บทที่ 14 เมื่อได้พบเขา
ผ่านมาราวสิบวันวันนับตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่และยังได้ทำพิธีกราบไหว้พ่อบุญธรรมอย่างเรียบง่ายอาฉีก็กลายเป็นคุณหนูสกุลอ้าย เสี่ยวฮุ่ยและน้าหลานเองก็ไม่ได้เรียกนางว่าองค์หญิงเช่นเดิมแล้ว
และสิ่งที่ทำให้บ่าวสองคนกังวลอย่างมากก็คือวันต่อมาอาฉีล้มป่วยอย่างหนัก นางมีไข้สูงและอาเจียนตลอดเวลากระทั่งกินน้ำก็ยังอาเจียนออกมา
ท่านพ่อตรวจดูนางอย่างละเอียดบอกกับนางว่าความจริงนางป่วยมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่ออกเดินทางแต่ร่างกายของอาฉีประหลาดยิ่ง กลับสามารถทนทานเอาไว้ได้
โชคดีที่อาการแสดงในยามที่ถึงบ้านแล้ว มิเช่นนั้นอาฉีอาจเอาชีวิตไม่รอด
อาฉีอาเจียนตลอด ไม่อาจกินข้าวกินปลาได้ น้ำหนักของนางลดลงอีกแล้ว แต่ท่านพ่อเป็นหมอเทวดา เมื่อกินยาไม่ได้ท่านพ่อก็เลือกวิธีการฝังเข็มและให้อาฉีค่อย ๆ จิบยาแทนการดื่ม เพื่อให้ยาซึมเข้าไปยังลิ้นเข้าสู่ร่างกาย
หมอเทวดาอ้ายเสิ่นรักษาอาฉีเพียงสองวันนางก็สามารถกินอาหารอ่อน ๆ ได้ เพียงแต่ห้ามอาฉีต้องลมเย็นเพราะโรคของนางกำเริบ ท่านพ่อจะช่วยรักษาจนกว่าจะหายดีอาฉีถึงจะได้รับอนุญาตออกจากเรือนได้
เมื่ออาฉีป่วยหนักในยามนั้น นอกจากท่านพ่อท่านแม่แล้ว อาฉียังฝันเห็นพ่อชายที่คอยกุมมือของนางเอาไว้ อาฉีไม่รู้ตัวว่าเพ้อหาพี่ชายอยู่หลายครั้ง และยังเผลอกอดท่านพ่อที่มีใบหน้าคล้ายพี่ชายอีกด้วย
ท่านพ่อดีกับอาฉีมาก ในคืนนั้นที่นางไข้ขึ้นสูงท่านพ่อเองก็เฝ้านางคอยจัดยาไม่หลับไม่นอนทั้งคืน
ผ่านมาหลายวันอาฉีดีขึ้นเสี่ยวฮุ่ยจึงเล่าให้อาฉีฟังถึงเรื่องนี้ น้าหลานเองกล่าวว่านายท่านดียิ่ง จัดที่พักและเสื้อผ้ารวมทั้งของใช้ไว้ให้อาฉีรวมทั้งบ่าวสองคนไม่มีตกหล่น
เพียงแต่ว่าในยามนี้คนที่เดือดร้อนคือเสี่ยวฮุ่ย นางยังเด็กและเพิ่งมาใหม่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงถูกรังแกจากบ่าวประจำตัวของอนุของพี่ชายเป็นประจำ เหมือนว่าคนพวกนั้นไม่ชอบเสี่ยวฮุ่ยเลย ในขณะที่น้าหลานเองคอยดูแลอาฉีจึงไม่ค่อยได้ออกไปสนทนากับผู้อื่น ทั้งนางยังเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงไม่มีผู้ใดมารังแก
อาฉีคิดว่าน่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ จึงถามเสี่ยวฮุ่ยว่า
"ในยามที่เจ้าเจอคนพวกนั้นเจ้าทักทายหรือไม่"
เสี่ยวฮุ่ยพยักหน้า
"เจ้าค่ะ ข้ายิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้ว"
