บทที่ 3 (2)
รดาเดินลงจากเรือนกล้วยไม้ไปที่โรงครัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะโหม่งเรียกคนงานในไร่ให้ไปทานข้าวมื้อเย็น หญิงสาวยิ้มหวานให้คนงานในไร่ที่ทยอยเดินเข้ามาในโรงครัว เธอเดินเข้าไปหาป้าอ้วนที่กำลังวุ่นวายกับการจัดสำรับข้าวก่อนจะเอ่ยถาม
“ป้าอ้วนมีอะไรให้รดาช่วยไหมคะ”
ป้าอ้วนละมือจากงานที่กำลังทำอยู่ก่อนจะบ่นงึมงำ “มีอีหนู ไม่รู้วันนี้คนงานในไร่มันเป็นอะไรกัน ปกติป้าเคาะโหม่งเป็นสิบๆ ครั้งพวกมันถึงจะมาที่โรงครัว แต่วันนี้ป้ายังไม่ทันได้เคาะโหม่งด้วยซ้ำพวกมันก็มาออเต็มโรงครัวป้าก็เลยจัดกับข้าวไม่ทัน”
รดาอมยิ้มขณะที่ฟังป้าอ้วนบ่นก่อนจะเอ่ยอาสาด้วยความเต็มใจ “งั้น...รดาจะช่วยป้าอ้วนเองนะคะ”
ป้าอ้วนหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างมีเลศนัยแล้วหันไปส่งซิกให้กับลูกมือจากนั้นก็เอ่ยถามเพื่อหยั่งเชิงหญิงสาว
“เอ็งจะช่วยป้าจริงหรือวะ”
“จริงสิค่ะ รดาอยากช่วยทุกคนทำงานบ้าง ให้รดาอยู่เฉยๆ รดาก็เกรงใจเหมือนกันค่ะ” รดาเอ่ยตอบยิ้มๆ แล้วช่วยหยิบผักสดใส่จาน
ป้าอ้วนได้ยินคำตอบแล้วยิ้มกริ่มแผนการเป็นป้าดันให้หญิงสาวมาเป็นแม่เลี้ยงของไร่ธิปรกกำลังจะเริ่มขึ้น มืออวบอูมเอื้อมไปยกสำรับกับข้าวแล้วยื่นให้รดาก่อนจะแกล้งเอ่ยบอกเสียงเศร้า “นังหนู เอ็งช่วยยกสำรับนี้ไปให้พ่อเลี้ยงหน่อย ป้างานยุ่งจนไม่มีเวลายกไปให้เอง”
รดามองสำรับกับข้าวแล้วทำหน้ามุ่ยหันไปมองลูกมือป้าอ้วนที่ต่างก็ทำงานมือเป็นระวิง “ให้คนอื่นเอาไปไม่ได้หรือคะ รดาอยากอยู่ช่วยป้าอ้วนในครัว”
“ไม่ได้ พ่อเลี้ยงไม่ชอบให้ผู้หญิงขึ้นไปที่เรือนกล้วยไม้ จะขึ้นไปได้ก็มีป้ากับเอ็งเท่านั้น คนงานผู้หญิงคนอื่นๆ พ่อเลี้ยงห้ามไม่ให้ขึ้นไปเด็ดขาด!” ป้าอ้วนเอ่ยตอบแล้วยัดสำรับกับข้าวใส่มือบางที่รับมาถือไว้อย่างอิดออด
“แล้วทำไมพ่อเลี้ยงไม่ลงมากินที่โรงครัวเหมือนคนอื่นๆ เดือนร้อนป้าอ้วนต้องยกไปให้ทุกวัน เดี๋ยวรดาเอาไปถวายเจ้านายเองก็ได้ค่ะ” รดาบ่นกระปอดกระแปดแทนป้าอ้วนแต่ก็ยอมรับสำรับมาถือไว้แล้วเดินช้าๆ ไปที่เรือนกล้วยไม้ พอรดาเดินออกพ้นห้องครัวป้าอ้วนกับลูกมืออีกสามสี่คนพากันตบมือกราวหัวเราะเสียงดังชอบใจในแผนการของพวกตน
รดามัวแต่เดินก้มหน้าก้มตาประคองสำรับอาหารด้วยความระมัดระวังไม่ให้หกกลางทางจนไม่ทันเห็น
