บทที่ 15 ความฝันของอาฉี
เสื้อผ้าของอาฉีถูกวางจนเต็มเตียง ทั้งยังมีเครื่องประดับมากมายที่ท่านพ่อให้คนเตรียมเอาไว้ให้ ทุกอย่างล้วนเป็นของฮูหยินมารดาของอ้ายเจิงที่จากไปแล้ว คนที่เข้ามาช่วยแต่งกายให้นางคืออนุของท่านพ่อที่อาฉีเรียกว่าแม่รอง และอนุคนที่สามอาฉีจึงเรียกว่าแม่สาม
ในจวนมีอนุมากมายแต่เมื่ออายุล่วงเลยเข้าสู่วัยชราท่านพ่อก็ไม่ใคร่ใส่ใจพวกนางแล้ว ต่างให้พ่อบ้านดูแลอนุแต่ละคนอย่างดี นางใดที่ยังสาวยังสวยหากต้องการหย่าและหาคู่ครองใหม่ท่านพ่อล้วนอนุญาต
ดังนั้นอนุของท่านพ่อจึงเหลือเพียงสตรีวัยชราแค่สามคน อาฉีรู้มาว่านอกจากอ้ายเจิงแล้วท่านพ่อยังมีบุตรอนุอีกสองคนล้วนเป็นบุรุษ อีกคนออกเรือนไปแล้วและเขาเองก็รับราชการย้ายไปเป็นนายอำเภอที่ต่างเมืองนาน ๆ จะเข้าเมืองหลวงมาเยี่ยมสักครั้งอนุคนที่สี่ของท่านพ่อจึงขอไปอยู่กับบุตรชายที่ต่างเมืองซึ่งท่านพ่อก็อนุญาต
ในขณะที่อนุคนรองหรือแม่รองของอาฉีมีบุตรชายผู้หนึ่งเขาสืบทอดวิชาหมอต่อจากท่านพ่อ แต่เขาไม่ชอบอยู่ในวังจึงขอเปิดโรงหมอรักษาคนทั่วไปซึ่งท่านพ่อก็อนุญาต
ในยามนี้อาฉีจึงมีพี่ชายสองคนแล้ว อาฉียังไม่เคยเห็นใบหน้าพี่ชายอีกคนรู้แต่ว่าเขามีนามว่าอ้ายจั่น แต่อาฉีไม่ได้มองว่าอ้ายจั่นเป็นพี่ชาย
ด้วยศักดิ์และฐานะของลูกอนุความจริงหากว่ากันตามจริงแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นพี่ชายของอาฉีด้วยซ้ำ และอาฉีมีเพียงอ้ายเจิงคนเดียวเป็นพี่ชายก็พอแล้ว
แม่รองของอาฉีผู้นี้เดิมทีเป็นบุตรสาวอนุเช่นกัน บ้านเดิมของนางนั้นคือขุนนางเก่าแก่จึงทำให้นางคล่องแคล่วเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นซูอานเป็นอย่างยิ่ง
แต่คำพูดที่นางเอ่ยมา อาฉีเอาแต่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่อาฉีไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว
"องค์หญิง หญิงสาวที่นี่ต้องรักษาหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม ทั้งมีความชำนาญเรื่องพิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ทั้งงานเย็บปักถักร้อย องค์หญิงได้ร่ำเรียนมาบ้างหรือไม่"
อาฉีส่ายหน้า เพราะนางไม่ค่อยสบายนักมารดาแทบจะไม่ให้อาฉีหยิบจับสิ่งใด สิ่งที่นางเชี่ยวชาญหรือ เรียกว่าไม่มีแม้แต่อย่างเดียว เป็นองค์หญิงต้องเชี่ยวชาญของพวกนี้ด้วยหรือ
"แม่รองแล้วหลักสามสี่อะไรนั่นคือสิ่งใดเจ้าคะ"
