เสียงอะไรในยามราตรี
“ หากเป็นธรรมดาของบุรุษ แล้วเหตุใดเสด็จพ่อจึงรักเดียวใจเดียวเพียงเสด็จแม่ ไม่เคยมีหญิงอื่นเลยเล่าเพคะ ” นางค้านคำของบิดา
“ เพราะพ่อรักเจ้าและแม่ของเจ้าเหลือเกิน รักจนมิอาจรักใครได้อีก ”
“ หากลูกจะแต่งงานหรือมอบกายถวายชีวิตให้ใครสักคน ลูกก็อยากได้ผู้ที่รักเดียวใจเดียวเช่นเสด็จพ่อ ”
“ ลูกเอ๋ย นิ้วคนเรายังไม่เท่ากันเลย ประสาอะไรกับจะหาคนที่ความดีเหมือนกันได้เล่า พ่อเองก็ใช่ว่าจะดีนักหนา คุณชายจิ้งฝูก็เช่นกัน เขาอาจจะมีข้อเสียเรื่องบันเทิงเริงรมย์ไปบ้าง แต่การปกครองเมืองและการรบพุ่งนั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยุทธภพ ชายผู้นี้แหละเหมาะที่จะเป็นสวามีของเจ้าและมาบริหารบ้านเมืองของเราให้สืบต่อไปภายภาคหน้า เพราะเจ้าเป็นหญิง หากสิ้นพ่อไปแล้วเมืองของเราก็จะเป็นที่หมายปองของหัวเมืองใหญ่กระหายอำนาจทั้งหลาย อันตรายก็จะตกแก่ตัวเจ้าหากมิมีผู้เก่งกล้าทางรบพุ่ง เจ้าเข้าใจที่พ่อพูดหรือไม่เล่าเม่ยเอ๋อร์ลูกรัก ”
องค์หญิงซูเม่ยถอนหายใจออกมายาว ๆ ยกมือขึ้นป้ายเช็ดน้ำตาที่สองแก้มทว่าก็ยังรับคำผู้เป็นบิดาอย่างเข้าใจ
“ เข้าใจเพคะเสด็จพ่อ ”
“ พ่อรักเจ้า เจ้าเป็นที่สุดแห่งชีวิตของพ่อ ”
“ ลูกก็รักเสด็จพ่อมากกว่าชีวิต ”
ปากว่าเข้าใจ แต่กระนั้นองค์หญิงซูเม่ยก็กลัดกลุ้มถึงขั้นนอนไม่หลับ รู้ดีว่าอย่างไรเสียก็หนีชะตากรรมที่ต้องตกไปเป็นชายาขององค์ชายมากรักผู้นั้นไม่พ้น แต่ก็ยากจะทำใจ ราตรีนั้นนางกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบแต่ก็ข่มตานอนมิได้ จึงตัดสินใจเดินลงไปเล่นที่อุทยานบุปผาส่วนพระองค์อันอยู่ติดกับห้องบรรทม
เป็นการคิดไม่ผิดที่ออกมาหย่อนใจในยามนี้ พระจันทร์ดวงโตเคลื่อนคล้อยไปถึงกลางแผ่นฟ้าทอแสงเหลืองนวลกระจ่างทาบทบลงมายังผืนปฐพี กลิ่นไม้ดอกนานาพันธุ์หอมอวลพาให้หัวใจชุ่มฉ่ำ
ใบหน้างดงามแหงนเงยพลางหลับตาพริ้มให้สายลมผะแผ่วปะทะเรือนกายคล้ายหมายให้สายลมเหล่านั้นพัดพาเอาเรื่องกลัดกลุ้มหายไปเสียที
พลันความเงียบงันและเสียงหวีดหวิวบางเบาราวมีใครบรรเลงพิณผะแผ่วล่องลอยมาแต่ไกลนั้นก็ถูกรบกวนด้วยเสียงของอะไรบางอย่าง
“ หืม นั่นเสียงอะไรนะ ” นางลืมตาขึ้นแล้วพยายามเงี่ยหูฟังให้ได้ยินชัดเจนจะแจ้งมากขึ้น
ตั้บ ๆๆๆๆ
อาาาา
เสียงอะไรพวกนั้นมันล่องลอยมาตามลม คล้ายเสียงสิ่งของกระแทกกันหนัก ๆ และเสียงคำรามครางอาจด้วยความเจ็บปวดหรือโกรธเกรี้ยว
เส้นขนบนลำคอระหงด้านหลังลุกเกรียว หรืออาจจะมีการทำร้ายกันเกิดขึ้นในจวนกันหนอ หากได้ยินชัดถนัดหูขนาดนี้คงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
องค์หญิงซูเม่ยหันซ้ายหันขวาก็เห็นก้อนหินขนาดกระชับถนัดมือก็หยิบขึ้นมาถือเอาไว้เพื่อหมายเป็นอาวุธป้องกันตัวนางสาวเท้าอย่างเงียบกริบไปตามต้นเสียง ซึ่งมันเป็นทางทอดยาวไปสู่สวนดอกไม้เล็ก ๆ ด้านข้างของจวนแม่ทัพเหิง
และเมื่อนางเลี้ยวซ้ายพ้นศาลาใหญ่ก็ต้องเบิกตาโพลงอย่างตกใจเหลือล้น ก้อนหินที่ถือมาในมือหล่นตุ้บลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
บนโขดหินใหญ่ท่ามกลางแมกไม้ปรากฏสองร่างเปลือยเปล่านัวเนียกันอยู่ หญิงสาวร่างอวบกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโขดหินใหญ่และถ่างขากว้าง ชายหนุ่มร่างกำยำอยู่ด้านบนตรงกลางระหว่างขานาง มือหนึ่งเขากำรอบคอนาง อีกมือค้ำพยุงตัวอยู่ที่พนักพิงโขดหินฝั่งหนึ่งและกำลังขยับบั้นเด้ากระทั้นถาโถมเข้าใส่นางอย่างไม่ปรานีปราศรัย
องค์หญิงซูเม่ยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางเข้าใจบัดนี้แล้วว่าเสียงหอบหายใจราวทรมานนักหนานั้นอันที่จริงแล้วเกิดจากการสมสู่กันมิอายฟ้าดินตรงนี้เอง
เสียงครางครวญดังจากปากหญิงผู้นั้นราวทรมานเหลือเกินทุกครั้งที่ถูกสะโพกสอบอัดกระแทกบั้นเด้าเข้าใส่อย่างไม่ปราณีเสียงหอบหายใจแรงและคำรามลั่นอยู่ในลำคอของชายผู้นั้นก่อนที่เขาจะกระชากตัวตนออกมาจากร่างนางแล้วเสือกใสมันลงในกลีบปากอวบอิ่ม สะโพกของเขากระตุกและนิ่งอยู่เช่นนั้นชั่วอึดใจก่อนเขาจะผละออกจากนางทันทีโดยไม่มีพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก่อนจะหันหน้ามาหยิบเสื้อผ้าอาภรณ์ที่กองอยู่กับพื้น นั่นทำให้คนที่แอบดูอยู่เห็นใบหน้าของชายผู้นั้นชัดเจน
“ แม่ทัพเหิง ! ”