บทที่ 1 (1)
“เอี๊ยดดด โครม!”
สิ้นสุดเสียงเบรกรถที่ดังสนั่นหวั่นไหวรถเก๋งคันงามรุ่นใหม่ล่าสุดก็ไถลเข้าไปชนต้นไม้ข้างทางอย่างรุนแรง ถุงลมนิรภัยพองตัวรองรับแรงกระแทกให้คนขับทันที รถเก๋งคันงามอัดเข้าไปกับต้นไม้จนด้านหน้ายุบควันลอยโขมงขึ้นมาเต็มด้านหน้ารถ หญิงสาวในรถพยายามปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย มือบางอีกข้างยกขึ้นเช็ดเลือดจากหน้าผากที่ยังไหลออกมาเรื่อยๆ หยดเป็นทางจนเปื้อนเสื้อสีขาวเป็นวงใหญ่ หญิงสาวพยายามปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง แต่ยิ่งพยายามก็ราวกับว่าเข็มขัดยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก ดวงตาคู่งามเริ่มพร่ามัวมองอะไรไม่เห็น สำนึกสุดท้ายก่อนที่สติจะดับไปหญิงสาวนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ขอให้ท่านช่วยคุ้มครอง เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยดลบันดาล หญิงสาวเห็นมีกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังวิ่งมาที่รถของเธอ ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อนที่วิ่งนำหน้ามาก่อนใครเข้ามาทุบกระจกรถพลางตะโกนเรียกเสียงดัง หญิงสาวพยายามตะโกนตอบเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาก่อนที่สติจะดับวูบไป
คนงานใน ‘ไร่ธิปรก’ กลุ่มสุดท้ายกำลังช่วยกันลำเลียงลังใส่ผลส้มไปไว้ท้ายรถกระบะเพื่อที่จะนำไปส่งที่โรงคัดผลส้มอีกที
‘ราม’ หัวหน้าคนงานกำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าไปในรถด้านคนขับ แต่ไม่ทันได้สตาร์ทรถ รามและคนงานก็ได้ยินเสียงเบรกรถและเสียงรถกระแทกวัตถุหนักๆ ดังสนั่นหวั่นไหว
“หัวหน้าราม เสียงรถชนอยู่หน้าไร่” คนงานที่นั่งอยู่ท้ายกระบะตะโกนบอกหัวหน้าคนงาน
“กูได้ยินแล้ว พวกมึงนั่งกันดีๆ กูจะขับรถไปดูเดี๋ยวนี้”
รามเอ่ยสั่งคนงานแล้วรีบสตาร์ทรถก่อนจะขับตะบึงห้อไปตามถนนลูกรังจนฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว ด้วยการเหยียบคันเร่งแบบตีนผี 100ก.ม./ชั่วโมง และถนนส่วนบุคคลที่โล่งแจ้งไม่มีรถวิ่งสวนทางทำให้รามขับมาถึงยังที่เกิดเหตุได้ภายใน 5 นาที
“ไอ้ห่...รถใครวะประสานงากับต้นไม้ซะจนไม่เหลือดีเลย”
รามเอ่ยกับคนงานที่นั่งคู่กัน พอรถจอดสนิททุกคนก็รีบกรูไปยังรถที่พังยับเยิน หัวหน้าคนงานที่ตัวสูงใหญ่กว่าใครแต่กลับวิ่งได้เร็วกว่าคนงานคนอื่นๆ วิ่งไปถึงรถคนแรกและพยายามทุบกระจกรถด้านคนขับเพื่อเรียกคนที่ติดอยู่ข้างใน เขาไม่ได้ยินว่าหญิงสาวเคราะห์ร้ายพูดว่าอะไรก่อนที่จะหมดสติไป แต่ที่แน่ๆ พวกเขาต้องช่วยเธอออกมาจากรถให้เร็วที่สุด ถ้าเกิดถังน้ำมันรั่วก็เสี่ยงที่รถอาจจะระเบิดได้ รามลองเปิดประตูรถแต่เปิดไม่ได้เพราะประตูรถติดล็อกหมดทั้ง4 บาน
“ไอ้สน ไอ้ชาญ มึงไปเอาจอบมา กูจะทุบกระจกช่วยผู้หญิงออกมาก่อน” รามหันไปสั่งลูกน้องรัวเร็ว