แม่รองของอาฉีและแม่สามต่างช่วยกันแต่งตัวให้นางและสั่งสอนไปด้วย
"เอาเถิดแคว้นลู่ความจริงก็เชี่ยวชาญเรื่องขี่ม้าในทุ่งกว้าง เป็นแคว้นชายแดนแตกต่างจากที่นี่แม่รองพอเข้าใจได้ แต่เมื่อกลายเป็นคุณหนูสกุลอ้ายแล้วย่อมต้องเรียนรู้อย่าให้ผู้ใดดูถูกว่าองค์หญิงมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนมิรู้ธรรมเนียมใดเลย แม่รองจะให้นายท่านหาคนมาสอนองค์หญิงภายหลัง ส่วนเรื่องหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมนั้นล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี และมีฝีมีเรื่องงานบ้านงานเรือน"
อาฉีหน้ามุ่ย นางไม่อยากเรียนเรื่องพวกนี้ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางต้องเรียนด้วย
"สามีอาฉียังไม่มีมิต้องเรียนได้หรือไม่"
สตรีสองนางต่างเข้าใจว่าวันหนึ่งอาฉีจะกลายเป็นฮูหยินของอ้ายเจิงจะบกพร่องไม่ได้เด็ดขาด นางทั้งสองจึงจ้องอาฉีเขม็งแล้วเอ่ยว่า
"ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องเรียน"
อาฉีตัวงอ นางมองน้าหลานอย่างขอความช่วยเหลือ ในขณะที่น้าหลานเองเอาแต่ยิ้มและคอยเป็นลูกมือให้แม่รองและแม่สาม
"ชุดขององค์หญิงหลวมลงเล็กน้อย ต้องแก้อีกแล้ว"
แม่สามบ่นเบา ๆ เรื่องเสื้อผ้าของอาฉีแม่สามได้รับมอบหมายจากท่านพ่อให้ดูแล แม่รองกลับเอ่ยว่า
"ดีแล้ว ให้ผอมลงเรื่อย ๆ อีกสองสามปีก็พร้อมออกเรือนยามนั้นก็รูปร่างเข้าที่ อรชรอ้อนแอ้นตามแบบฉบับหญิงงามจะได้ไม่ลำบาก"
อาฉีฟังคนสองคนที่เอาแต่พูดเรื่องออกเรือนแล้วชักจะปวดหัว เอาเถิดจะทำสิ่งใดกับนางก็ทำไปนางขี้คร้านจะใส่ใจแล้ว กระทั่งอาฉีแต่งตัวเสร็จจึงมองตนเองในกระจกทองเหลือง
กระจกนี่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ยิ่งขยายใหญ่จนอาฉีดูตัวใหญ่ยิ่งกว่าเดิม อาฉีขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น
"น้าหลานข้างามหรือไม่"
"งามเจ้าค่ะ"
ในสายตาของน้าหลานอาฉีย่อมงามเสมอ นางจึงหันไปถามแม่บุญธรรมทั้งสองนาง
"แม่รอง แม่สามท่านว่าข้างามหรือไม่เจ้าคะ"
คนสองคนพยักหน้า
"งามมากเจ้าค่ะ เครื่องหน้าขององค์หญิงงดงามนักจะโกหกกันมิได้ เพียงแต่องค์หญิงอาจจะต้องลดน้ำหนักให้รูปร่างเล็กลงอีกสักนิด"
อาฉีพอใจแล้วส่วนเรื่องรูปร่างก็ช่างมันเถิด ในเมื่อทุกคนบอกว่าอาฉีงามอาฉีย่อมเชื่อ กระทั่งแม่รองเอ่ยขึ้น
"อาหลาน เรียบร้อยแล้วปรนนิบัติองค์หญิงไปที่เกี้ยว"
