บทที่ 1 (2)
“พ่อเลี้ยงธีรพลครับ เห็นทีผมต้องขอตัวกลับก่อน พอดีมีเรื่องด่วนที่ไร่ ผมลาละครับ”
ธิปรกไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทักท้วงพอพูดเสร็จก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกมาจากงานเลี้ยงทันที
พ่อเลี้ยงธิปรกขับรถออกจากตัวจังหวัดจนมาถึงทางเข้าไร่ก็เห็นสภาพรถเก๋งคันงามที่ชนกับต้นไม้จนด้านหน้ายุบไปทั้งแถบ เห็นสภาพรถแล้วเขานึกไม่ออกว่าคนขับจะได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหน เขารีบเหยียบคันเร่งตะบึงห้อเข้าไปในไร่ พอมาถึงหน้าเรือนกล้วยไม้ก็ชะลอความเร็วรถลงเมื่อเห็นคนงานพากันยืนอออยู่หน้าเรือนโดยมีป้าอ้วนยืนเด่นตระหง่านอยู่บนเรือนเหมือนกำลังประกาศอะไรสักอย่าง พ่อเลี้ยงกระโดดลงจากรถแลนด์โรเวอร์แล้วปิดประตูรถเสียงดังจนคนงานที่ยืนอยู่แถวนั้นพากันสะดุ้งเฮือกตกใจ
“คนเจ็บอยู่ไหนไอ้ราม” ธิปรกถามหัวหน้าคนงานเสียงดังแล้วเดินเข้าไปยืนจังก้าเท้าสะเอวอยู่หน้าเรือน
“อยู่ในห้องนอนติดกับห้องของพ่อเลี้ยงครับ” รามตอบพ่อเลี้ยง
“แล้วนี่พวกมึงไม่ไปกินข้าวกันหรือไงวะถึงพากันมายืนออเป็นไทยมุงอยู่แบบนี้”
ธิปรกตวาดเสียงดัง กวาดสายตาคมดุไปยังคนงานที่พากันยืนอยู่หน้าเรือน พอเจอสายตาคมกริบและน้ำเสียงที่ตวาดดังลั่นเท่านั้นแหละ...บรรดาไทยมุงทั้งหลายที่กำลังคุยกันอย่างออกรสก็ต้องมีอันสลายตัวไปตามระเบียบ แต่ละคนพากันวิ่งหนีกระเจิงคนละทิศคนละทาง
“ไอ้ชาญ หมอที่พวกมึงโทรไปตามหาถึงหรือยังวะ” ธิปรกหันมาถามชาญที่ยืนหัวเราะขำเพื่อนร่วมงานที่พากันวิ่งหนีพ่อเลี้ยง
“มาถึงแล้วครับพ่อเลี้ยง ตอนนี้คุณหมอประวิทย์กำลังเข้าไปทำแผลคุณรดาอยู่ครับ”
“ไอ้ชาญ! ใครเสือกให้มึงโทรไปตามหมอหมามารักษาคนวะ ไม่ใช่ป่านนี้ไอ้วิทย์มันฉีดยาแก้หมาบ้าแทนยาแก้ปวดให้คนเจ็บแล้วหรือวะ”
พ่อเลี้ยงธิปรกสบถด่าลูกน้องเสียงดัง เพราะยืนหันหลังให้กับเรือนกล้วยไม้ เขาจึงไม่เห็นว่าหมอประวิทย์ยืนอยู่ข้างหลังและกำลังฟังพ่อเลี้ยงวิจารณ์ตนเองอยู่
“มันจะเกินไปแล้วนะโว๊ยไอ้ธิปรก ถึงกูจะเป็นหมอหมาแต่ก็ยังพอมีความรู้ที่จะรักษาคนอยู่บ้าง อ่ะๆ หรือมึงจะเถียงกู กูจำได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วมึงเป็นไข้หวัดกูยังมาฉีดยาให้มึงเลยนี่หว่า”
หมอประวิทย์เถียงพ่อเลี้ยงแล้วฉีกยิ้มสะใจเมื่อเห็นพ่อเลี้ยงทำหน้าอึ้งหาคำพูดตัวเองไม่เจอ
หมอประวิทย์มีฟาร์มเลี้ยงม้าอยู่ติดกันกับไร่ธิปรก เขาเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มและคอยรักษาสัตว์ให้กับชาวไร่ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงด้วย บางทีเวลาคนงานในไร่ธิปรกไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ เขาก็จะมารักษาอาการเบื้องต้นให้ เขากับพ่อเลี้ยงธิปรกเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ
ธิปรกหันมาถลึงตามองเพื่อนรักพร้อมกับด่าไอ้หมอหมาทางสายตาที่บังอาจมาหักหน้าตนเองต่อหน้าลูกน้อง
“เออ...กูไม่ถียงมึงก็ได้วะ แล้วคนไข้ของพวกมึงอาการเป็นไงบ้าง” พ่อเลี้ยงถามอาการคนไข้พลางก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นไปบนเรือนเพื่อจะไปดูคนไข้โดยมีหมอประวิทย์ ราม ชาญ และสนพากันเดินตามมาเป็นพรวน
“อาการภายนอกไม่ค่อยหนักเท่าไหร่วะ กูว่าคุณรดาเคราะห์ดีมาก ตอนเข้ามาที่ไร่กูเห็นสภาพรถแล้วยังนึกว่าอาการเธอคงจะหนักกว่านี้ กูตรวจดูแขนขาไม่หัก แต่อาจจะมีช้ำตามตัวบ้างแล้วก็หน้าผากแตกเย็บไปหกเข็ม กูฉีดยานอนหลับอ่อนๆ ให้เรียบร้อยแล้วคงจะหลับยาวถึงพรุ่งนี้” หมอประวิทย์รายงานอาการคนไข้
“ถ้าอาการไม่เจ็บมากพรุ่งนี้ไอ้รามมึงส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล” ธิปรกเอ่ยสั่งเสียงเข้ม
“ให้นอนต่อสักหน่อยไม่ได้หรือครับ เธอยังไม่ฟื้นเลย”
รามเป็นผู้ตอบพ่อเลี้ยง น้ำเสียงเริ่มเบาลงเพราะรู้ว่าพ่อเลี้ยงไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในเรือนกล้วยไม้โดยเฉพาะผู้หญิง จะมีได้รับยกเว้นคนเดียวก็คือป้าอ้วนที่คอยมาทำความสะอาดเรือนให้
“อ้าว! ถ้ายังไม่ฟื้นแล้วพวกมึงรู้ชื่อเธอได้ไงวะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มหยุดเดินแล้วหันหน้ามาถามลูกน้อง
“พ่อเลี้ยงครับ ใครไม่จักคุณรดาก็เชยตายสิครับ” คราวนี้ชาญเป็นคนตอบพ่อเลี้ยงเอง
“เออ...กูยอมรับว่ากูเชย มึงรีบบอกกูมาเร็วๆ ว่าไอ้คุณรดาที่พวกมึงทำท่าปลื้มกันนักกันหนาเป็นใคร ถ้าขืนชักช้า เดี๋ยวพ่อเตะกระเด็น”
พ่อเลี้ยงธิปรกไม่พูดเปล่าเท้าโตๆ ที่หุ้มด้วยรองเท้าหนังแท้ยกขึ้นทำท่าจะเตะไอ้คนพูดมาก ชาญทำหน้าตกใจกลัวรีบกระโดดเข้าไปหลบอยู่หลังร่างใหญ่ของหมอประวิทย์และใช้หมอประวิทย์เป็นโล่กำบังพ่อเลี้ยงไว้
“ไอ้ธิปรก นี่มึงไม่เคยดูละครตอนค่ำบ้างเลยหรือไงวะ” หมอประวิทย์อดที่จะแขวะเพื่อนไม่ได้
“แล้วไอ้ละครตอนค่ำของมึงมันมาเกี่ยวอะไรกับคุณรดาของไอ้ชาญด้วยวะ”
พ่อเลี้ยงธิปรกทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าละครตอนค่ำจะมาเกี่ยวโยงกับคนเจ็บได้ยังไง นอกจากการดูแลสวนส้มนับร้อยๆ ไร่และพัฒนาสายพันธุ์ส้มให้ได้รสชาติดีเป็นที่ต้องการของตลาดแล้ว เขาแทบจะไม่มีเวลาสนใจในเรื่องอื่นอีกเลย
“คุณรดาเธอเป็นนางเอกละครครับพ่อเลี้ยง ตอนนี้มีละครออกฉายตั้งสองเรื่อง เธอดังมากๆ เลยนะครับทุกคนที่ไร่รู้จักกันหมดเลย ตอนที่พวกผมไปช่วยเธอเราไม่รู้หรอกครับว่าเป็นใครแต่ป้าอ้วนเข้าไปเช็ดตัวให้แล้วออกมาบอกพวกเราว่าเป็นคุณรดานางเอกขวัญใจพวกเราครับ”
