บทที่ 3 (1)
พ่อเลี้ยงธิปรกขับรถเข้าไปไร่ราวกับพายุเฮอร์ริเคน ไปถึงโรงคัดส้มก็ต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียเมื่อคนงานต่างก็พากันพูดถึงแต่เรื่องของรดา พอเดินเลี่ยงไปดูคนงานเก็บส้มก็ไม่พ้นได้ยินเรื่องของรดาอีก คนงานทุกคนต่างก็เอ่ยถึงความน่ารักเป็นกันเองของดาราสาว บางคนชื่นชอบมากถึงกับเอ่ยกับคนงานด้วยกันว่าอยากให้หญิงสาวมาเป็นแม่เลี้ยงของไร่ธิปรกจริงๆ เขายืนฟังคนงานคุยกันได้สักพักก็เดินหนีไปที่บ้านพักท้ายไร่ หมกตัวสะสางงานอยู่ในห้องทำงานเป็นเวลานานจนกระทั่งบ่ายคล้อยจึงขับรถกลับไปที่เรือนกล้วยไม้
รดากับเด็กๆ ที่กำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ถึงกับพากันยกมือปิดปากปิดตาโบกมือเป็นพัลวันเพื่อไล่ละอองฝุ่นที่คลุ้งกระจายทั่วถนนอันเกิดจากฝีมือขับรถแบบตะบึงห้อขอพ่อเลี้ยงหนุ่ม รดาถลึงตามองค้อนคนตัวใหญ่ดังยักษ์ปักหลั่นที่กระโดดลงจากรถได้ก็เดินอาดๆ เข้ามาที่ร่มไม้
“ขับรถช้าๆ ไม่เป็นหรือไง เห็นมั้ยเด็กๆ ไอกันใหญ่เพราะสำลักฝุ่นที่พ่อเลี้ยงหอบมาด้วย” รดาต่อว่าพ่อเลี้ยงธิปรกทันที่อีกฝ่ายเดินมาถึง
ธิปรกอ้าปากค้างตั้งตัวไม่ติดที่จู่ๆ ก็ถูกหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักแค่ไม่กี่วันต่อว่ารัวเป็นชุด จากที่เคยเป็นใหญ่ที่สุดในไร่ธิปรกออกคำสั่งกับลูกน้องจนเคยชิน เมื่อมาเจอสายตาที่มองมาอย่างดุๆ พร้อมกับน้ำเสียงต่อว่าแบบไม่พอใจก็ทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มถึงกับอึ้งหาลิ้นตัวเองไม่เจอ ธิปรกเท้าสะเอวถลึงตาจ้องมองตอบก่อนจะเอ่ยถาม
“ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุด”
“เปลี่ยนชุดไปไหนคะ” รดาเอ่ยถามงงๆ ลืมเรื่องที่ถูกสั่งเมื่อเช้าไปเสียสนิท
“ก็บอกแล้วไงว่าจะพาไปเช็คสมองที่โรงพยาบาล”
ธิปรกเอ่ยบอกเหลือบสายตามองหนังสือนิทานที่อยู่บนตักหญิงสาวแล้วเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย “กำลังทำอะไรอยู่”
รดายิ้มกว้างชูหนังสือนิทานให้ดูก่อนจะเอ่ยตอบเสียงนุ่มแฝงไปด้วยความสุข
“รดากำลังเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง พ่อเลี้ยงนั่งก่อนสิคะ ยืนค้ำหัวแบบนี้รดาเมื่อยคอเวลาคุยด้วย”
อีกครั้งที่พ่อเลี้ยงหนุ่มเจอออกคำสั่ง แต่คนตัวใหญ่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี “ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว เดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล”
“รดาไม่ไปได้ไหมคะ” รดาช้อนสายตาหวานขณะเอ่ยขอร้อง
“ไม่ได้! ต้องให้หมอเช็คอาการให้แน่ใจว่าสมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือน” ธิปรกเอ่ยสั่งแล้วรีบเบือนหน้าหนีสายตาที่มองมาอย่างออดอ้อนด้วยกลัวแพ้ใจตนเองอีกครั้ง