"เจ้าค่ะ"
น้าหลานรับคำแล้วค่อย ๆ พยุงอาฉี ด้วยเสื้อผ้าเต็มยศตามแบบแผนของแคว้นซูอานทำให้อาฉีรู้สึกหนักอึ้งนัก โชคดีที่ยามนี้เป็นช่วงฤดูหนาวใส่เสื้อผ้าหลายชั้นเช่นนี้ทำให้อบอุ่นแทบจะไม่ต้องใช้เตาอุ่นเลย หากเป็นในยามฤดูร้อนอาฉีคงรู้สึกว่าตนเองเป็นสุกรย่างไฟเป็นแน่
ท่านพ่อรออาฉีอยู่ที่รถม้าแล้วในยามที่น้าหลานประคองอาฉีมาจนถึงหน้าจวน โดยมีอนุทั้งสองของท่านพ่อเดินตามมาส่ง
"ลูกพ่อวันนี้งามยิ่งนัก"
เป็นคำชมที่อาฉีฟังแล้วยิ้มจนปากถึงรูหู ถึงอาฉีจะซุกซนและได้รับการตามใจมาตั้งแต่เกิด อย่างไรนางก็มีฐานะสูงส่ง แม้จะรูปร่างผิดแผกอ้วนกลมจากสตรีอื่นไปบ้างแต่ทว่าอาฉีกลับดูสง่างามและมีรัศมีเปล่งประกายยิ่งนัก
บ่าววางที่เหยียบให้อาฉีเหยียบขึ้นรถม้า น้าหลานและเสี่ยวฮุ่ยไม่ได้เข้าวังไปด้วยในรถม้าจวนหมอหลวงจึงมีเพียงท่านพ่อกับอาฉีที่นั่งไปกันตามลำพังและมีทหารม้านำทางอีกทั้งยังมีทหารอีกหลายคนวิ่งตามด้านหลังเป็นขบวน
รถม้าเคลื่อนตัวไม่เร็วนัก ทำให้อาฉีเพลิดเพลินกับความคึกคักด้านนอก ฉับพลันอาฉีนึกถึงเรื่องที่ตนเองเห็นเมื่อวันที่เข้ามาที่เมืองซูอานวันแรก นางคิดจะเล่าให้ท่านพ่อฟังแต่คำของน้าหลานหยุดนางเอาไว้เสียก่อน
ห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง มิเช่นนั้นหัวอาฉีอาจหลุดจากบ่า
อาฉีรู้สึกกลัวเล็กน้อยจึงไม่มองออกไปด้านนอกแล้ว ระหว่างทางท่านพ่อเองก็ไม่สนทนาสักคำ เอาแต่ก้มหน้านิ่งอ่านตำราเล่มหนึ่งซึ่งอาฉีเห็นเพียงแว่บว่าเป็นบันทึกสุขภาพของฝ่าบาท
ลายมือเป็นระเบียบนั่นคงเป็นลายมือของท่านพ่อเอง อาฉีจึงมองอย่างสนใจกระทั่งท่านพ่อเงยหน้าขึ้น
"เบื่อหรือไม่ ประเดี๋ยวเราจะถึงกันแล้ว"
"ไม่เจ้าค่ะ ท่านพ่ออ่านสิ่งใดหรือเจ้าคะ"
ท่านพ่อจึงเอ่ยว่า
"เรื่องพระวรกายของฝ่าบาท พ่อเป็นหมอหลวงจำต้องดูแลใกล้ชิด"
จู่ ๆ อาฉีก็เอ่ยว่า
"ท่านพ่อเจ้าคะ หากอาฉีพูดสิ่งใดท่านพ่อจะฟังหรือไม่"
หมอหลวงอ้ายพยักหน้า อาฉีจึงเอ่ยเสียงเบา
"สตรีที่ฝ่าบาทรับเข้ามาใหม่ อาฉีฝันว่านางจะทำให้ฝ่าบาทเป็นโรคซิฟิลิสเจ้าค่ะ"
หมอหลวงอ้ายฟังอาฉีไม่เข้าใจนัก และคิดว่านางกำลังเพ้อเจ้อกับความฝันของตน
"อาฉีนี่คงเป็นโรคของแคว้นลู่หรือ แต่ว่าพ่อไม่เคยได้ยินมันคือสิ่งใด"
อาฉีเองก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด นางรู้แต่ว่านางเห็นหรือนางเคยได้อ่านหรือได้ยินมาสักที่แห่งหนึ่งบางทีอาจจะอยู่ในความฝัน อาฉีเม้มปากแล้วเอ่ยว่า