คนร่างยักษ์ที่กำลังเดินตรงดิ่งมาหาเธอ พอเงยหน้าขึ้นหญิงสาวก็เกือบชนกำแพงมนุษย์ที่ยืนจังก้าขวางทางไว้
“ยกสำรับไปไหน” ธิปรกเอ่ยถามเสียงแข็ง
รดาเงยหน้าขึ้นมองยักษ์ขมูขีที่ชอบทำหน้าบึ้งตลอดเวลาก็นึกอย่างแกล้งพ่อเลี้ยงขี้โมโหเธอจึงยิ้มหวานใส่แล้วเอ่ยประชดหน้าตาย
“จะยกสำรับกับข้าวไปเซ่นเจ้าบนเรือนกล้วยไม้ค่ะ”
ธิปรกทำหน้าตึงรู้ว่าหญิงสาวหมายถึงใคร มือหนาคล้ำแดดเอื้อมไปคว้าถาดสำรับมาถือไว้เองแล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ไม่ต้องเอาไปแล้ว ผมจะไปกินที่โรงครัว”
“ต่อไปต้องไปกินทุกวันนะคะ ป้าอ้วนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยยกกับข้าวมาให้พ่อเลี้ยง” รดาเอ่ยสั่งอย่างลืมตัว ลืมนึกไปว่าตนเองเป็นแค่คนมาขออาศัยไม่ใช่เจ้าของเรือน ธิปรกถึงกับอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเจอหญิงสาวต่อว่าตรงๆ
“ตกลงใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของไร่” ธิปรกเอ่ยแขวะเสียงห้วน
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” รดาเอ่ยตอบยิ้มๆ แล้วเดินนำหน้าไปที่โรงครัว ธิปรกทำเสียงฮึดฮัดในลำคอเมื่อทำอะไรหญิงสาวไม่ได้ นอกจากเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเดินกลับมาที่โรงครัวอีกครั้งรดาก็เอ่ยรายงานข่าวให้ป้าอ้วนรับทราบทันที “ป้าอ้วนคะ ต่อไปไม่ต้องยกสำรับไปให้พ่อเลี้ยงแล้วนะคะ เพราะว่าต่อไปนี้พ่อเลี้ยงจะมากินที่โรงครัวเหมือนคนอื่นๆ”
“ฮ้า!...” ป้าอ้วนร้องได้แค่นั้นก็อ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นพ่อเลี้ยงเดินแบบไม่สบอารมณ์เข้ามาในโรงครัว ปกติแล้วพ่อเลี้ยงจะกินข้าวบนเรือนเพราะมีงานให้ทำมากจึงไม่มีเวลาลงมากินที่โรงครัวเหมือนคนงานคนอื่นๆ ระหว่างที่กินข้าวพ่อเลี้ยงก็มักจะทำงานไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะฉะนั้น...เมื่อได้ยินว่าพ่อเลี้ยงจะลงมากินที่โรงครัวทุกวันก็ทำให้ป้าอ้วนและคนอื่นๆ แปลกใจอยู่ไม่น้อย
รดายิ้มกว้างชอบใจกับผลงานของตนเองเมื่อคนงานเริ่มเข้าแถวรับแจกข้าว เธอก็เข้าไปช่วยป้าอ้วนอีกแรง ชาญแย่งเข้าแถวได้เป็นคนแรก เขายื่นจานหลุมมาให้พร้อมกับรอยยิ้มกว้างพอรดาตักกับข้าวให้เรียบร้อยแล้ว ชาญก็ยื่นกระดาษใบเล็กให้อีกใบ รดารับกระดาษเปล่ามาพลิกดูแล้วเอ่ยถามอย่างงงๆ
“อะไรคะ?”