“รดาไม่ไป รดาสบายดี” หญิงสาวเถียงกลับส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียว
“ทำไมถึงไม่อยากไป กลัวนักข่าวรู้ว่าหลบมาอยู่ที่บ้านไร่คอกนาจนๆ หรือไง” ธิปรกเอ่ยประชด
“ใช่ค่ะ รดากลัวนักข่าวรู้ แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่พ่อเลี้ยงพูดมา แต่เพราะรดาอยากอยู่ในบ้านไร่สงบๆ แบบนี้สักพัก อยากทำตัวแบบสบายๆ ไม่ต้องคอยระแวงว่าปาปารัสซี่จะแอบถ่ายภาพหลุดของเรา พ่อเลี้ยงคะ อย่าพารดาไปได้ไหมคะ” รดาเอ่ยขอร้องอีกครั้ง นัยน์ตากลมโตช้อนมองพ่อเลี้ยงหนุ่มอย่างรอคอย
ธิปรกมองใบหน้าสวยหวานแล้วถอนหายใจยาวรู้ตัวว่าตนเองเริ่มจะแพ้หญิงสาวในทุกเรื่อง
“ตามใจ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าเกิดมีผลกระทบภายหลังเธอจะมาโทษคนในไร่ธิปรกไม่ได้”
พ่อเลี้ยงเอ่ยอย่างยอมแพ้กำลังจะลุกขึ้นยืนแต่ถูกมือบางนุ่มเนียนคว้าแขนคล้ำแดดแล้วดึงให้นั่งลงเหมือนเดิม
“ขอบคุณพ่อเลี้ยงมากค่ะ พ่อเลี้ยงนั่งลงก่อนสิคะ เดี๋ยวรดาจะเล่านิทานให้ฟังเป็นการตอบแทนน้ำใจของพ่อเลี้ยง” รดายิ้มหวานขณะที่เอ่ยบอก ดึงแขนพ่อเลี้ยงแรงๆ จนคนตัวใหญ่ทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิม
‘อีกแล้วกู แพ้ภัยตัวเองอีกแล้ว’
ธิปรกบ่นงึมงำในใจยอมนั่งลงตามความต้องการของหญิงสาว
รดายิ้มหวานดีใจก่อนจะเริ่มเล่านิทานให้เด็กๆ และคนตัวใหญ่ฟัง
“เด็กๆ คะตั้งใจฟังนะ พี่รดาจะเล่าเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรให้ฟัง”
“เย้ๆ เล่าเลยๆ เราอยากฟังแล้ว” เด็กๆ ต่างก็ปรบมือตะโกนร้องอย่างดีใจ เมื่อรดาเริ่มเล่านิทานทุกคนต่างก็เงียบกริบตั้งอกตั้งใจฟัง
จากที่ตั้งใจว่าจะนั่งฟังแค่นาทีสองนาทีแล้วกลับไปทำงานที่ไร่ต่อ พ่อเลี้ยงหนุ่มก็นั่งฟังเพลินจนรดาเล่านิทานเป็นเรื่องที่สองแล้ว หญิงสาวเล่าได้เป็นธรรมชาติและสนุกสนานมากทำให้คนฟัง ฟังแล้วไม่รู้จักเบื่อ
เขาจ้องมองริมฝีปากอวบอิ่มที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะขณะที่เล่านิทานแล้วอยากจะประทับจุมพิตนัก... อยากจะรู้ว่าริมฝีปากสีสดที่อยู่ล่อตาล่อใจจะหวานล้ำปานใด พ่อเลี้ยงหนุ่มตกใจกับความคิดเถื่อนๆ ของตนเองก่อนจะถลึงพรวดลุกขึ้นแล้วเดินดุ่มๆ ไปที่รถโดยไม่ฟังเสียงใคร
รดาเห็นท่าทางของพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก่อนจะปล่อยหัวเราะคิกเอ่ยพึมพำออกมาคนเดียว
“ผีเข้าผีออกแบบนี้เดี๋ยวหาหมอผีมาปราบเสียหรอก”
ธิปรกทำหน้าบึ้งตึงเดินกระแทกเท้ามาที่รถ กำลังจะเข้าไปในรถก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นรถกระบะขนคนงานสี่ห้าคันวิ่งมาแต่ไกล เขายกนาฬิกาเรืองแพงมองเวลาเพิ่งห้าโมงครึ่งเอง ทำไมวันนี้คนงานเลิกงานเร็วผิดปกติ พ่อเลี้ยงหนุ่มนึกแปลกใจคนเดียวรอจนกระทั่งคนงานกลุ่มแรกลงจากรถกระบะเขาก็เอ่ยถามรามที่ลงมาจากรถพร้อมกับคนงาน