อาฉีตบมือเสียงดัง
"นั่นไง เสี่ยวฮุ่ยเจ้าผิดแล้ว"
เสี่ยวฮุ่ยขมวดคิ้ว นางพันเท้าให้อาฉีอย่างแน่นหนา และซุกกายเข้าใกล้ ๆ เตียงอุ่นของอาฉีเพื่อคลายหนาว
"ผิดอย่างไรเจ้าคะ บ่าวยิ้มหวานที่สุดแล้ว"
"คนที่ซูอานเวลาเจอหน้าเขามีประเพณีที่แปลกประหลาด เจ้าไม่อาจยิ้มได้เขาจะมองว่าเจ้าคือศัตรู"
"ไม่ยิ้มแล้วให้ทำเช่นใดเจ้าคะ"
"ต้องทำหน้าบึ้งและจ้องเหมือนโกรธแค้นพวกเขา คนพวกนั้นจึงจะถือว่าเจ้าเป็นมิตร อย่าลืมใบหน้าต้องปั้นปึ่งด้วยเข้าใจหรือไม่"
เสี่ยวฮุ่ยเข้าใจแล้ว นางลองทำหน้ายักษ์ให้อาฉีดู
"เช่นนี้หรือเจ้าคะ คุณหนู"
"ใช่ ขมวดคิ้วให้มากและจ้องพวกเขากลับอย่าหลบสายตาเป็นอันขาด เอาให้พวกเขากลัว ใช่ เสี่ยวฮุ่ยแบบนั้น"
อาฉีตบมือให้นาง เสี่ยวฮุ่ยรู้สึกว่าตนเองเก่งนัก ทักทายกันเช่นนี้ก็ไม่บอก นางมักจะทำท่านี้เป็นประจำเวลาขอทานผู้อื่นมาแย่งที่นั่งขอทาน ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนหวาดกลัวนางกันหมด
หลังจากร่ำเรียนจากอาฉีแล้วเมื่อได้เวลากินข้าว เสี่ยวฮุ่ยไปที่โรงครัว คราวนี้นางทำตัวเหมือนสุนัขบ้าที่ไล่กัดคนไปทั่ว ใครจ้องมองนางมานางจ้องตอบและยังทำท่าทางน่ากลัว
"ข้าคือบ่าวประจำตัวคุณหนู ผู้ใดกล้าอีก"
ความจริงเสี่ยวฮุ่ยตั้งใจจะพูดว่า ข้าคือบ่าวของคุณหนูเราเป็นเพื่อนกันเถิดนะ คิดว่าคนพวกนี้คงเข้าใจ และแล้วพลันเกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อยามนี้ไม่มีผู้ใดแกล้งเสี่ยวฮุ่ยแล้ว ยังตักข้าวให้นางดี ๆ
เสี่ยวฮุ่ยเกือบเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่นางกลัวว่าจะผิดธรรมเนียมจึงยังวางท่าทางปั้นปึ่งและวางชามข้าลงโต๊ะอย่างแรง ทั้งมองไปรอบโต๊ะทำตาขวางใส่คนอื่น
ไม่มีผู้ใดกล้าว่านาง บ่าวพวกนี้อายุมากกว่าเสี่ยวฮุ่ยไม่กี่ปี เป็นเพียงบ่าวของอนุในจวนของอ้ายเจิง เมื่อเทียบกับบ่าวของคุณหนูแล้วย่อมถือว่าอยู่กันคนละชั้น
ในคราแรกที่พวกนางกล้าแกล้งเสี่ยวฮุ่ยเพราะเด็กคนนี้ทำท่าหวาดกลัว และยังยอมพวกนางอีก วันนี้เสี่ยวฮุ่ยเปลี่ยนไป ท่าทางการเดินยังองอาจ อีกทั้งพวกนางประจักษ์แจ้งแล้วว่าบุตรสาวบุญธรรมผู้นี้เป็นผู้ใด และมีความสำคัญเพียงใดกับนายท่านพวกนางจึงไม่กล้าอีก
เสี่ยวฮุ่ยเห็นไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งกับตน จึงตะคอกเสียงดัง
"เนื้อ เหตุใดในชามข้าน้อยนักเล่า ประเดี๋ยวเถิดหากกินไม่อิ่มข้าจะฟ้องคุณหนู"