“ขอลายเซ็นต์คุณรดาด้วยครับ” ชาญยิ้มกริ่มขณะเอ่ยตอบ
“ได้ค่ะ” รดายิ้มให้แล้วเซ็นต์ชื่อลงไปบนกระดาษแผ่นเล็กจากนั้นก็ยื่นให้ชาญคืน คิวต่อไปเป็นของสนเมื่อยื่นถาดหลุดให้แล้วก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้เหมือนกัน รดาเซ็นต์ชื่อให้สนเสร็จก็ชะเง้อมองไปยังคนงานที่ยืนเข้าแถวอยู่ ทุกคนจะถือจานหลุดและกระดาษสีขาวคนละใบ หญิงสาวเห็นแล้วก็หัวเราะเบาๆ สงสัยต้องตักกับข้าวพร้อมกับแจกลายเซ็นต์จนกว่าจะครบทุกคน
เมื่อตักกับข้าวพร้อมกับแจกลายเซ็นต์ให้คนงานครบทุกคนแล้วรดาก็หยิบจานหลุมจะตักข้าวกินบ้าง ป้าอ้วนเห็นแล้วก็รีบเดินมาแย่งจานไปจากหญิงสาวแล้วไล่ให้ไปนั่งกินกับพ่อเลี้ยง
“อีหนู! เอ็งไปนั่งกินเป็นเพื่อนพ่อเลี้ยงสิ”
รดาหันไปมองพ่อเลี้ยงหนุ่มที่ยังทำหน้าตูมอยู่ก็ส่ายหน้าดิกปฏิเสธทันควัน “ไม่เอา รดาขอนั่งกินกับคนงานในไร่ดีกว่าไปนั่งกินกับยักษ์วัดแจ้ง”
“ไปนั่งกับพ่อเลี้ยงเถอะอีหนู สงสารพ่อเลี้ยงนั่งกินข้าวคนเดียวทุกวันมานานแล้ว ถ้ามีเอ็งไปนั่งด้วยคงทำให้พ่อเลี้ยงเจริญอาหารขึ้นเยอะ” ป้าอ้วนเอ่ยพร้อมกับดุนหลังให้หญิงสาวเดินไปที่โต๊ะอาหารที่พ่อเลี้ยงนั่งอยู่
“แหม!...รดาไม่ใช่ผงชูรสนะคะที่เห็นหน้ารดาแล้วจะทำให้เจริญอาหารได้” หญิงสาวเอ่ยค้อนยิ้มๆ โก่งตัวหนีไม่ยอมเดินไปง่ายๆ
ธิปรกจ้องมองมาที่รดาด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาจับแขนเนียนไว้แล้วลากให้ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน
“นั่งลง! กินข้าวได้แล้ว” ธิปรกสั่งเสียงเข้มเลื่อนจานข้าวไปตรงหน้าหญิงสาว นัยน์ตาคมกริบจ้องมองใบหน้าหวาน ๆ เขม็ง
“กินก็ได้ พ่อเลี้ยงก็กินด้วยสิค่ะ จ้องหน้ารดาแบบนี้ไม่อิ่มหรอกนะ” รดาต่อว่ายิ้มๆ แล้วตักไข่เจียวเหลืองกรอบใส่บนจานข้าวของพ่อเลี้ยง
ธิปรกนิ่งไปชั่วขณะเพราะไม่เคยมีใครเอาใจตนเองแบบนี้มาก่อน ใบหน้าคมเงยมองหน้าหวานๆ ก่อนจะก้มหน้าตักไข่เจียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย รดาแอบอมยิ้มแล้วเอ่ยร้องขอไม่จริงจังนัก
“พ่อเลี้ยงตักกับข้าวให้รดาบ้างสิคะ”
“ยุ่งฉิบ!” ธิปรกเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่พร้อมกับสบถเบาๆ แต่ก็ยอมตักกับข้าวให้หญิงสาวแต่โดยดี