รอบนี้เป็นคิวของสนมั้งที่เสนอหน้าออกมารายงานให้พ่อเลี้ยงรับรู้ คนพูดทำท่าปลื้มตาหวานเยิ้มเมื่อเอ่ยถึงนางเอกที่พวกตนชื่นชอบ
“พวกมึงนี่ท่าจะคลั่งดาราเอามากๆ แล้วไม่กินข้าวกินปลากันหรือไงวะถึงเดินตามกูมาเป็นพรวนแบบนี้”
ธิปรกหยุดชะงักอยู่หน้าห้องที่รดานอนรักษาตัวอยู่เมื่อเห็นลูกน้องยังพากันเดินตามเขามาและทำท่าจะเข้าไปในห้องนอนด้วย
“พวกเราขอเข้าไปดูหน่อยครับว่าคุณรดาเธอฟื้นหรือยัง” รามอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก พยายามยืนให้ห่างรัศมีบาทาของพ่อเลี้ยงที่สุด
“ชิชะ! ไอ้พวกตัวดี อย่ามาโกหกกูเลยวะ พวกมึงอยู่กับกูจนกูรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว จะเข้าไปขอลายเซ็นต์แม่ดาราที่พวกมึงช่วยมาใช่ไหม คราวนี้พวกมึงเดิมพันอะไรละ ถ้ากูเดาไม่ผิดพวกมึงคงจะเดิมพันกันว่าใครจะเป็นคนขอลายเซ็นต์ได้เป็นคนแรกถูกมั้ย”
ธิปรกจ้องหน้าลูกน้องแต่ละคนไม่วางตา เขารู้ว่าคนงานในไร่มีการเล่นพนันขันต่อกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเขาก็คอยสอดส่องดูแลไม่ให้เล่นจนติดกันงอมแงม แต่ทุกครั้งที่คนงานในไร่เล่นพนันขันต่อกันก็จะบอกให้เขารับรู้ด้วยทุกครั้งและก็พากันเล่นแบบพอหอมปากหอมคอ
“โธ่!...พ่อเลี้ยงครับ พวกผมเล่นกันนิดๆ หน่อยๆ เองครับ แล้วทุกคนในไร่ก็อยากได้ลายเซ็นของคุณรดากันทั้งนั้น พ่อเลี้ยงดูสิครับพวกมันพากันฝากกระดาษมาให้คุณรดาเซ็นต์เป็นปึกเลยครับ” ชาญยื่นกระดาษแผ่นเล็กสีขาวปึกใหญ่ให้พ่อเลี้ยงดูเป็นหลักฐาน
“พวกมึงนี่นา...พากันไปกินข้าวได้แล้วพรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า เอาไว้ขอลายเซ็นต์แม่ดาราพรุ่งนี้ก็ได้ กูว่าเขาเจอยานอนหลับของไอ้มะ...เอ๊ย!...ไอ้หมอไปคงยังไม่ฟื้นง่ายๆ หรอก”
ธิปรกยิ้มทางสายตาแอบแขวะเพื่อนรักนิดๆ หมอประวิทย์ถึงกับทำหน้าตึงเมื่อโดนพ่อเลี้ยงกัดไม่เลิก
“พวกผมไปก็ได้ครับ พ่อเลี้ยงครับผมฝากกระดาษไปด้วยครับถ้าคุณรดาฟื้นแล้วให้เธอหยิบมาเซ็นต์หนึ่งใบนะครับ ใบไหนก็ได้พวกผมเขียนชื่อติดไว้ตรงมุมกระดาษแล้ว อย่าลืมนะครับและถ้าพ่อเลี้ยงกับคุณหมอจะเล่นด้วยพวกผมก็ไม่ว่า…เงินพนันจะได้เยอะขึ้นอีกพวกผมยินดีต้อนรับเสมอ”
ชาญยื่นกระดาษใส่มือพ่อเลี้ยงแล้วก็กระโดดผลุงหลบบาทาของพ่อเลี้ยงที่ยันมาทันทีที่เขาพูดจบ ลูกน้องตัวแสบทั้งหลายต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังชอบใจแล้วรีบวิ่งลงไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว
“ไอ้!...ไอ้!...”
ธิปรกไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าพวกลูกน้องตัวแสบดี หมอประวิทย์เห็นลูกน้องหยอกล้อพ่อเลี้ยงก็ได้แต่หัวเราะฮึๆ ด้วยความขบขำ เขารู้ว่าพ่อเลี้ยงทำเป็นด่าลูกน้องไปยังงั้นเอง จริงๆ แล้วพ่อเลี้ยงรักลูกน้องทุกคน คนงานในไร่ก็รักและเคารพเกรงกลัวพ่อเลี้ยงเหมือนกัน
ธิปรกส่ายหน้าอย่างระอามองลูกน้องที่พากันวิ่งลงไปจากเรือน เขาเปิดประตูห้องเข้าไปโดยมีหมอประวิทย์เดินตามหลังมาด้วย ชายหนุ่มทั้งสองพากันยืนมองร่างคนเจ็บที่ยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขนาดใหญ่
“ไอ้หมอ มึงแน่ใจนะว่าเธอไม่เป็นอะไรมาก”
ธิปรกเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเพราะเห็นหน้าหญิงสาวซีดขาวราวกับกระดาษที่เขาถืออยู่ บนหน้าผากมลก็มีผ้าพันแผลติดอยู่ผืนใหญ่
“มึงเชื่อกูเถอะน่า แต่ถ้าเธอฟื้นแล้วกูอยากให้มึงพาเธอไปเช็คสมองอีกทีเพราะกูไม่แน่ใจว่าสมองได้รับความกระทบกระเทือนหรือเปล่า”
“ยุ่งฉิบหาย! ทำไมต้องมาชนหน้าไร่กูด้วยวะ ไอ้หมอมึงก็เช็คสมองเธอให้เรียบร้อยเลยสิวะ” ธิปรกสบถเสียงดัง หงุดหงิดที่จะต้องมาดูแลคนเจ็บที่เขาไม่รู้จักสักนิด
“ไอ้ธิปรก กูเป็นหมอหมาเหมือนที่มึงพยายามยัดเยียดให้ กูไม่ใช่หมอรักษาคนโดยตรงแล้วอีกอย่างกูก็ไม่มีเครื่องมือด้วย ถือว่าช่วยคนเจ็บเอาบุญก็แล้วกันวะ ถ้ายังไงมึงให้ใครมานอนเฝ้าเธอสักคนนะ ถ้าอาการเธอไม่ดีขึ้นมึงโทรไปตามกูได้เลยกูจะเปิดมือถือสแตนบายรอตลอด 24 ชั่วโมง” ประวิทย์ตบบ่าเพื่อนหนักๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง
“ไอ้หมอ ถ้างั้นมึงก็ย้ายเธอไปรักษาต่อที่ฟาร์มมึงเลยก็หมดเรื่อง” ธิปรกเดินตามประวิทย์ออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา
“เฮ้ย!...ไม่ได้ กูยังไม่อยากเคลื่อนย้ายเธอตอนนี้ให้เธอนอนรักษาตัวที่นี่ดีแล้ว มึงไม่เห็นหรือไงว่าลูกน้องมึงเขาชอบเธอจะตายขืนกูย้ายเธอไปที่ฟาร์มมีหวังโดนให้พวกนี้ไล่กระทืบตายแน่”
“ไอ้หมอปากหมา ลูกน้องกูไม่ได้โหดขนาดนั้น” ธิปรกปกป้องลูกน้องตนเองเต็มที่
“แต่กูว่าจริงว่ะ เท่าที่กูสังเกตดูลูกน้องมึงนิสัยเถื่อนๆ ไม่ต่างจากมึงเท่าไหร่เลยวะไอ้ธิปรก” ประวิทย์หัวเราะสะใจแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถที่จอดอยู่หน้าเรือนกล้วยไม้
“ไอ้หมออยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม” ธิปรกเอ่ยชวนเพื่อนรักจับประตูรถไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะปิดลง
“ไม่วะ ฟ้าสวยกำลังจะตกลูกกูต้องไปเฝ้ามันก่อน” ประวิทย์หมายถึงแม่ม้าพันธุ์ดีที่เขาเลี้ยงไว้ที่ฟาร์ม
“ขอบใจมากที่มึงอุตส่าห์มาเป็นธุระให้ ขับรถดีๆ นะมึง อย่าต้องให้ลูกน้องกูไปงัดมึงออกมาจากรถเป็นรายที่สองละ” ธิปรกยิ้มบางๆ ปิดประตูแล้วถอยออกมาก้าวหนึ่งให้ประวิทย์ขับรถออกไป
พ่อเลี้ยงหนุ่มก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นไปบนเรือนแล้วเข้าไปดูหญิงสาวที่ห้องอีกครั้ง ชายหนุ่มมองร่างบางที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าตัวโคร่งคงจะเป็นชุดของป้าอ้วนที่เอามาเปลี่ยนให้ ร่างสูงใหญ่คล้ำแดดทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงพลางเอื้อมมือไปแตะตรงผ้าพันแผลที่มีเลือดซึมออกมา เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากบาง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อพิสูจน์ว่ามีกลิ่นแอลกอฮอล์หรือเปล่า เขาอยากรู้ว่าที่หญิงสาวประสบอุบัติเหตุเป็นเพราะเมาเหล้าหรือแค่อุบัติเหตุธรรมดา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง พอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างบางทำให้ถึงกับเผลอตัวก้มหน้าลงไปหอมแก้มเนียน แต่พอรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรลงไปพ่อเลี้ยงหนุ่มกลับมองร่างบางที่นอนเจ็บอยู่ด้วยความโกรธ ทั้งๆ ที่คนเจ็บไม่ได้รับรู้ด้วย เขาลุกขึ้นยืนทำหน้ายังกับโกรธใครมาสักสิบปีก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว