บทที่ 13 การต้อนรับของแคว้นซูอาน
ในเมืองซูอานนั้นคึกคักยิ่ง แม้ว่าจะเป็นยามค่ำคืนแต่กลับยังมีคนเดินบนถนนกันขวักไขว่ ยังมีเสียงพ่อค้าแม่ค้าต่างร้องเรียกให้ลูกค้าดูสินค้าของตน ในยามนี้แม้ว่าน้าหลานจะห้ามปรามทั้งอาฉีและเสี่ยวฮุ่ยก็ไม่ยอมกลับมานั่งที่
เด็กสองคนต่างมองสองข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ ถึงอาฉีจะอยู่ในตำแหน่งสูงส่งแต่ทว่าชีวิตของนางที่ผ่านมาก็เงียบเหงายิ่ง เมื่อพบเจอคนมากมายคึกคักเช่นนี้อาฉีพลันร่าเริงขึ้นทันตา
"องค์หญิง นั่นท่านดูใช่ถังหูลู่หรือไม่ ข้าไม่ได้ลิ้มรสมันมานานมากแล้ว"
อาฉีเองเมื่อเห็นถังหูลู่เสียบไม่สีแดงยั่วยวนนั้นพลันเลียปากด้วยความหิว เพราะทหารเร่งเดินทางนอกจากอาหารกลางวันที่เป็นแป้งจี่ง่าย ๆ บนรถม้าแล้วก็ไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องอาฉีอีก อีกทั้งก่อนหน้านี้นางเมารถอาเจียนจนอาหารหมดไส้หมดพุง ในยามนี้จึงหิวมากต่อให้เป็นไก่สิบตัวอาฉีก็คิดว่าตนเองสามารถกินได้หมด
"ถังหูลู่ข้าก็อยากกิน ท่านแม่บอกว่าเป็นอาหารของชาวบ้านนอกจากตอนออกจากวังแล้วข้าก็ไม่เคยแตะต้องอีก"
อาฉีเอ่ยอย่างน่าสงสาร ในยามนี้เองที่เสี่ยวฮุ่ยรู้สึกว่าตนเองแม้จะเป็นคนธรรมดาไม่มีตำแหน่งอันใดกลับเคยกินถังหูลู่มากกว่าองค์หญิงเสียอีก
เอาเถิดหากได้กินอีกเสี่ยวฮุ่ยจะแบ่งองค์หญิงที่น่าสงสารนี้ให้มากหน่อย แต่นางจะได้กินอย่างไร เสี่ยวฮุ่ยจึงหันมาถามน้าหลาน
"น้าหลานท่านมีเงินหรือไม่"
น้าหลานยิ้ม
"เจ้าจะถามไปไย ข้าหรือจะมีเงิน"
ความหวังที่เสี่ยวฮุ่ยจะได้กินถังหูลู่พังทลายลงภายในพริบตา อาฉีเองก็รู้สึกเสียใจเดิมทีนางคิดจะถามน้าหลานเช่นกัน นางไม่มีเงินแต่นางมีปิ่นล้ำค่า หากแลกเป็นเงินคงได้มากโข เพียงแต่ไม่อาจขายได้เพราะเป็นของชิ้นเดียวที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้
อาฉีเสียใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาอีกครั้ง
ในยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท โคมไฟจึงถูกจุดจนสว่างไปทั่วเมือง ท่ามกลางแสงของโคมไฟนี้อาฉียังสามารถมองของกินและน้ำลายสอไหลลงมาจนแทบจะหยดลงที่หน้าต่างรถม้า
ทุกคนในเมืองนี้ต่างแต่งกายงดงามไม่มีความยากจนข้นแค้นให้เห็น อาฉีเข้าใจคำว่าแคว้นที่ยิ่งใหญ่ก็ครานี้ กระทั่งประชาชนในเมืองเองยังมีใบหน้ายิ้มแย้มคึกคักไร้กังวลว่าภายนอกจะเกิดสงครามหรือไม่
น้าหลานมองออกไปนอกหน้าต่างยังช่องที่อาฉีเปิดผ้าเอาไว้ นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า
"กองทัพของนายท่านปกป้องบ้านเมืองนี้ ทำให้ประชาชนเป็นสุขเช่นนี้คนที่นี่ช่างโชคดียิ่ง"
จู่ ๆ อาฉีก็เอ่ยขึ้นมา คำพูดนั้นเลื่อนลอยยิ่ง
"น้าหลานเหตุใดข้าจึงเห็นคนในเมืองนี้หลั่งเลือดเล่า น่ากลัวยิ่งหลังจากนี้ไม่รู้ว่านานเท่าใดจะเกิดเรื่องกบฏ ขึ้น ผู้คนต้องหลั่งเลือดและน้ำตา ฝ่าบาทจะสวรรคต"
น้าหลานตกใจยิ่ง นางคว้าตัวอาฉีเอาไว้แล้วอุดปากเอาไว้ทันใด
"องค์หญิงท่านกล่าวสิ่งใด ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้"
คำกาลกิณีว่าฝ่าบาทจะสวรรคตนั้น หากผู้ใดได้ยินเข้าเห็นคราวว่าองค์หญิงคงต้องถูกบั่นคอเป็นแน่ ถึงน้าหลานจะเป็นเพียงชาวบ้าน นางยังรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
"องค์หญิง ท่านหมายความว่าอย่างไร"
เสี่ยวฮุ่ยนั้นยังไม่เข้าใจ นางคิ้วขมวดเข้าหากัน
"ผู้ใดจะตายกัน"
น้าหลานตีเข้าที่ปากของเสี่ยวฮุ่ยอย่างแรง
"จำไว้ สิ่งที่องค์หญิงกล่าววันนี้เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน และหากอยากมีชีวิตอย่าได้เที่ยวพูดเรื่องนี้กับผู้ใด ลืมมันไปเสีย ลืมมันไป"
อาฉีบัดนี้มึนงงเป็นอย่างยิ่ง จู่ ๆ นางก็มองเห็นภาพพวกนั้นและคล้ายนางมิใช่ตัวของนางเอง และสิ่งที่นางเห็นคล้ายจะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาฉีถึงได้มั่นใจเช่นนั้น
"องค์หญิง เข้าใจหรือไม่เจ้าคะ อย่าเอ่ยเรื่องไม่ดีเช่นนี้อีก"
อาฉีพยักหน้า นางย่อมเข้าใจแต่นางในยามนั้นเหตุใดไม่สามารถที่จะหยุดคำพูดของตนเองได้ เหมือนนางไม่รู้ตัวในยามที่พูดออกไป
นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้าที่จะเกิดการก่อกบฏ อาฉีเองนิมิตเรื่องนี้นางบอกท่านพ่อท่านแม่แต่พวกเขาไม่เชื่อนาง
ยังหาว่านางกินมากจนเพ้อเจ้อ คนที่ท่านพ่อท่านแม่ไว้ใจยิ่งจะก่อกบฏ ได้อย่างไร และสุดท้ายเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจริง อาฉีเองไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนเองถึงได้รู้เรื่องพวกนี้ ราวกับว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกได้เองหรือว่านางสามารถทำนายอนาคตได้เช่นนั้นหรือ
เรื่องเช่นนี้อาฉีเคยได้ยินเพียงแต่ในนิทานที่พี่เลี้ยงเล่าให้ฟังก็เท่านั้น
กระทั่งวันที่อาฉีจะถูกสังหาร นางกลับจดจำเรื่องนี้ได้ เรื่องที่เสนาบดีผู้นั้นจะถูกลอบสังหารโดยคนใกล้ชิดของเขา อาฉีจึงพูดออกไป
"คืนนี้จะมีคนแอบลอบสังหารท่าน เป็นคนที่ท่านไว้ใจมาก ไว้ชีวิตข้าและข้าจะบอกว่าเขาคือผู้ใด"
ในคราแรกเสนาบดีผู้นั้นไม่ยอมเชื่อนางแต่นางยืนกรานว่านางเห็นในนิมิต อาฉีเองรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เขาจึงเชื่อนางสักครั้งและเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจริง
เสนาบดีผู้นี้เป็นศิษย์ของหมอผีผู้หนึ่งหลังจากนั้นเขาจึงคิดส่งอาฉีไปชายแดน เพื่อไปให้หมอผีผู้นั้นตรวจสอบนาง และในยามนั้นอาฉีพลันนิมิตเห็นอ้ายเจิงว่าเขาต้องมาช่วยตนเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่นางรู้ว่าเขาต้องมานางจึงตั้งตารอเขา
และพี่ชายของนางก็มาหานางจริง ๆ
หลังจากนั้นนางไม่เกิดนิมิตอันใดอีกเลยและเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืนอาฉีก็คล้ายจะลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้ว กระทั่งวันนี้นางก็ได้เห็นสิ่งที่นางไม่ควรเห็นอีกครั้ง
ผู้คนและความตายในวังหลวงแห่งนี้!
