บทที่ 12 เข้าเมืองหลวง
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทางตะวันตกอาฉีที่เดินทางมาตลอดวันบังเกิดความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบสองย่างสิบสามนางมิเคยออกจากแคว้นของตนเองเลยแม้แต่คราเดียว อย่างมากสุดที่เคยเดินทางก็คือออกมานอกตัวเมืองหลวงของแคว้นลู่เพื่อท่องเที่ยวกับท่านแม่เป็นครั้งคราวในยามท่านออกมาเยี่ยมเยือนราษฎร
การเดินทางของอาฉีค่อนข้างราบเรียบเนื่องด้วยกองกำลังที่อารักขานับว่าเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งและผู้คนล้วนหวาดกลัว จะคิดถึงโจรปล้นระหว่างทางหรือไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดมาขัดขวาง
ในรถม้าของอาฉีไม่นับว่ากว้างนักแต่ก็มิได้คับแคบจนเกินไป นับว่าครานี้อ้ายเจิงเลือกคนให้นางไม่ผิดเมื่อน้าหลานผู้นั้นคอยดูแลอาฉีอย่างดีโดยไม่มีบกพร่อง น้าหลานเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดแต่ในยามที่ต้องพูดนางกลับสามารถให้คำแนะนำกับอาฉีได้ในขณะที่บ่าวอีกคนเสี่ยวฮุ่ยอาฉียังดูไม่ออกว่านางเป็นคนช่างพูดหรือไม่ด้วยเพราะยังหวาดกลัวอาฉีอยู่มากจึงไม่ยอมเอ่ยปากพูดคำใด
อาฉีหน้ามุ่ย คิดว่าจะให้เวลาเสี่ยวฮุ่ยในช่วงระหว่างเดินทางนี้เท่านั้น หากเสี่ยวฮุ่ยยังไม่ยอมพูดและเล่นกับนางอีกอาฉีจะไม่ให้เสี่ยวฮุ่ยเป็นเพื่อนเล่นแล้ว
"ถ้าเจ้าไม่พูดอีกข้าจะหาคนอื่นมาเล่นด้วย"
อาฉีเอ่ยเบา ๆ เสี่ยวฮุ่ยยังไม่กล้ามองนางยังก้มหน้าและพูดตะกุกตะกัก
"บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ"
น้าหลานมองเด็กสองคนแล้วอมยิ้มบาง ๆ
"องค์หญิงดีต่อเจ้าเพียงนี้เจ้าจะหวาดกลัวสิ่งใด เสี่ยวฮุ่ยต่อไปชีวิตเจ้าจะอยู่หรือตายก็แล้วแต่องค์หญิงแล้วไม่รู้หรือว่าวาสนาของเจ้านั้นดีกว่าผู้อื่นเพียงใดที่องค์หญิงเลือกเจ้า"
"บ่าวสำนึกบุญคุณองค์หญิงเจ้าแต่บ่าวมิกล้า"
อาฉีจับมือผอมที่แทบจะติดกระดูกของเสี่ยวฮุ่ยเอาไว้แล้วมองอย่างพิจารณา ช่างแตกต่างจากมือของตนโดยสิ้นเชิง ต่างกระทั่งอาฉีอยากแบ่งเนื้อของตนให้เสี่ยวฮุ่ยสักครึ่งคงทำให้นางดูดีกว่านี้เป็นแน่
"เจ้าจะกลัวอันใด ข้าเองต่างจากเจ้าตรงที่ใดท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็อยู่บนสวรรค์แล้ว น้าหลานเองก็บอกว่านางไม่มีใครอีกตอนนี้นอกจากพี่ชายข้าก็มีแค่พวกเจ้าแล้วมิใช่หรือ เช่นนั้นแล้วข้าเป็นเพื่อนกับเจ้าได้หรือไม่"
เสี่ยวฮุ่ยถึงกับน้ำตาไหล นางย่อมเข้าใจคำกล่าวขององค์หญิงดี องค์หญิงผู้นี้มุมหนึ่งเหมือนคนไม่รู้ความนักด้วยคงถูกเลี้ยงมาประดุจไข่ในหิน แต่ทว่านางกลับอ่อนโยนไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวฮุ่ยใช้ชีวิตกับพวกขอทานมามากทุกคนล้วนแก่งแย่งไม่เคยมีผู้ใดเลยที่เอื้อเฟื้อต่อนางด้วยใจจริง
"เจ้าค่ะ องค์หญิงเสี่ยวฮุ่ย ฮือ ฮือ ฮือ ไม่มีผู้ใดแล้วเช่นกัน"
