่โผล่ออกมาจากถุงก็ไม่วายโดนจับทาไปด้วย เจ้าผงนี้มันมีกลิ่นเหม็นตุๆ คล้ายกลิ่นตด หญิงสาวจึงทำท่าขยักขย้อนเหมือนจะอาเจียน แต่หล่อนไม่โง่ขนาดที่จะปัดมันออกจากตัวหรอก เพราะหล่อนเชื่อว่าเจ้าเด็กนรกคนนี้มันรู้อะไรมากกว่าหล่อนเยอะ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มีชีวิตรอดในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านแบบนี้มานานจนพบกับหล่อนหรอก และอีกอย่าง หล่อนก็ยังไม่เคยเห็นมันทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลมาก่อนเลย ยกเว้นอยู่ครั้งเดียว ...คือตอนที่มันเก็บหล่อนมาเป็นสัตว์เลี้ยง!
เด็กชายหัวแดงที่ตอนนี้มีสภาพเหมือนเพิ่งตกลงไปในถังแป้งสีเหลืองค่อยๆ คืบคลานเข้าไปในถ้ำโดยพยายามทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุด เขาไม่ได้จุดไฟ แต่อาศัยมือคลำทางเข้าไปแทน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ แสงสว่างก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น ซิตรินเริ่มใจเต้นตึกตักด้วยความกลัวและตื่นเต้น หล่อนรู้สึกว่าถ้ำแห่งนี้มันมีรังสีอำมหิตบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากด้านใน ยิ่งเข้าไปลึกความหวาดกลัวในใจหล่อนก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวี หล่อนสงสัยจริงๆ ว่าเด็กอย่างไอยเติบโตมายังไงถึงได้ไม่มีความกลัวใดๆ เลย ลำพังแค่ความเงียบวังเวงและความมืดที่มองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองแบบนี้ก็ทำให้มนุษย์ธรรมดารู้สึกหวาดกลัวได้แล้วไม่ใช่เหรอ แต่ถ้ำนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าถ้ำผีสิงซะอีก แล้วไอ้เด็กนรกนี่มันจะเข้ามาหาพระแสงดาบหักทำบ้าอะไรฟร๊ะ! ...อ้อ ลืมไป มันไม่ได้เข้ามาหาพระแสงดาบหัก แต่เข้ามาหา เกล็ดพญารุ้ง อะไรนั่นต่างหาก แต่จะหาอะไรก็ช่าง ถ้าขืนไอ้เด็กนี่ยังไม่รีบหาของให้เสร็จๆ แล้วพาหล่อนออกไปจากถ้านี้โดยเร็ว หล่อนคงจะกลายเป็นบ้าเพราะความกลัวแน่ๆ
ไอยคลานเข้ามาในถ้ำนานมาก นานจนซิตรินไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เด็กบ้าคนนี้ก็ยังไม่หยุดคลาน อยู่ๆ หล่อนก็เริ่มเห็นแสงสีรุ้งเป็นประกายเรืองรองมาจากด้านในถ้ำ มันเป็นแสงที่สวยงามจนหญิงสาวตกตะลึง ยิ่งเข้าไปใกล้แสงสีรุ้งนั้นก็ยิ่งส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ มันเปลี่ยนโพรงถ้ำที่มืดมิดแห่งนี้ให้ดูราวกับเป็นสวรรค์เลยทีเดียว
หญิงสาวชักอยากจะเห็นซะแล้วว่าต้นกำเนิดของแสงที่สวยงามขนาดนี้มันมาจากอะไรกันแน่ แต่ไอยกลับยิ่งคลานช้าลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนเสียงขยับตัวของสัตว์อะไรบางอย่าง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงน้ำในท้องของเจ้าสัตว์นั่นดังจ๊อกๆ ...ท่าทางมันจะตัวใหญ่ไม่เบาเลยล่ะ แล้วก็น่าจะกำลังหิวจัดด้วยสิ ท้องถึงได้ร้องดังขนาดนั้น
ขนของซิตรินพากันลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ใจหนึ่งหล่อนก็อยากจะหดหัวแล้วมุดเข้าไปอยู่ในถุงซะรู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องมองเห็นและรับรู้เรื่องน่าหวาดเสียวใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่อีกใจก็อดกลัวไม่ได้ว่าถ้าไอ้เด็กนี่มันเกิดพลาดแล้วเป็นอะไรขึ้นมา หล่อนก็คงไม่รอดด้วยเช่นกัน ดังนั้นสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ถ้าพลาดพลั้งอย่างไรยังช่วยบอกช่วยเตือนกันได้บ้าง
ในที่สุดไอยก็พาหญิงสาวไปจนถึงโถงถ้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหินย้อย อย่าได้ถามว่าทำไมมีแต่หินย้อยแล้วไม่มีหินงอก จริงๆ มันก็คงจะเคยมีนั่นแหละ แต่ตอนนี้มันได้ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดสีเขียวตัวมหึมาที่นอนอยู่ตรงกลางถ้ำทับจนหักบี้แบนเป็นผุยผงไปหมดแล้ว พื้นถ้ำแห่งนี้ถึงได้เรียบเนียนราวกับขัดมัน
เจ้าของถ้ำตัวนี้นับเป็นสัตว์ปีศาจที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ซิตรินเคยเห็นในมิตินี้เลยเชียวล่ะ มันใหญ่กว่าช้างแอฟริกันเสียอีก ใหญ่พอๆ กับไดโนเสาร์เลยก็ว่าได้ ผิวหนังของมันเป็นสีเขียวอ่อนใสจนมองทะลุไปเห็นอวัยวะภายในทั้งหมดของมัน รูปร่างของมันเป็นปล้องยาวๆ คล้ายหนอนด้วงตัวอวบอ้วนแต่มีใบหน้าเหมือนแมงมุมที่มีเขี้ยวงอโง้งและแหลมคม และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ตามสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของสัตว์ประหลาดทุกตัวในมิตินี้ก็คือฟันแหลมๆ เต็มปากพวกนั้นนั่นไง ยังมีๆ ขายุบยับที่เต็มไปด้วยหนามพวกนั้นอีกอย่าง แค่เห็นซิตรินก็แทบจะลมจับแล้ว ยังดีที่มันกำลังนอนขดตัวหลับสนิทอยู่บนไยฟูๆ นุ่มๆ สีเขียวเหมือนรัง และยังไม่รู้ตัวว่ามีมนุษย์สองคนกำลังบุกเข้ามาในถ้ำของมันอย่างอุกอาจ