บทที่ 11 สองอ๋องผู้น่ากลัว
อาฉีเลือกคนจากค่ายกักกันนักโทษมาสองคน คนผู้หนึ่งเป็นเด็กอายุเท่ากับนางเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายหมดแล้ว ท่าทางของนางผู้นั้นดูเหมือนจะยังหวาดกลัวอยู่มากและเป็นเด็กวัยไล่เลี่ยกับอาฉีเพียงคนเดียวที่เป็นสตรี ส่วนนางอีกผู้หนึ่งอ้ายเจิงเป็นคนช่วยเลือก เป็นสตรีวัยสามสิบที่เคยมีบุตรมาก่อนและบุตรของนางรวมทั้งสามีก็ล้วนตายจากสงครามเช่นกัน
อ้ายเจิงเห็นว่าคนสองคนเหมาะสมและคงไม่มีใครคิดปีนขึ้นเตียงของเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชาวบ้านแต่คงฝึกฝนไม่ได้ยาก เมื่อพาเข้าจวนเรื่องมารยาทเขาจะให้พ่อบ้านจัดคนมาคอยช่วยสอนอีกครั้ง
เขากำชับคนทั้งสองให้ดูแลอาฉีให้ดี ข่าวของสตรีอุ่นเตียงของเขาที่ถูกจับกรอกน้ำจนตายเลื่องลือไปทั่วค่าย บัดนี้จึงไม่มีใครกล้าทำร้ายอาฉีอีกแล้ว ด้วยประจักษ์ถึงความโหดเหี้ยมของอ้ายเจิงได้เป็นอย่างดี
เสี่ยวฮุ่ยคือชื่อของสาวใช้ผู้นั้น ถึงจะอายุเท่ากับอาฉีกลับดูโตกว่าอาฉีมาก คงเป็นเพราะต้องปากกัดตีนถีบตั้งแต่ยังเด็กในขณะที่สตรีวัยกลางคนผู้นั้นอาฉีกลับเรียกว่าน้าหลานโดยไม่สนใจชื่อจริง ๆ ของนาง อ้ายเจิงจึงปรามเอาไว้ด้วยกลัวว่านางจะไม่รู้ธรรมเนียม
"นางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์เป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง เจ้าเรียกนางว่าน้าไม่ได้"
"ข้าเรียกน้าหลานมิใช่ท่านน้า พี่ชายนางใบหน้าคล้ายท่านน้าของข้าผู้หนึ่งให้อาฉีเรียกเถิด"
อ้ายเจิงเองก็มิใช่คนเคร่งครัดอะไร เขาจึงพยักหน้ายินยอม
"เอาเถิดอยากเรียกว่าอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า"
อ้ายเจิงนั่งดูน้าหลานบ่าวผู้นั้นเกล้ามวยผมให้อาฉีอย่างเรียบร้อยก็พอใจยิ่ง ถึงจะเป็นคนบ้านป่ากลับมีฝีมือที่ดี
"บ่าวเคยเป็นบ่าวบ้านขุนนางผู้หนึ่งก่อนนายท่านอนุญาตให้ออกเรือนเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงยิ้มบาง ๆ อย่างที่ชอบทำ อาฉีเริ่มจะดูออกว่ารอยยิ้มของอ้ายเจิงนั้นแท้จริงแล้วเขากำลังเสแสร้งเพื่อตบตาผู้คนก็เท่านั้น
การยกมุมปากคล้ายยิ้มของเขาก็แค่แสดงว่ารับรู้และไม่ต้องการสนทนากับคนผู้นั้นอีกต่อไป อ้ายเจิงรินน้ำชาใส่ถ้วยเล็ก ยกขึ้นดื่มช้า ๆ ดูนางผู้นั้นเช็ดหน้าเช็ดตาให้อาฉีต่อ
กระทั่งกระโจมถูกเปิดออกบุรุษรูปร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้อ้ายเจิงเดินเข้ามาภายใน ความสูงของพวกเขาทำให้นางต้องเงยหน้าขึ้นไปดู ใบหน้านั้นทั้งหล่อเหลาทั้งดุดันนางจ้องพวกเขาด้วยอาการตกตะลึง ในขณะที่คนทั้งสองเพียงแต่ปรายสายตามองนางอย่างเยือกเย็น