รดายิ้มหวานขอบคุณเมื่อปลาสลิดทอดถูกวางแหมะบนจานข้าวของเธอ จากนั้นหนุ่มสาวทั้งคู่ต่างก็ผลัดกันตักกับข้าวให้อีกฝ่ายจนทานข้าวเสร็จ คนงานในไร่ต่างก็อมยิ้มสะกิดต่อๆ กันให้มองพ่อเลี้ยงหนุ่มกับดาราสาวที่ดูเหมือนคู่รักกำลังคุยกันอย่างหวานแหว๋ว
หลังจากกินข้าวมื้อเย็นเสร็จแล้วแทนที่คนงานในไร่จะแยกย้ายกันกลับบ้านพักเหมือนดังทุกวัน กลับพากันสมัครสมานสามัคคีนั่งดูทีวีในโรงครัวแทน ธิปรกเองก็เช่นเดียวกันแทนที่จะรีบกลับไปสะสางงานที่ค้างอยู่กลับนั่งรอดูละครที่รดาแสดงเหมือนคนอื่นๆ รดาอมยิ้มแก้มป่องเมื่อละครที่เธอแสดงกำลังจะออกอากาศ เสียงคุยกันดังเซ็งแซ่มีอันเงียบกริบลงทันทีเมื่อละครเริ่มฉายตอนแรก
“พ่อเลี้ยงรับกาแฟสักถ้วยไหมคะ” รดาเอ่ยถามยิ้มๆ มองพ่อเลี้ยงหนุ่มที่จ้องหน้าจอทีวีไม่กะพริบตา
“ฮื้อ!...” ธิปรกรับคำในลำคอสายตาไม่ได้ละจากหน้าจอทีวีที่กำลังดูอยู่ รดาหัวเราะเบาๆ เดินไปที่ห้องครัวแล้วกลับมาพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น
“กาแฟค่ะ”
“เอาไปเก็บ ไม่อยากกินแล้ว” ธิปรกจ้องมองหญิงสาวแล้วเอ่ยตอบห้วนๆ ใบหน้าคมเข้มแดงก่ำยังกับโกรธใครมาสักสิบปี
คิ้วดำขลับโก่งงามดุจคันศรขมวดเข้าหากันอย่างงงๆ ตะกี้ก็ยังดีๆ อยู่เลยทำไมตอนนี้พ่อเลี้ยงทำยังกับว่าจะหักคอเธอจิ้มน้ำพริกให้ได้ ธิปรกจ้องมองรดาเขม็งด้วยความโกรธแล้วหันไปมองทีวีอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าออกไปจากโรงครัว รดาหันไปมองทีวีแล้วก็หัวเราะขำไม่รู้ว่าเพราะละครที่กำลังฉายอยู่หรือเปล่าถึงทำให้พ่อเลี้ยงทำท่าโกรธเธอมากเพียงนี้
บทของตัวละครในเรื่องนี้เธอต้องแสดงเป็นผู้หญิงกลางคืนที่ยั่วยวนพระเอกให้หลงรักซึ่งแต่ละฉากต้องประกบคู่กับพระเอกหุ่นล่ำบึกและมีฉากเลิฟซีนค่อนข้างมาก แต่เวลาแสดงฉากเลิฟซีนก็ใช้มุมกล้องเข้าช่วยหรืออาจจะแค่ยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้ริมฝีปากของพระเอกจากนั้นก็ตัดไปเป็นฉากอื่นแทนไม่มีการจูบกันจริงๆ
รดามองทีวีแล้วหันไปมองพ่อเลี้ยงอีกครั้งจากนั้นก็หัวเราะขำก่อนจะส่งยิ้มหวานให้พ่อเลี้ยงหนุ่มที่กำลังหันกลับมามองเธอพอดี ธิปรกแยกเขี้ยวทำตาเขียวปัดใส่รดาพอมองที่ทีวีเห็นฉากที่รดากำลังเลิฟซีนกับพระเอกเขาก็สับคัทเอาท์ไฟลงทันที
“เฮ้ย!...อะไรวะ ทำไมจู่ๆ ไฟก็ดับวะ”
คนงานในไร่ต่างก็พากันตะโกนร้องโวยวายเพราะกำลังดูละครมันส์ๆ ถึงตอนสำคัญเสียด้วยสิ จู่ๆ ไฟก็ดับลงทำให้อดดูตอนสำคัญไปเสียเนี่ย!