หลังจากเห็นเลือดและคนตายอาฉีก็ไม่ร่าเริงและตื่นเต้นเช่นเดิมแล้ว รถม้าหยุดอยู่หน้าจวนใหญ่แห่งหนึ่ง อาฉีถูกน้าหลานประคองให้ลงจากรถ
"องค์หญิงข้าน้อยคืออ้ายเสิ่น ผู้ที่ฝ่าบาททรงมอบให้องค์หญิงเป็นบุตรสาวบุญธรรม วันนี้ต้อนรับอย่างเรียบง่ายขอองค์หญิงให้อภัย"
หมอเทวดาอ้ายเสิ่นออกมาต้อนรับนาง เขาทำความเคารพองค์หญิงน้อยตามศักดิ์อย่างไรเสียหากว่ากันตามยศองค์หญิงน้อยบัดนี้คือผู้ครองแคว้นลู่อย่างแท้จริง
"อาฉีคารวะท่านพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ อาฉีดีใจยิ่งที่ได้พบท่านพ่อเจ้าค่ะ"
อาฉียอบกายให้เขา บุรุษผู้นี้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับอ้ายเจิงหลายส่วน องอาจหล่อเหลาถึงแม้ว่าเส้นผมบนศีรษะของเขาจะหงอกไปบางส่วนก็ยังคงสง่างาม เขาอยู่ในชุดสีขาวสะอาดมีพู่ประจำตำแหน่งห้อยที่เอว
เขาผู้นี้คือหมอเทวาอ้ายเสิ่นโดยไม่ต้องสงสัย
"องค์หญิงเดินทางลำบากหรือไม่"
อาฉียิ้มบางแล้วส่ายหน้า
"สะดวกดีเจ้าค่ะ"
ท่าทางของอาฉีอ่อนน้อมเป็นเด็กดีมีมารยาทย่อมถูกใจอ้ายเสิ่นเป็นอย่างยิ่ง
"เช่นนั้นเชิญองค์หญิงด้านในเถิด ฝ่าบาทให้กระหม่อมทำพิธีรับองค์หญิงเป็นบุตรบุญธรรมทันทีที่องค์หญิงมาถึง อาจจะเหน็ดเหนื่อยแต่ขอให้ทรงอดทนพิธีการเร่งรีบแต่เรียบง่ายยิ่งนัก"
"อาฉีขอบคุณพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ"
อ้ายเสิ่นลูบเคราแพระของตนเอง เขายิ้มน้อย ๆ องค์หญิงดูจะซูบผอมกว่าในภาพวาดอยู่มาก การเดินทางไกลคงทำให้นางลำบากแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังคิดว่าองค์หญิงผู้นี้น่ารักมิใช่น้อย เขาเองไม่มีบุตรสาวเพียงเห็นหน้าอ้วนกลมและรอยยิ้มอันสดใสแม้จะเดินทางมาไกลนี้ก็รู้สึกชื่นชมนัก
อ้ายเสิ่นผายมือแล้วเอ่ยว่า "พ่อบ้านหูนำทาง"
พ่อบ้านหูเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลอ้าย เขาทำความเคารพองค์หญิงน้อย ในใจนึกเวทนานักเขาย่อมรู้เรื่องของนางโดยละเอียด และที่น่าสงสารคือสภาพขององค์หญิงเช่นนี้คุณชายของเขาย่อมไม่มีวันแต่งนางเข้ามาเป็นภรรยาเป็นแน่
อาฉีเห็นว่านอกจากจะมีท่านพ่อบุญธรรมของนางที่ออกมาต้อนรับแล้ว ด้านหลังเขายังมีสตรีทั้งมีอายุและสตรีอ่อนเยาว์ใบหน้างดงามเป็นจำนวนมากมาคอยต้อนรับ
แต่ทว่าสายตาของหญิงงามพวกนั้นกลับมองนางแปลก ๆ คล้ายจะเหยียดหยามในที และยังมีสตรีหลายคนที่จ้องนางราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน เอ๋ อาฉีทำสิ่งใดผิดกันนะ
คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสตรีเหล่านี้ต้องมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นด้วยนางเพิ่งมาถึงยังไม่ได้ล่วงเกินผู้ใดเป็นแน่ หรือว่าสตรีแคว้นซูอานจะต้อนรับผู้อื่นด้วยแววตาเช่นนี้
อาฉีไม่เคยมาต่างแคว้นจึงไม่รู้ธรรมเนียม เอาเถิดถ้านี่คือธรรมเนียมปฏิบัติของคนที่นี่ในการต้อนรับคนต่างแคว้น อาฉีเองก็มีน้ำใจและฉลาดอยู่มาก ในเมื่อพวกเขาทำอย่างไรอาฉีก็จะทำตามก็แล้วกัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อาฉีจึงจ้องหน้าสตรีเหล่านั้นที่กำลังมองนางอย่างชิงชังด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชังไม่แพ้กัน