เมื่อเห็นน้ำตาของเด็กกำพร้าเช่นตนอาฉีพลันนึกถึงท่านพ่อ ท่านแม่ของนาง ถึงจะพยายามเข้มแข็งแต่นางก็ไม่อาจลืมเลือน น้าหลานนั่งลงตรงกลางแล้วโอบมือรอบร่างเด็กสองคนเอาไว้ด้วยความสงสาร
สงครามที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจของคนไม่กี่คนกลับทำให้คนอีกนับหมื่นแสนเสียญาติมิตร เด็กน้อยกลายเป็นขอทานและหลายคนไม่อาจทนหิวท่ามกลางความหนาว กระทั่งองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่งยังกลายเป็นเหยื่อของสงครามนี้
นางเห็นชัดเจนเมื่อคืนที่ผ่านมาได้ถวายการรับใช้ องค์หญิงมิอาจข่มตาหลับได้ นางเอาแต่ลืมตาเกือบตลอดทั้งคืนและกล่าวว่า
"น้าหลานข้ากลัวข้าฝันร้าย ข้ามักจะฝันเห็นท่านพ่อท่านแม่มีเลือดเต็มร่าง และข้าหลบอยู่ที่มุมหนึ่งยังมีพี่เลี้ยงของข้าที่ถูกสังหาร ข้าเห็นแววตาเบิกโพลงของนางในยามนั้น น้าหลานข้ากลัว"
น้าหลานตบหลังของเด็กทั้งสองเบา ๆ ปลอบให้พวกนางหยุดร้องไห้ด้วยความอบอุ่นด้วยหัวใจที่ร้าวรานและเจ็บปวดกับการสูญเสียบุตรและสามีของนางไม่แพ้กัน
เป็นเพราะหิมะจึงทำให้การเดินทางกลับซูอานต้องใช้เวลานานเกือบหนึ่งเดือน อาฉีผู้ไม่เคยเดินทางไกลอาการของนางนับว่าหนักมาก เมื่อนางเมารถและต้องหยุดอาเจียนไปตลอดทาง
กว่าจะเข้ามาถึงเมืองหลวงน้ำหนักของนางก็ลดลงไปมาก ใบหน้าซูบผอมลงจนเห็นโครงหน้าที่ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย แต่ระยะเวลาที่คลุกคลีกันอย่างใกล้ชิดในการเดินทางก็ทำให้บ่าวและนายสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
และเสี่ยวฮุ่ยแท้จริงแล้วคือเด็กพูดมากปากไม่มีหูรูดผู้หนึ่งเลยทีเดียว ยังดีที่นางเป็นเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงและน้าหลานเท่านั้น แต่หากมีคนอื่นอยู่ด้วยเสี่ยวฮุ่ยจะกลายเป็นสตรีใบ้โดยทันใด
ทันทีที่รถม้าวิ่งเข้าใกล้ประตูเมืองอาฉีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่นี่นางจะได้พบกับท่านพ่อบุญธรรมและยังจะได้พบกับฝ่าบาท ในยามนั้นนางต้องทำตัวเช่นใด หากท่านพี่อยู่ที่นี่ด้วยคงดียิ่ง
อาฉีทอดถอนใจกระทั่งรถม้าหยุดที่หน้าประตูเมือง เสี่ยวฮุ่ยจึงเอ่ยขึ้น
"องค์หญิงท่านดูประตูใหญ่ยิ่งนัก โอ้โหท่าทางหลังประตูนั่นคงมีผู้คนอยู่มากเทียว ข้าได้ยินว่าวังต้องห้ามเองก็อยู่หลังประตูนั่นใช่หรือไม่ ฝ่าบาทจะเรียกพบองค์หญิงหรือไม่ แล้วข้าจะได้เข้าไปยังวังต้องห้ามหรือไม่ ถ้าต้องเข้าไปจริง ๆ ข้าต้องทำเช่นใดกันองค์หญิง"
น้าหลานหยิกแขนเสี่ยวฮุ่ยไปครั้งหนึ่งแล้วเอ็ดเสียงเบา
"องค์หญิงย่อมได้เข้าวังแต่มิใช่เจ้าแน่นอน เมื่อมาถึงแล้วก็สงบปากสงบคำของเจ้าเสียอย่าสงสัยให้มันมาก"
เสี่ยวฮุ่ยเถียงทันใด
"น้าหลานหรือท่านไม่อยากรู้เล่า ว่าในวังต้องห้ามจะงดงามเหมือนคำเล่าลือหรือไม่"
"อยากรู้ก็ส่วนอยากรู้ แต่ปากก็ต้องหัดหุบเอาไว้เสียมิเช่นนั้นอาจจะตายเพราะปากของเจ้าได้"