พูดยังไม่ทันจบ แม่ครัวตัวอ้วนก็รีบตักเนื้อชิ้นโตให้เสี่ยวฮุ่ยทันใด เสี่ยวฮุ่ยยิ้มแก้มปริอยู่ในใจ สวรรค์ธรรมเนียมของที่นี่เสี่ยวฮุ่ยชอบยิ่งนัก
เมื่ออาฉีอาการดีขึ้นนางนึกอยากออกไปข้างนอก แต่ท่านพ่อยังไม่ยินยอม นางจึงถามข่าวคราวของอ้ายเจิงกับเขา ท่านพ่อบอกว่าท่านพี่ของนางกำลังเดินทางกลับมาแล้วและเขาปลอดภัยดี
"เจ้าคุ้นเคยกับท่านพี่ของเจ้าแล้วหรือ"
"พี่ชายเป็นคนดีเขาดีกับอาฉีมากเจ้าค่ะ เขาเห็นอาฉีเป็นน้องสาวจริง ๆ"
ท่านพ่อบุญธรรมถึงกับหัวเราะออกมา ไยเขาจะไม่รู้ว่าอ้ายเจิงนั้นกำลังวางตำแหน่งอาฉีไว้เพียงน้องสาว เพราะนางยังเด็กเขาจึงเข้าหานางในฐานะพี่ชายให้นางตายใจ เพื่อที่นางจะได้ไม่คิดอยากเป็นภรรยาของเขาอีก
ลูกของเขาผู้นี้เจ้าแผนการยิ่ง เขาผู้เป็นบิดารู้ไส้รู้พุงอ้ายเจิงเป็นอย่างดี
"อาฉี เจ้าไม่รู้หรือว่านอกจากน้องสาวแล้วเจ้ากับอ้ายเจิงยังมีสัญญาอื่นต่อกัน"
อาฉีพยักหน้า
"รู้เจ้าค่ะ สัญญาหมั้นหมายโตขึ้นอาฉีจะต้องแต่งให้พี่ชาย แต่อาฉีก็ไม่เห็นแตกต่างกัน อย่างไรก็ต้องอยู่ที่จวนนี่อาฉีเป็นน้องสาวอย่างที่พี่ชายต้องการ และเป็นบุตรสาวของท่านพ่อก็พอแล้ว"
อ้ายเสิ่นหนวดกระดิก เขาคิดแล้วมิมีผิดพลาด
"พี่ชายของเจ้าเขาบอกเจ้าหรือว่าอยากให้เจ้าเป็นเพียงน้องสาว ไม่ต้องการให้อยู่ในตำแหน่งอื่น"
อาฉีพยักหน้าอย่างใสซื่อ
"เจ้าค่ะ พี่ชายบอกว่าเราสองคนเป็นเท่านี้ก็ดีที่สุดแล้ว"
อ้ายเสิ่นถอนหายใจ
"แล้วอาฉีเล่าพอใจหรือไม่"
"พอใจเจ้าค่ะ พี่ชายดีมาก"
อ้ายเสิ่นอดลูบศีรษะของเด็กน้อยอย่างเอ็นดูไม่ได้ ในยามนี้นางอาจพอใจแต่เมื่อรู้ความขึ้นนางจะเสียใจหรือไม่ ที่ถูกบุรุษผู้หนึ่งปฏิเสธกระทั่งสมรสพระราชทานของฝ่าบาท
ยามนี้อาฉียังไม่รู้ว่านางกำลังเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยบุตรชายไม่รักดีของเขาเอง อ้ายเสิ่นเองก็จนใจบุตรคนนี้เป็นตัวของตัวเอง เดิมทีเขาตั้งใจจะให้อ้ายเจิงรับช่วงการเป็นหมอหลวงเพราะอ้ายเจิงมีพรสวรรค์ แต่เมื่อเติบโตขึ้นกลับกระโดดเข้าไปร่วมรบกับสองอ๋องนั่น และกลายเป็นคนบ้าระห่ำไร้หัวใจตามคนสองคนนั่นไปเสียแล้ว
เขามองใบหน้าซูบตอบของอาฉีแล้วได้แต่ยิ้มแล้วหัวเราะออกมา
เขาผ่านชีวิตมามาก เด็กอ้วนนี่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องงดงามเป็นอย่างมาก หากนางผอมเสียหน่อยขี้คร้านบุตรชายของเขาจะจ้องตาเป็นมัน ครานั้นต่อให้มาคุกเข่าขอร้องเขาก็ไม่มีวันยกอาฉีให้อ้ายเจิงเป็นแน่