ชาญไม่รอช้ารีบวิ่งไปเอาจอบที่ท้ายรถกระบะแล้ววิ่งกลับมาให้หัวหน้าคนงานอย่างรวดเร็ว รามทุบกระจกหลังด้านคนขับสุดแรงเกิด เขาไม่กล้าทุบกระจกด้านหน้าคนขับเนื่องจากกลัวเศษกระจกจะกระเด็นไปบาดหญิงสาว เขาเอื้อมมือไปดึงที่ล็อกประตูขึ้นก่อนจะเปิดประตูรถดึงมีดพกที่ติดตัวมาด้วยแทงเข้าไปที่ถุงลมนิรภัยเพื่อปล่อยลมออก มืออีกข้างพยายามประคองร่างบางไว้ไม่ให้กระแทกกับพวงมาลัย
“ไอ้ชาญมึงไปปลดล็อกเข็มขัดที ไอ้สนมึงไปขับรถมาใกล้ๆ กูจะอุ้มผู้หญิงไป”
รามสั่งลูกน้องอีกครั้ง พอชาญปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยได้ พวกเขาค่อยๆ ช่วยกันดึงร่างบางออกมาจากซากรถยนต์อย่างทุลักทุเล จากนั้นก็ เคลื่อนย้ายร่างบางให้มานอนด้านหลังรถกระบะ ยังดีที่พวกเขาขนลังส้มไปเกือบหมดแล้วที่เหลืออยู่ก็มีแค่ไม่กี่ลังทำให้ยังพอมีที่ว่างพอที่จะให้หญิงสาวนอนบนท้ายกระบะได้ รามให้ชาญขึ้นไปนั่ง
ขัดสมาธิและวางศีรษะของหญิงสาวบนตักของชาญอีกทีเพื่อกันกระแทก เขาสังเกตเห็นเลือดที่ยังไหลไม่หยุดตรงหน้าผากที่แตกกว้างหลายนิ้ว เขาหันรีหันขวางหาผ้าสะอาดๆ เพื่อกดห้ามเลือด มองไปยังกลุ่มคนงานก็มีแต่เสื้อที่สกปรกเปื้อนฝุ่นแดงๆ จากถนนลูกรัง สุดท้ายก็เลยใช้มีดพกตัดตรงปลายเสื้อสีขาวของหญิงสาวได้ขนาดประมาณฝ่ามือแล้วยื่นให้ชาญกดห้ามเลือดไว้
“ไอ้ชาญกดห้ามเลือดไว้ก่อน กดเบาๆ นะมึงอย่ากดแรงเกินไป เดี๋ยวเลือดยิ่งไหลออกมามากจะยุ่งกันไปใหญ่”
หัวหน้ารามสั่งเรียบร้อยก็กระโดดขึ้นรถด้านคนขับเตรียมสตาร์ทรถ
“พี่ราม แล้วรถคุณผู้หญิงจะทำยังไง” สนตะโกนถามแล้วรีบวิ่งไปขึ้นด้านหน้ารถ
“ทิ้งไว้ที่นี่ รอให้พ่อเลี้ยงกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ไอ้สนมึงโทรศัพท์ไปหาหมอประวิทย์บอกให้หมอมาที่ไร่เร็วที่สุด เสร็จแล้วมึงโทรไปบอกพ่อเลี้ยงด้วยว่ามีผู้หญิงขับรถชนหน้าไร่อาการสาหัส พ่อเลี้ยงจะได้รีบกลับมา”
รามไม่รอช้าเมื่อเห็นคนงานขึ้นท้ายรถหมดทุกคนแล้วก็สตาร์ทรถขับพุ่งพรวดไม่ต่างจากขามา เขาขับมุ่งหน้าไปที่เรือนกล้วยไม้ซึ่งเป็นบ้านพักของพ่อเลี้ยงธิปรกเจ้าของไร่
เวลาโพล้เพล้ใกล้จะถึงมื้อเย็นแล้วคนงานส่วนใหญ่จึงพากันเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ หน้าโรงครัว บ้างก็จับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าเรือนกล้วยไม้ พอรามขับรถกระบะมาจอดหน้าเรือน ทุกคนก็พากันกรูเข้ามาดูด้วยความสนใจเมื่อเห็นด้านหลังมีคนเจ็บนอนมาด้วย เสียงตะโกนถามจากคนงานที่อยากรู้อยากเห็นดังเซ็งแซ่ไปหมดจนรามจับใจความไม่ได้
“เฮ้ย! พวกมึงหยุดถามกันก่อนได้ไหม ใครก็ได้ไปตามป้าอ้วนให้กูที” รามตะโกนสั่งให้คนงานเงียบ เขาต้องการตัวป้าอ้วนเป็นการด่วน! เพื่อให้ป้าอ้วนมาทำความสะอาดแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาวเคราะห์ร้ายก่อนที่หมอจะมาถึง คนงานหนุ่มในกลุ่มไทยมุงอาสาเป็นม้าเร็ววิ่งไปตามป้าอ้วนในห้องครัว รามรีบอุ้มหญิงสาวเข้าไปเรือนกล้วยไม้แล้ววางบนเตียงนอนขนาดใหญ่ที่อยู่ติดๆ กันกับห้องของพ่อเลี้ยง เขาหันไปทางประตูเมื่อได้ยินเสียงวิ่งตุ๊บตั๊บแบบคนเจ้าเนื้อกำลังวิ่งเข้ามาในห้อง ป้าอ้วนซึ่งก็มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์สมชื่อยืนมองคนเจ็บแล้วหันมาเอ่ยถามหัวหน้าคนงาน