อาฉีมองน้าหลานกับเสี่ยวฮุ่ยถกเถียงกันโดยไม่พูดสิ่งใด นั่นเป็นเพราะว่านางเองนั้นรู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่ออกแล้ว หวังเพียงแต่ว่าฝ่าบาทและท่านพ่อบุญธรรมจะใจดีเหมือนพี่ชาย
แต่หากพวกเขาเหมือนสองอ๋องนั่นเล่า อาฉีจะทำเช่นใด คิดเช่นนั้นพลันรู้สึกว่าขนที่แขนของตนเองตั้งขึ้น นางยังจำสายตาของซู่อ๋องที่มองมายังนางได้ นางไม่น่าเผลอไปสบตาของเขาเลยกระทั่งตอนนี้อาฉียังฝันร้ายเมื่อนึกถึงดวงตาคู่นั้น
รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูวัง อาฉีอยากรู้อยากเห็นจึงอดที่จะเปิดม่านหน้าต่างและยื่นคอออกไปดูไม่ได้ ในขณะที่เสี่ยวฮุ่ยเองก็อดทนไม่ได้นางจึงยื่นคอตามอาฉีออกไป
"องค์หญิงไม่งามนะเจ้าคะ"
น้าหลานดึงก้นอ้วน ๆ ที่ซูบลงไปมาแต่ก็ยังอ้วนกลมของนางให้กลับเข้ามานั่งดังเดิม แต่อาฉียึดหน้าต่างเอาไว้แน่นในขณะที่มือของน้าหลานอีกข้างนั้นก็กำลังดึงร่างของเสี่ยวฮุ่ยให้กลับเข้ามาเช่นกัน
เด็กสองคนอยากรู้อยากเห็นจึงเกาะขอบหน้าต่างแน่น สุดท้ายน้าหลานไม่รู้ต้องทำเช่นไรจึงตีเข้าไปที่ก้นผอม ๆ ของเสี่ยวฮุ่ยคราหนึ่ง
"โอ๊ย น้าหลานข้าเจ็บ"
"เจ้ากลับเข้ามา"
"แต่องค์หญิงยังดูได้"
น้าหลานส่ายหน้า
"องค์หญิงยังมียศสูงส่ง อย่างไรเสียนายท่านก็ยังคุ้มครองนางได้ แต่เจ้ายังไม่ทันเข้าประตูเมืองก็ทำท่าว่าหัวจะหลุดจากบ่าแล้ว"
เมื่อได้ยินคำว่าหัวจะหลุดเสี่ยวฮุ่ยจึงยอมมุดตัวกลับเข้ามานั่งที่เดิม มือหนึ่งดึงกระโปรงของอาฉี
"องค์หญิง ท่านเห็นสิ่งใดเล่าให้ข้าฟังด้วย"
อาฉีกระดิกก้นกลม ดูแล้วเหมือนก้นของลูกสุกรตัวหนึ่งช่างน่าขันยิ่ง น้าหลานเห็นว่าน่าเอ็นดูอดยิ้มและหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้
"เห็นทหารนำบางอย่างไปให้ทหารที่เฝ้าประตูดู และกำแพงสูง"
"แค่นี้หรือเจ้าคะ"
เสี่ยวฮุ่ยเองก็เห็นเช่นกัน
"ใช่"
และแล้วเสียงของทหารด้านนอกพลันตะโกนขึ้น
"ออกเดินทาง"
รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง น้าหลานจึงเอ่ยว่า
"องค์หญิงนั่งดี ๆ เถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะได้เข้าเมืองแล้ว ผู้คนเห็นเข้าจะไม่งาม"
องค์หญิงน้อยยอมกลับมานั่งที่เดิม
"ไม่มีผู้ใดรู้จักข้าเสียหน่อย จะไม่งามได้อย่างไร"
ความจริงที่อาฉียอมกลับมาเพราะว่าน้าหลานนั้นกล่าวคำที่คุ้นเคยกับนาง เมื่อยามที่นางไปเยี่ยมราษฎรกับท่านแม่ ท่านแม่ก็กล่าวกับนางเช่นนี้เช่นกัน
แต่ยามนี้ไม่มีท่านแม่แล้ว
อาฉีกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะไหลลงมาอีกแล้ว แต่นางไม่สามารถอดทนได้จึงปล่อยมันลงมาในที่สุด น้าหลานตกใจร้องออกมาคำหนึ่ง
"องค์หญิง เจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ"
อาฉีส่ายหน้า นางยิ้มเพราะไม่ต้องการให้บ่าวนางนี้ต้องมาเป็นกังวล
"ข้าเพียงดีใจที่จะได้พบท่านพ่อบุญธรรมเสียที ไม่ได้เจ็บที่ใด"