“ไอ้ราม! ทำไมวันนี้พวกมึงเลิกงานเร็วจังวะ ไม่ทำโอทีต่อหรือไง”
รามกับชาญเดินลงมาจากรถพร้อมๆ กันแต่หยุดยืนห่างจากบาทาของพ่อเลี้ยงไกลลิบแล้วพากันตะโกนตอบ
“ไอ้พวกนี้มันของดโอทีตลอดไปครับ”
“ทำไมวะ” ธิปรกเอ่ยถามอย่างงงๆ เพราะปกติคนงานมักจะชอบทำโอทีหลังเลิกงานไม่เคยมีใครของดทำโอทีสักคน
รามมองไปที่รดาซึ่งกำลังเดินกะเผลกๆ มาที่พ่อเลี้ยงก่อนจะตะโกนตอบเหมือนเดิม
“ไอ้พวกนี้มันอยากมาดูละครตอนหัวค่ำที่คุณรดาแสดงครับ”
รดาหยุดเล่านิทานแล้วบอกให้เด็กๆ ลูกคนงานในไร่กลับบ้านจากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่เคียงข้างพ่อเลี้ยง เธอหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบของหัวหน้าคนงาน พ่อเลี้ยงธิปรกส่ายหน้าอย่างระอาในความบ้าเห่อดาราแล้วหันมาถลึงตาใส่ตัวต้นเหตุก่อนจะหันไปตวาดลูกน้องเสียงดัง
“แล้วทำไมมึงต้องตะโกนคุยด้วยวะไอ้ราม เดินมาใกล้ๆ กูสิ”
“ไม่ได้ครับ ไกลๆ แบบนี้ดีแล้ว ถ้าขืนเข้าไปใกล้เดี๋ยวได้รับประทานรองเท้าหนังแทนข้าวมื้อเย็น”
รามยังตะโกนตอบเหมือนเดิมแล้วยื่นส้มสายน้ำผึ้งลูกใหญ่ๆ ในถุงพลาสติกให้ชาญก่อนจะกระซิบกระซาบเบาๆ อย่างรู้กัน
“ไอ้ชาญมึงเอาส้มไปให้คุณรดาแล้วรีบโกยตีนหมานะมึงไม่งั้นกูไม่รับรองความปลอดภัย”
“พี่รามก็เอาไปให้เองสิครับ” ชาญทำหน้าเหยเกมองหน้าพ่อเลี้ยงที่กำลังตีหน้ายักษ์ใส่ก็กลื่นน้ำลายเอื้อกใหญ่ด้วยความหวาดเสียว
“ก็มึงเสือกเป็นต้นคิด มึงก็เอาไปให้เองสิวะ เร็วๆ!” รามด่าลูกน้องเบาๆ
พ่อเลี้ยงธิปรกแอบยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกน้องรู้ว่าเรื่องที่กำลังกระซิบกระซาบกันคงไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับหญิงสาวแสนสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน
“พวกมึงจะกระซิบคุยกันอีกนานไหม” ธิปรกแกล้งตวาดถามลูกน้อง
ชาญเดินลากขาช้าๆ มาใกล้รดาแล้วยื่นถุงส้มใบใหญ่ให้ก่อนจะเอ่ยเบาๆ แบบเขินอาย “ผมเก็บส้มสดๆ จากไร่มาฝากครับ”
รดาอมยิ้มยื่นมือไปรับส้มแล้วเอ่ยขอบคุณเสียงหวานจนชาญแทบจะตัวลอย “ขอบคุณชาญมากนะคะ วันหลังพารดาไปเก็บส้มด้วยสิ”
ชาญยิ้มกว้างหน้าบานเป็นจานกระด้ง แต่พอหันไปสบตาดุๆ คมกริบของพ่อเลี้ยงที่กำลังจ้องมองมาก็หุบยิ้มทันที พอพ่อเลี้ยงขยับตัว เขาก็โกยแนบแบบไม่คิดชีวิตแต่ก็ไม่ลืมที่หันมาตะโกนตอบรดา
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกผมมารับไปเก็บส้มด้วยกันนะครับ”
รดาหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขำ เธอหยิบส้มมาแกะลูกหนึ่งแล้วยื่นให้พ่อเลี้ยงที่ยังตีหน้ายักษ์ใส่เธออยู่
“พ่อเลี้ยงกินส้มหวานๆ ไหมคะ เผื่อว่าอารมณ์จะดีขึ้นเลิกทำหน้าบึ้งได้เสียที”
พ่อเลี้ยงธิปรกทำตาเขียวปัดใส่หญิงสาวแล้วเอ่ยต่อว่าเสียงห้วน
“เพราะเธอทีเดียวที่ทำให้ไร่ธิปรกปั่นป่วนไปหมด”
“รดาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” หญิงสาวเถียงกลับยิ้มๆ พลางยื่นกลีบส้มไปใกล้ๆ ริมฝีปากหนาของพ่อเลี้ยงหนุ่ม “ส้มค่ะ หวานชื่นใจ”
พ่อเลี้ยงธิปรกอ้าปากรับส้มอย่างเสียไม่ได้ เมื่อมองใบหน้าหวานนัยน์ตากลมโตที่กำลังเต้นระริกขบขำก็ได้แต่ทำเสียงฮึ่มๆ ในลำคอแล้วกระโดดขึ้นไปบนรถแลนด์โรเวอร์
รดาแอบหัวเราะขำแกล้งคนตัวใหญ่ขี้โมโหก็สนุกเหมือนกัน เธอยิ้มกว้างจนตาหยีเดินไปเคาะกระจกรถหนักๆ แล้วบุ้ยปากทำไม้ทำมือให้พ่อเลี้ยงเอากระจกรถลง
พ่อเลี้ยงทำสีหน้ารำคาญกดกระจกรถลงก่อนจะเอ่ยถาม “อะไรอีก? ยุ่งจริง!”
“รดาขอกลับเรือนกล้วยไม้ด้วยค่ะ” รดาเอ่ยบอกเสียงนุ่มหวาน
“อยากกลับก็ขึ้นมาสิ”
“เจ็บขาปืนขึ้นรถไม่ไหว” รดาทำหน้าตายกะพริบตาปริบๆ ดูน่าสงสารขณะเอ่ยบอก
“ยุ่ง!” ธิปรกสบถเสียงดังแต่ก็ยอมลงจากรถเดินอ้อมมาทางหญิงสาวจากนั้นก็จับเอวบางคอดกิ่วไว้แล้วยกวืดเดียวรดาก็นั่งแหมะอยู่หน้ารถ เขาอ้อมกลับมาขึ้นรถแล้วปิดประตูรถกระแทกโดยแรงเป็นการประชดหญิงสาวที่นั่งยิ้มกริ่มเป็นทองไม่ร้อน
เมื่อพ่อเลี้ยงหนุ่มขับรถมาถึงเรือนกล้วยไม้แทนที่รดาจะลงจากรถกลับนั่งเฉยแกล้งรอให้อีกฝ่ายมาเปิดประตูรถให้ ธิปรกลงจากรถก็เดินตรงดิ่งขึ้นเรือนกล้วยไม้แต่พอหันหลังมองไปที่รถเห็นรดายังนั่งอยู่ที่เดิมก็ส่ายหน้าอย่างระอาเดินดุ่มๆ กลับมากระชากประตูเปิดออกโดยแรง จากนั้นเขาก็แกล้งโค้งคำนับแล้วผายมือออกไปข้างหน้าอย่างล้อเลียน
“เชิญครับคุณผู้หญิงคนสวย”
รดาหัวเราะคิกด้วยความขบขำเขยิบตัวลงจากรถได้ก็เชิดหน้าขึ้นอย่างสง่างามแล้วเอ่ยขอบคุณกลั้วหัวเราะ
“ขอบคุณมากค่ะ วันนี้ไม่มีทิปให้ ขอแปะโป้งไว้ก่อนนะคะ” รดาเอ่ยเสร็จก็พยายามเดินเชิดสง่างามอย่างกับนางแบบขึ้นไปบนเรือนกล้วยไม้
ธิปรกมองตามแล้วกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโหทั้งตนเองและรดา พอหันหลังไปมองที่โรงครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลนักก็ต้องหน้าแดงก่ำด้วยความอายผสมความโกรธเมื่อคนงานในไร่ทุกคนกำลังจับจ้องมองมาที่เขาและพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางคนก็แกล้งล้อเลียนทำท่าเหมือนเขากับรดาเมื่อสักครู่ เขากัดฟันกรอดๆ ตีหน้าถมึงทึงเดินกระแทกเท้าเข้าไปหาคนงาน แต่ลูกน้องตัวแสบมีหรือจะอยู่รอบาทาหนักๆ พอเขาเดินตรงดิ่งมาหา กลุ่มคนงานก็แตกฮือวิ่งหนีคนละทิศคนละทางไปที่บ้านพัก