“ไอ้ราม เอ็งไปเจอแม่หนูคนนี้ที่ไหน” ป้าอ้วนนั่งลงบนเตียง มืออวบอูมลูบไปตามแขนขาวเนียนด้วยความสงสาร
“หน้าไร่ครับป้า พวกเรากำลังจะกลับเรือนแต่ได้ยินเสียงรถชนก็เลยพากันไปดูแล้วก็เห็นคุณผู้หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บอยู่ ป้าอ้วนช่วยเช็ดตัวให้เธอหน่อยสิ สักครู่หมอประวิทย์คงมาถึงจะได้ทำแผลให้เธอเลย”
“เอ็งพาคนงานออกไปให้หมดก่อน เดี๋ยวป้าจะเช็ดตัวให้แม่หนูเอง ไอ้ชาญเอ็งไปเอาน้ำอุ่นมาให้ข้าที”
ป้าอ้วนหันไปสั่งชาญที่ยืนเมียงๆ มองๆ ดูอาการหญิงสาวที่พวกเขาช่วยมา พอเจอคำสั่งของป้าอ้วนก็รีบวิ่งไปเอาน้ำอุ่นมาให้ทันที ป้าอ้วนไล่ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วก็เอากรรไกรตัดเสื้อที่หญิงสาวใส่อยู่ จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ ค่อยๆ เช็ดคราบเลือดออกจากหน้าผากใบหน้า และตามลำคอ จากนั้นก็เอาผ้า
ขนหนูอีกผืนชุบน้ำแล้วมาเช็ดตามตัวจนร่างบางสะอาดไม่มีคราบฝุ่นคราบเลือด ป้าอ้วนเอาเสื้อตนเองที่ถือติดมาด้วยสวมให้หญิงสาว จากนั้นก็นั่งมองผลงานตัวเองก่อนจะพิจารณาใบหน้างามของหญิงสาวที่ยังหลับอยู่
ป้าอ้วนตบหัวเข่าตัวเองดังฉาดด้วยความดีใจก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างบางรอหมอมาตรวจ เสร็จแล้วก็วิ่งตุ๊บตั๊บออกไปหน้าเรือน พอเห็นพวกคนงานยังพากันอออยู่หน้าเรือนกล้วยไม้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ยิ้มหวานให้เหมือนนางสาวไทยที่เพิ่งได้สวมมงกุฎ จากนั้นก็เริ่มประกาศเรื่องที่ตนเองรู้มา
“พวกมึงรู้ไหมว่าแม่หนูที่นอนเจ็บอยู่ในเรือนเป็นใคร”
คนงานทุกคนต่างก็ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็มีเสียงตะโกนถามมาเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้ ป้าอ้วนยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะเฉลย
“คนที่นอนเจ็บอยู่คือแม่หนู ‘รดา’ นางเอกชื่อดังไง”
จบคำเฉลยของป้าอ้วน คนงานทุกคนทั้งชายทั้งหญิงต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องดาราสาว ใครบ้างจะไม่รู้จัก ‘รดา’ นางเองชื่อดังของเมืองไทย ไม่ว่าจะมีละครออกมากี่เรื่องก็ดังเป็นพลุแตกไปเสียทุกเรื่อง เสียงวิจารณ์ยังดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็บอกเคยเห็นตัวจริงมาแล้ว บางคนก็บอกว่ามีรูปหญิงสาวติดอยู่ที่ห้องนอน บางคนก็พูดถึงละครของหญิงสาวที่กำลังฉายอยู่ที่กำลังเป็นที่นิยมสุดๆ บางคนก็ยิ้มหวานเมื่อนึกถึงตอนนักข่าวมาสัมภาษณ์ดาราที่ไร่และเผลอๆ พวกเขาก็อาจจะได้ออกทีวีด้วย เสียงคนงานที่แย่งกันคุยจนฟังไม่ได้ศัพท์มีอันต้องยุติลงและวงสนทนาที่กำลังออกรสมีอันต้องแตกหือเหมือนผึ้งแตกรัง เมื่อรถแลนด์โรเวอร์ของพ่อเลี้ยงวิ่งเข้ามาจอดหน้าเรือนกล้วยไม้
