บทที่ 2 (2)
“รดาค่อยยังชั่วแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่ช่วยชีวิตรดาไว้”
คนงานหนุ่มๆ ทั้งที่โสดและไม่โสดต่างก็ทำท่าเหมือนหัวใจจะละลายเมื่อเจอรอยยิ้มหวานๆ และน้ำเสียงนุ่มๆ ที่เอ่ยออกมา ธิปรกเห็นท่าลูกน้องแต่ละคนแล้วอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ร่ำๆ จะเดินไปเตะสักป๊าบ!
“ตะกี้พ่อเลี้ยงธิปรกบอกว่าคุณดาราจะกลับกรุงเทพฯ วันนี้...จริงหรือเปล่าครับ” ชาญทำหน้าสลอนเอ่ยถามหญิงสาวให้หายข้องใจ
รดาหันหลังไปมองคนตัวใหญ่ที่ยืนเท้าสะเอวอยู่เบื้องหลังเธอก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาโกยคะแนนสงสารจากคนงานได้อีกเป็นกอง
“รดายังไม่หายดีเลยค่ะ แต่พ่อเลี้ยงธิปรกไม่อยากให้รดาอยู่ที่นี่ รดาก็ต้องไปค่ะ”
สิ้นเสียงของรดา ธิปรกก็รู้สึกราวกับตนเองเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์เพราะสายตาทั้งห้าสิบคู่ต่างก็จ้องมองเขม็งมาที่เขาเป็นจุดเดียว เขาเท้าสะเอวถลึงตาใส่ลูกน้องก่อนจะเอ่ยตวาดไล่ให้ไปทำงาน
“เมื่อไหร่พวกมึงจะไปทำงานหรือต้องรอให้กูเตะเรียงรายตัวถึงจะไปทำงานได้”
“ไม่ไป! เราขอหยุดงานประท้วงพ่อเลี้ยง” คนงานในกลุ่มตะโกนตอบเสียงดังแล้วก็ได้รับแรงสนับสนุนจากคนอื่นๆ ทันที
ธิปรกชักจะเริ่มโมโหหน้าแดงตวาดถามลูกน้องเสียงดัง “พวกมึงประท้วงกูเรื่องอะไร”
“ก็พ่อเลี้ยงใจร้าย คุณดาราเธอยังไม่หายดี พ่อเลี้ยงจะไล่เธอกลับทำไม” ชาญต่อว่าพ่อเลี้ยงหน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธ
“ใช่! คุณดารายังไม่หายเลย ให้เธออยู่ต่ออีกสักสองเดือนแล้วค่อยกลับกรุงเทพ” สนเอ่ยออกมาบ้าง
“แม่หนูตัวเล็กนิดเดียวกินข้าวไม่ถึงวันละกิโลหรอก ให้เธออยู่ที่ไร่ธิปรกรักษาตัวให้หายก่อน” ป้าอ้วนเอ่ยต่อว่าพ่อเลี้ยงบ้าง
รดาได้ยินคนงานแต่ละคนเอ่ยขอร้องแทนตนก็รู้สึกดีใจแอบยิ้มออกมา เธอไม่นึกเลยว่าคนงานจนๆ แต่จริงใจใสซื่อจะรักและปกป้องเธอมากถึงเพียงนี้
ธิปรกมองสายตาแน่วแน่เอาจริงของลูกน้องแต่ละคนแล้วก็นึกยอมแพ้รวมทั้งแพ้ใจตนเองด้วย “ถ้ากูไม่ให้คุณดาราอยู่ที่นี่! พวกมึงจะไม่ไปเก็บส้มใช่ไหม”
“ใช่ครับ!” คนงานในไร่ตะโกนตอบเสียงดังเป็นเสียงเดียวกัน
“ถ้างั้นเชิญอยู่ไปเลย แต่ต้องให้แม่ดาราของพวกมึงไปทำงานในไร่เหมือนคนอื่นๆ” ธิปรกเอ่ยอนุญาตแต่ก็ยังมีข้อแม้ติงมาอีกนิด
“ไม่ให้ทำ งานในไร่หนักจะตาย ร้อนก็ร้อน เดี๋ยวผิวสวยๆ ของคุณดาราจะเสียหมด” รามเอ่ยค้านเสียงแข็ง
“ถ้างั้นให้ทำงานในครัวกับป้าอ้วน” ธิปรกเอ่ยต่อรองอีกครั้ง จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการให้หญิงสาวทำ
งานตามที่พูดแต่อยากจะดูปฏิกิริยาของลูกน้องตนเองมากกว่าแล้วก็แอบอมยิ้มขำเมื่อป้าอ้วนเอ่ยค้านเสียงดัง