"ท่านพ่ออาฉีมีสิ่งใดติดใบหน้าหรือเจ้าคะ"
อ้ายเสิ่นยิ้มแล้วส่ายหน้า
"พ่อเพียงแต่คิดว่าอาฉีของพ่องดงามยิ่ง และรู้สึกเสียใจแทนคนผู้หนึ่ง"
อาฉีไม่เข้าใจ
"ผู้ใดหรือเจ้าคะ"
อ้ายเสิ่นถอนหายใจ
"ช่างเถิด ที่พ่อพูดหมายถึงอีกสักสองสามวันให้อากาศดีขึ้นพ่อจะพาอาฉีเข้าวังไปถวายบังคมฝ่าบาท อยู่ที่นี่มาเกือบครึ่งเดือนแล้วเพราะอาการป่วยของเจ้าจึงไม่ได้ไปเข้าเฝ้าสักที อาฉีเองก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดีเข้าใจหรือไม่"
"เจ้าค่ะ แล้วพี่ชายจะมาถึงเมื่อใดเจ้าคะ อาฉีคิดถึงเขาแล้ว"
"คงอีกไม่นาน จัดการเรื่องวุ่นวายของอาฉีเรียบร้อยแล้ว"
"พี่ชายปลอดภัยใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"ปลอดภัยดี เขาหนังเหนียวเจ้าไม่ต้องกังวล เพียงแต่ว่าพ่อได้ข่าวว่าเขาถูกฟันที่แขนจนเห็นกระดูกขาว แต่พักอยู่ไม่กี่วันก็ลุกขึ้นจับดาบไล่ฆ่าศัตรูแล้ว แสดงว่าเขาไม่ได้เจ็บมากเท่าใด"
"พี่ชาย"
อาฉีรู้สึกสงสารพี่ชายจนอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เขาโดนฟันที่แขนจนเห็นกระดูกขาวคงเจ็บมาก แต่ไฉนจึงรีบลุกขึ้นมาจับดาบไล่ฟันคนอีก
ทั้งหมดนั้นเพราะต้องการแก้แค้นคนให้อาฉี เช่นที่เขารับปากเอาไว้ก่อนจากมาใช่หรือไม่
อาฉีไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องตายจากไปอีกแล้ว นางเพิ่งมีพี่ชายคนใหม่ ภายในไม่กี่วันที่อยู่กับพี่ชายอาฉีได้พูดคุยใกล้ชิดกับเขามากกว่าพี่ชายจริง ๆ ที่ตายไปของนางเสียอีก
หลังจากสังหารกบฏ ท่านพ่อบุญธรรมบอกว่า ตำแหน่งองค์หญิงยังเป็นของนาง และดูเหมือนว่าคนที่ยังจงรักภักดีต่อบิดาของอาฉีต้องการให้องค์หญิงน้อยกลับไปยังแคว้นลู่เพื่อขึ้นครองแคว้นต่อไป
ท่านพ่อบุญธรรมถามด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
"อาฉีเจ้าว่าอย่างไร อยากอยู่ที่นี่กับพ่อหรือว่าอยากกลับบ้าน ไปเป็นนายเหนือหัวของทุกคน เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแย่งชิงบัลลังก์ คนของแคว้นซูอานจะคอยดูแลเจ้าอยู่ที่นั่นเพื่อมิให้มีผู้ใดกล้ากำแหงอีก"
อาฉีรู้สึกเคว้งคว้างสับสนและไม่รู้ว่าตนเองควรกลับไปหรือไม่ ที่นั่นไม่มีครอบครัวของนางอีกต่อไปแล้ว แต่เดิมอาฉีเคยคิดว่าในยามนี้ตนเองไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีผู้ใดสักคน กระทั่งนางได้พบกับท่านพี่
ทุกสิ่งพลันเปลี่ยนไปแล้ว