"คือ...ว่า..คือ"
และแล้วอาฉีเองกลับเหมือนน้ำท่วมปาก คล้ายตนเองรู้แต่ก็คล้ายจะไม่รู้
"อาฉี เจ้าอย่ากล่าวเหลวไหลอีกเข้าใจหรือไม่ โรคที่เจ้าว่าไม่มีอยู่ในตำราแพทย์ยิ่งเกี่ยวกับฝ่าบาทเจ้าไม่อาจเอ่ยเรื่อยเปื่อยได้ หากไม่ใช่พ่อคนอื่นอาจเอาความผิดกับเจ้าได้"
กระนั้นอ้ายเสิ่นก็ยังพยายามอธิบายให้อาฉีฟัง คงเพราะดวงตากลมโตคู่นั้นที่เขามองคราใดก็อดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ อาฉีพยักหน้าเดิมทีคิดถอดใจแล้วกระทั่งนางพลันเห็นว่าท่านพ่อของนางถูกโบยจนเห็นรอยเลือดเป็นทาง ใบหน้าซีดเซียวยิ่ง
อาฉีตกใจน้ำตาไหลลงมาแล้วเอ่ยว่า
"ท่านพ่อ พระสนมคนใหม่ท่านพ่อนางเป็นนางโลมฝ่าบาทจะติดโรคเกี่ยวกับบุรุษ ท่านพ่ออาฉีไม่อาจช่วยท่านได้แล้ว ไม่อาจช่วยได้"
อ้ายเสิ่นตกใจยิ่งนักเมื่อจู่ ๆ อาฉีพลันร้องไห้ เขาจะทำเช่นใดกันดีเล่ากับคำพูดเรื่อยเปื่อยของนาง
"ท่านพ่อ อาฉีขอร้องเชื่ออาฉีสักครั้งนะเจ้าคะ"
"อาฉี เจ้าลุกขึ้นเช็ดน้ำตาเสียอย่าร้องไห้ เจ้าเป็นองค์หญิงเป็นบุตรสาวของข้าไม่อาจอ่อนแอได้ มีสิ่งใดค่อย ๆ พูด พูดช้า ๆ ให้พ่อเข้าใจ"
อาฉีสะอื้นนางรู้สึกสะเทือนใจ หลายเรื่องที่พูดไม่ได้เพราะตัวเองก็ไม่เข้าใจและคำพูดหลายคำดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดเข้าใจคำของนาง กระทั่งตัวเองยังไม่รู้ว่าเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาจากที่ใด
"เจ้าเล่ามาเหตุใดจึงคิดกุเรื่องเหลวไหลนี้กับพ่อ"
อาฉีตั้งสติ นางไม่รู้ต้องพูดยังไงให้ท่านพ่อเชื่อ สุดท้ายอาฉีจึงเล่าถึงเรื่องที่นางรอดชีวิตจากคมดาบในยามสงครามมาได้ เพราะคำทำนายของนาง
"ท่านพ่อ อาฉีมิได้โกหกเจ้าค่ะ เพราะอาฉีทำนายถูกต้องเขาจึงไม่สังหารอาฉี"
อาฉีเล่าทั้งน้ำตา อ้ายเสิ่นเริ่มคิดทบทวน เป็นจริงดั่งว่ายามนี้เขาไม่พบว่าฝ่าบาทเจ็บป่วยเพราะสิ่งใดกันแน่ เขาตรวจละเอียดแล้วแต่ยังไม่พบ ภายนอกพระองค์ยังดูสดชื่นเพราะโรคยังไม่กำเริบ แต่เขารู้ว่าภายในไม่ปกติ
หากเป็นดังนั้นจริง อ้ายเสิ่นต้องตรวจสอบแล้วว่าสนมคนใหม่ของฝ่าบาทเดิมทีเคยเป็นนางโลมมาก่อนหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริง เขาจำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ของอาฉีไว้เป็นความลับมิเช่นนั้นจะเป็นภัยต่อตัวของนางเอง