“กูสับคัทเอาท์เอง มีอะไรมั้ย” ธิปรกตะโกนตอบลูกน้องในความมืด
“ไอ้สนมึงไปยกคัทเอาท์ขึ้นเร็ว พระเอกกับนางเอกกำลังจะได้กันแล้วเดี๋ยวก็อดดูพอดี” รามสั่งลูกน้องเอ่ยออกมาแบบห่ามๆ ตามประสาชาวบ้าน
“ตีนพ่อเลี้ยงหนักเอาการนะพี่ราม” สนยังอิดออดอยู่ อยากดูก็อยากดู แต่ก็กลัวบาทาหนักๆ ของพ่อเลี้ยงเหมือนกัน
“กูไปเองก็ได้วะ” รามเอ่ยตอบแล้วรีบวิ่งไปสับคัทเอาท์ขึ้น พอไฟมาละครก็จบตอนพอดี
“โธ่เอ๋ย!...โฆษณาแล้ว อดดูตอนกำลังมันส์เลยวะ” ชาญร้องโอดครวญด้วยความเสียดายจากนั้นก็ลุกขึ้นมาหารดาที่นั่งอมยิ้มด้วยความขบขำ
“คุณรดาครับ ตกลงพระเอกกับนางเอกได้กันมั้ยครับ”
ชาญเหลือบตามองพ่อเลี้ยงนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาวด้วยความอยากรู้ซึ่งก็ได้รับแรงสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานทันที รดายิ้มหวานกำลังจะอ้าปากตอบก็ถูกมือหนาอบอุ่นฉุดให้ลุกขึ้นก่อน
“ไม่ต้องตอบ! ไปนอนได้แล้ว” ธิปรกกัดฟันขณะเอ่ยสั่งแล้วฉุดหญิงสาวให้เดินกลับไปที่เรือนกล้วยไม้ด้วยกัน
“อะไรกันคะพ่อเลี้ยง รดายังไม่ได้ตอบคำถามชาญเลย” รดาแกล้งร้องประท้วงโอดครวญยอมเดินตามพ่อเลี้ยงไปที่เรือนแต่โดยดี
“บอกว่าไม่ต้องตอบไง” ธิปรกกัดฟันกรอดๆ จับร่างบางระหงให้หันมาเผชิญหน้ากัน
รดาหัวเราะคิกก่อนจะเอ่ยอย่างท้าทาย “แต่รดาอยากบอกนี่คะ พ่อเลี้ยงไม่อยากรู้เหมือนคนอื่นๆหรือไง”
“ไม่อยากรู้แต่อยากปฏิบัติมากกว่า” ธิปรกเอ่ยเสร็จก็กดจุมพิตหนักๆ ที่ริมฝีปากสีสดอวบอิ่มที่อยู่ล่อตาล่อใจ พอได้สัมผัสรสชาตินุ่นนวลหวานล้ำปานน้ำผึ้งก็ทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มลืมตัวประทับจุมพิตเร่าร้อนเป็นเวลาเนิ่นนาน รดาถึงกับนิ่งตะลึงตัวชาเมื่อเจอจุมพิตดุดันเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
จุมพิตที่ร้อนแรงแผดเผาในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนหวานจนทำให้ทั้งรดาทั้งพ่อเลี้ยงชักจะเลือนๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่จนกระทั่งได้ยินเสียงโห่แซวของคนงานที่ดังมากระทบประสาทหูจึงทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มรู้สึกตัวผละริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย
“แยกย้ายไปพักผ่อนได้แล้ว ใครตื่นไปทำงานสายจะโดนกูเตะไม่เลี้ยง” ธิปรกตะโกนด่าลูกน้องกลบเกลื่อนความอายของตนเองจากนั้นก็เดินดุ่มๆ ขึ้นไปบนเรือนโดยไม่ลืมหนีบรดาขึ้นไปด้วย
“พ่อเลี้ยง!”
“ห้ามถาม! ห้ามเถียง! กินยาแล้วเข้านอนซะ!” ธิปรกตวาดเบาๆ แล้วดุนหลังให้หญิงสาวเข้าไปในห้องนอนจากนั้นก็ดึงประตูห้องกระแทกปิดโดยแรง
รดายืนงงอยู่ในห้องนอนครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนต่อว่าอีกฝ่ายด้วยความโมโห “ไอ้พ่อเลี้ยงจิตแปรปรวน
จูบรดาเองแท้ๆ แล้วมาโกรธรดาทำไม”
ธิปรกได้ยินแล้วกัดฟันดังกรอดเขาไม่ได้โกรธเธอ แต่โกรธตนเองมากกว่าที่เผลอตัวไปจูบหญิงสาวต่อหน้าคนงานนับร้อยทำให้รดาถูกมองเหมือนเป็นผู้หญิงไร้ค่า...
ร่างสูงใหญ่กำยำเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบกล่องกำมะหยีขึ้นมาเปิดดูของภายใน ถ้าเผลอตัวบ่อยๆ แบบนี้คงต้องเอาแหวนแต่งงานของคุณแม่ไปตีตราจองหญิงสาวไว้ก่อน เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่มีใครมาดูถูก
รดาได้...