ณ ห้องแกรนบอลรูมภายในโรงแรมชื่อดังของจังหวัดเพชรบูรณ์ ภายในห้องมีการจัดตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพรรณจนดูสวยงามละลานตาซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานลูกชายพ่อเลี้ยงธีรพลเศรษฐีผู้กว้างขวางประจำจังหวัด ด้านหน้าห้องมีคู่บ่าว-สาวยืนต้อนรับแขกอยู่ พ่อเลี้ยงธิปรกเป็นหนึ่งในแขกคนสำคัญของงานที่พ่อเลี้ยงธีรพลอุตส่าห์ไปเชิญด้วยตนเองถึงไร่ ด้วยเหตุผลสำคัญที่ต้องการได้พ่อเลี้ยงธิปรกมาเป็นลูกเขย
ธิปรกเดินเลี่ยงออกมาจากงานด้วยอาการเบื่อๆ เขาไม่ชอบมางานเลี้ยง เขาเบื่อที่จะต้องมาคอยปั้นหน้ายิ้มให้กับผู้คนทั้งหลายในงานและโดยเฉพาะงานเลี้ยงที่จัดโดยพ่อเลี้ยงธีรพล เขารู้ดีว่าพ่อเลี้ยงธีรพลต้องการเป็นทองแผ่นเดียวกันกับเขาโดยพยายามให้ ‘ริสา’ ลูกสาวคนสวยเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งริสาก็ทำได้ดีเกินคาด เธอจะไปหาเขาที่ไร่ธิปรกอย่างน้อยอาทิตย์ละสี่ครั้ง พยายามชวนเขามากินข้าวที่บ้านของเธอทุกวันทั้งๆ ที่ไม่เคยชวนได้สำเร็จ แต่ริสาก็ไม่เคยละความพยายามและตั้งแต่เขาเข้ามาในงานเลี้ยง ริสาก็คอยเดินเกาะแขนยังกับลูกลิงจนเขารู้สึกรำคาญร่ำๆ ที่จะสะบัดแขนหนีตั้งหลายครั้ง ถ้าไม่ติดที่ว่าในงานมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับหน้าถือตาค่อนข้างหลายท่าน ป่านนี้เขาคงได้จับยัยริสามัดไว้กับเสาไปตั้งนานแล้ว
ธิปรกล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเมื่อได้ยินสัญญาณจากมือถือดังขึ้นเขามองเบอร์ที่โชว์เป็นเบอร์ของรามก็กดรับสายทันที
“ว่าไงไอ้ราม มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า” พ่อเลี้ยงกรอกเสียงลงไปโดยที่ต้นทางยังไม่ทันได้พูดออกมา
“พ่อเลี้ยงผมเองครับ สนครับ”
“ว่าไงไอ้สน มึงมีเรื่องด่วนอะไร หรือว่าพวกมึงเมาทะเลาะกันอีก” พ่อเลี้ยงธิปรกเอ่ยถามอย่างรู้นิสัยของคนงานในไร่ดี เมื่อไหร่เหล้าเข้าปากได้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ
“แฮ่ะๆ ไม่ใช่ครับ คือว่าพี่รามให้โทรมาบอกว่ามีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ขับรถชนต้นไม้หน้าไร่อาการสาหัส พี่รามเลยอยากให้พ่อเลี้ยงรีบกลับมาที่ไร่ครับ”
“ไอ้ห่...ถ้าอาการสาหัสแล้วทำไมพวกมึงไม่พาไปส่งที่โรงพยาบาลวะ แล้วตอนนี้พวกมึงพาคนเจ็บไปที่ไหน”
“โธ่! พ่อเลี้ยงอย่าเพิ่งด่าสิครับ พวกผมพาไปที่เรือนกล้วยไม้ครับ จากไร่ไปโรงพยาบาลมันไกลตั้งห้าสิบกิโล ถ้าให้พวกผมพาคนเจ็บไปที่โรงพยาบาลผมเกรงว่าเขาจะตายก่อนสิครับ”
“เออ...ท่าจะจริงของมึง ระยะทางจากไร่ไปโรงพยาบาลมันก็ไกลเอาการเหมือนกัน” ธิปรกบ่นพึมพำก่อนจะเอ่ยถามต่อ “พวกมึงโทรตามหมอหรือยัง”
“โทรตามแล้วครับ พ่อเลี้ยงรีบมานะครับ”
“เออ...” ธิปรกรับคำเสร็จแล้วก็กดวางสายไป ดีเหมือนกันเขากำลังหาทางเลี่ยงกลับไร่ มีเรื่องด่วนแบบนี้จะได้มีข้ออ้างกลับไร่ได้ง่ายๆ หน่อย ธิปรกสอดสายตาหาริสาว่าอยู่ใกล้กับพ่อเลี้ยงธีรพลหรือเปล่า เมื่อไม่เห็นลูกลิง...เขาก็รีบสาวเท้าไปหาพ่อเลี้ยงธีรพลแล้วเอ่ยขอตัวกลับทันที