“ไม่ได้ค่ะ งานในครัวก็หนักเหมือนกัน ต้องขัดหม้อข้าวดำปี๊ดปี๊ ป้าอ้วนไม่ให้ทำเดี๋ยวเล็บสวยๆ มือนุ่มๆ จะช้ำแตกพุพอง”
“อุวะ! อันโน้นก็ไม่ได้อันนี้ก็ไม่ให้ทำ พวกมึงจะให้คุณดาราเขาอยู่เฉยๆ เป็นแม่เลี้ยงประจำไร่หรือไงวะ“
ธิปรกสบถเบาๆ เอ่ยประชดอย่างหงุดหงิด ซึ่งหารู้ไม่ว่ากำลังเข้าทางของลูกน้องพอดี คนงานในไร่มองหน้ากันแล้วยิ้มกริ่มชอบใจพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของพ่อเลี้ยง
“ถูกต้องที่สุด ให้คุณดาราเป็นแม่เลี้ยงนะดีแล้ว พวกเราเห็นด้วย จริงไหมพวกเรา” รามเอ่ยตอบแล้วหันไปตะโกนถามเพื่อนร่วมงาน
“ใช่ๆ เห็นด้วย” คนงานในไร่ตะโกนตอบเป็นเสียงเดียวกันแล้วก็หัวเราะร่วนด้วยความถูกใจ
รดาอายหน้าแดงก่ำที่จู่ๆ ก็ถูกเลื่อนฐานะให้ฉับพลันโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากที่นั่งฟังพ่อเลี้ยงกับลูกน้องเถียงกันอยู่นาน หญิงสาวจึงเอ่ยพูดออกมาบ้าง
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ไม่ต้องทำให้พ่อเลี้ยงลำบากใจหรอกค่ะ รดาขอทานข้าวเช้ามื้อเดียวแล้วรดาจะกลับกรุงเทพฯ อีกอย่างทุกคนไม่ต้องเรียกรดาว่าคุณดาราหรอก เรียกชื่อรดาเฉยๆ ก็ได้” หญิงสาวเอ่ยเสร็จก็ยิ้มหวานให้ทุกคนแล้วมาหยุดยิ่งที่พ่อเลี้ยงธิปรกที่กำลังตีหน้ายักษ์ใส่
“ถ้าไม่รังเกียจบ้านป่าเมืองเถื่อน คนจนแต่จริงใจพวกนี้ คุณจะอยู่ต่อนานแค่ไหนก็ได้” ธิปรกเอ่ยกับหญิงสาวน้ำเสียงติดจะแข็งๆ ด้วยไม่อยากให้เสียฟอร์มมากไปกว่านี้
“แน่ใจหรือคะว่าอยากให้รดาอยู่ด้วย” รดายิ้มเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาหวานจ้องมองที่คนถูกถามเขม็ง
“แน่ใจสิ ไม่ยินเมื่อตะกี้หรือไง ถ้าผมไม่ให้คุณอยู่ที่ไร่ ไอ้พวกนี้คงไม่ยอมไปเก็บส้มง่ายๆ” ธิปรกเอ่ยตอบอย่างเสียไม่ได้
“ถ้างั้นตกลงค่ะ รดาขอรบกวนทุกคนด้วยนะคะ” รดาเอ่ยบอกคนงานทุกคน สิ้นเสียงของเธอทุกคนต่างก็ตะโกนเฮด้วยความดีใจ
“คราวนี้พวกมึงจะไปทำงานได้หรือยัง” ธิปรกตะโกนถามแข่งกับเสียงตะโกนดีใจของลูกน้อง
“ยังครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ชาญเอ่ยค้านพ่อเลี้ยง
“อะไรอีกวะ เรื่องมากฉิบหาย!” ธิปรกสบถด่าอีกรอบ
“พ่อเลี้ยง! กระดาษเมื่อคืนอยู่ไหนครับ”
“ในห้องนอนคุณรดา” ธิปรกเอ่ยตอบห้วนๆ ส่ายหน้าอย่างระอาที่พวกมันยังไม่เลิกล้มความคิดนี้อีก
“เดี๋ยวผมไปเอามาเองครับ”
สนอาสาแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนเรือนอย่างรวดเร็ว กลับมาอีกทีพร้อมกับปากกาและกระดาษหนึ่งปึก รามดึงกระดาษมาจากมือสนแล้วยื่นไปตรงหน้านางเอกสาวก่อนจะเอ่ยขอร้องเสียงนุ่ม
“คุณรดาช่วยจับกระดาษมาเซ็นลายเซ็นต์ให้พวกผมหน่อยครับ จับแค่ใบเดียวนะครับ”
“ได้ค่ะ”
รดายิ้มรับด้วยความเต็มใจพลางหยิบกระดาษออกมาหนึ่งใบแล้วเขียนข้อความขอบคุณพร้อมกับเซ็นต์ชื่อลงไปจากนั้นก็ยื่นให้รามคืน คนงานในไร่ต่างลุ้นระทึกว่ากระดาษที่หญิงสาวจับมาจะใช่ของตนหรือเปล่า รามรับกระดาษมาดูรายชื่อแล้วก็ขมวดคิ้วฉงนสงสัย
“คุณรดาจับได้ของใครพี่ราม” ชาญอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกมา
“ไม่รู้วะ เสือกไม่เขียนชื่อไว้” รามตอบลูกน้องแล้วชูกระดาษขึ้นตะโกนถามคนงานคนอื่นๆ “ของใครวะไม่ได้เขียนชื่อไว้ เดี๋ยวพ่อเตะกระเด็น”
“ของกูเอง มีอะไรมั้ย” ธิปรกเอ่ยตอบเสียงห้วน คนงานในไร่แทบหงายผึ่งต่างก็ร้องออกมาด้วยความผิดหวังที่ชวดเงินก้อนโต
“โห! อะไรกันพ่อเลี้ยง จู่ๆ ก็กลายเป็นตาอยู่คว้าพุงเพียวๆ ไปกินเสียเนี่ย!” ชาญบ่นเสียงดังอย่างเสียดาย
“พวกมึงเป็นคนชวนให้กูเล่นเองนี่หว่า...แล้วจะมาโทษกูทำไม...ไปทำงานได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวกูหักเงินเดือนให้หมด” พ่อเลี้ยงขู่ลูกน้องไม่จริงจังนัก
รดาหัวเราะขำกับการเล่นพนันแบบแปลกๆ ของคนงานในไร่ธิปรก เธอยิ้มกว้างโบกมือให้คนงานที่ทยอยกันเดินไปขึ้นรถกระบะ
ธิปรกมองคนงานหนุ่มๆ ที่หันมามองรดาจนเหลียวหลังแล้วเดินชนกันล้มลุกคลุกคลานก็รู้สึกหมั่นไส้คนต้นเหตุเหลือกำลัง พอหันมามองหญิงสาวเห็นยังโบกมือไม่ได้หยุดก็เอ่ยห้ามเสียงห้วน
“หยุดโบกมือเป็นนางสาวไทยได้แล้ว ไปกินข้าวกินยาแล้วนอนพักมากๆ ตอนบ่ายๆ จะพาไปเช็คสมองที่โรงพยาบาล” ธิปรกเอ่ยสั่งด้วยความเคยชินแล้วเดินดุ่มๆ ไปที่รถกระบะ
รดาหัวเราะคิกก่อนจะเอ่ยพูดกับป้าอ้วนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “รดาว่าเขานั้นแหละที่ต้องไปเช็คสมอง ไม่ใช่รดา! คนอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
“ปล่อยไปเถอะค่ะ เอ็งไปในครัวกับป้าดีกว่า เดี๋ยวป้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน เอ็งต้องอยู่ที่นี่นานๆ นะ ที่ไร่เราไม่เคยครึกครื้นแบบนี้มาก่อนเลย” ป้าอ้วนยิ้มกว้างอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“ค่ะป้า รดาจะอยู่ที่นี่นานๆ จะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะถูกพ่อเลี้ยงธิปรกเอ่ยปากไล่” รดาเอ่ยบอกยิ้มๆ นัยน์ตาหวานกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัว บรรยากาศที่นี่ดีมากๆ อากาศในตอนเช้าเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ไม่มีเสียงรถราฝุ่นควันเหมือนในกรุงเทพฯ อยู่พักใจที่นี่สักพักแล้วกัน ขอให้แผลในใจที่ยังเหวะหวะอยู่หายสนิทก่อน จากนั้นเธอจะกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหาอีกครั้ง