อ้ายเจิงลุกขึ้นทันใดแล้วทำความเคารพคนสองคนอย่างนอบน้อมเอ่ยอย่างร่าเริง
"นายท่าน นายน้อยเห็นพวกท่านแล้วข้าก็เบาใจ นึกว่าจะติดอยู่ที่กลางภูเขาเสียอีกทหารรายงานว่าหิมะถล่มหนักตรงช่วงนั้น"
คนผู้หนึ่งท่าทางเด็กกว่าเอ่ยขึ้น
"ดีที่เราออกมาก่อนที่มันจะถล่มลงมา แล้วท่านเล่าเป็นเช่นไร"
อ้ายเจิงเพียงแต่พยักหน้าเบา ๆ และสองคนนั่นก็พยักหน้ากลับโดยไม่พูดกันต่อ
อาฉีมองคนทั้งสามคนที่คล้ายกำลังเล่นละครใบ้แต่กลับเข้าใจกันแล้วก็ต้องประหลาดใจ กระทั่งจู่ ๆ นางพลันคิดได้ว่า คนที่อ้ายเจิงเรียกว่านายท่านนั้นจะมีผู้ใดได้อีก
อาฉีย่อมเดาได้ว่าคือซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องแห่งซูอานผู้ชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เป็นชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก นางกลัวว่าจะถูกคนสองคนจับกินเมื่อลู่หนิงหวังจ้องเขม็งมาที่นาง อาฉีจึงหลบอยู่ด้านหลังน้าหลานที่หมอบลงตรงนั้นโดยทันใด
"เด็กอ้วนนางนั้นคือองค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันหรือ"
หานเซียวเอ่ยถาม อ้ายเจิงจึงพยักหน้า
"ขอรับ เป็นนาง"
หานเซียวขมวดคิ้ว เขายังไม่เคยเห็นภาพวาดขององค์หญิงแต่รู้ว่าอ้ายเจิงปฏิเสธไม่ยอมแต่งกับนาง บัดนี้เข้าใจแล้วว่าด้วยเหตุใด
บุรุษที่หลงใหลคนงามเช่นอ้ายเจิงย่อมไม่มีทางมององค์หญิงน้อยผู้นี้เป็นแน่
ลู่หนิงหวังกอดอก เอ่ยออกมาคำหนึ่ง
"ท่าทางขี้ขลาดยิ่ง"
อ้ายเจิงพยักหน้าอมยิ้มน้อย ๆ
"ขี้ขลาดแต่นางไม่ตื่นตูม สติของนางดียิ่งข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดนางไม่ถูกสังหารแต่คิดไปคิดมาคงเพราะนางมีบางอย่างที่ทำให้คนพวกนั้นไม่ฆ่านาง แต่ข้ายังมิได้สอบถามคิดว่าไม่สำคัญอันใด"
"ก็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง"
ลู่หนิงหวังตวัดสายตามองนางผ่าน ๆ อาฉีถึงกับขนลุกชัน
นะ น่ากลัวเกินไปแล้ว ถึงจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาแต่พวกเขากลับน่ากลัวยิ่งกว่าผีที่อาฉีจินตนาการเอาไว้ มิหนำซ้ำในยามที่พี่ชายอยู่กับพวกเขา ดูแล้วไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย งดงาม เย็นชา และน่ากลัว
ทว่าอาฉีคิดไม่ถึงว่า อ้ายเจิงพี่ชายของนางเมื่ออยู่กับคนพวกนี้แล้วจะกลายเป็นคนที่น่ากลัวไม่แตกต่างกัน
กระทั่งอ้ายเจิงกวักมือเรียกนาง
"อาฉีเจ้าออกมาทำความเคารพท่านอ๋องเสีย เหตุใดทำตัวเช่นนั้นขายหน้าข้านัก"
อาฉีหลบอยู่หลังบ่าวสองคนที่กำลังหมอบแนบพื้นด้วยหวาดกลัว มิมีผู้ใดกล้าเงยหน้าแม้แต่น้อย
"อาฉี"
อ้ายเจิงเรียกนางอีกครั้ง กระทั่งหานเซียวหัวเราะเสียงดัง
"นางดูกลัวมากจริง ๆ พี่ชายท่านเรียกนางว่าอย่างไรนะ"
หานเซียวหันไปถามอ้ายเจิง
"อาฉี พวกท่านก็เรียกนางเช่นนี้เถิดแม้ว่าจะยังไม่ได้ทำพิธีอย่างเหมาะสม แต่นางก็ถือเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้าตามรับสั่ง ก็เท่ากับเป็นน้องของพวกท่านเช่นกัน"
"น้องหรือ"
ลู่หนิงหวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ความหมายของเขาคือแท้ที่จริงฝ่าบาทต้องการให้อาฉีเป็นภรรยาของอ้ายเจิงต่างหาก แต่คนผู้นี้กลับยืนกรานวางตำแหน่งนางเอาไว้เพียงน้องสาว
อ้ายเจิงรู้ทั้งรู้ว่าลู่หนิงหวังหมายถึงสิ่งใด แต่เขากลับตีหน้าตายทำเป็นไม่รู้
"ใช่ น้องสาว ของพวกท่านด้วยต่อไปก็ช่วยข้าดูแลนางตามรับสั่ง ยิ่งท่านด้วยท่านอ๋องท่านเลี้ยงหานเซียวมากับมือ มีเด็กเพิ่มอีกสักคนให้เลี้ยงท่านคงจะชอบ"
ลู่หนิงหวังตวัดตามองอาฉีอีกคราหนึ่ง ในยามนี้อาฉีสบสายตากับเขาตรง ๆ
แย่แล้วอาฉีนางรู้สึกคล้ายจะฉี่เล็ดแล้ว ดีนะที่นางยังกลั้นเอาไว้ได้
ลู่หนิงหวังหันหลังแล้วเอ่ยว่า
"ช่างเถิด"
อ้ายเจิงหัวเราะอย่างชอบใจ เขาเดินไปดึงมืออาฉีมาใกล้สองอ๋อง ในขณะที่นางตอนนี้ได้อ้ายเจิงเป็นที่กำบังแล้ว นางจึงกล้าหาญขึ้นเล็กน้อย
"คารวะท่านพี่ทั้งสองของเจ้าเสีย"
อ้ายเจิงสั่งนางอีกครั้ง
ครานี้อาฉีทำตาม
"อาฉีคาระวะท่านอ๋องเพคะ"
ยอบกายเรียบร้อยนางพลันเดินมาแอบอยู่ด้านหลังอ้ายเจิงอย่างที่คิดว่าแนบเนียนที่สุด กระทั่งหานเซียวหัวเราะขบขันท่าทางของนาง ใบหน้าเหี้ยมเกรียมจึงดูอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย
"ข้าไม่ชอบคนขี้ขลาด พี่ชายของข้าด้วยเจ้าอย่าทำตัวเช่นนี้เลยขวางหูขวางตาชะมัด"
หานเซียวพูดจบมือแตะไหล่อ้ายเจิงแล้วบอกว่า
"พี่ชายเสร็จเรื่องแล้วก็มาคุยกันหน่อย"
อ้ายเจิงพยักหน้าสองอ๋องพี่น้องหันหลังเดินออกไป อาฉีถอนหายใจออกมาอย่างแรง นางไม่เคยหวาดกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าของสองคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดและเสื้อผ้าของพวกเขาแม้จะเป็นสีดำสนิทแต่อาฉีได้กลิ่นเลือดรุนแรงยิ่งนัก เพราะว่ามันอาบย้อมจนเกาะติดกับเสื้อผ้าไปแล้ว
อ้ายเจิงบีบมือของนางเมื่อเห็นว่าอาฉีคล้ายจะสติเลือนหายไป
"อาฉีเป็นอันใด"
"พี่ชายตัวของพวกเขา เต็มไปด้วยเลือด"
อ้ายเจิงยิ้มบาง เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า
"อาฉีเจ้าเองก็โตแล้ว คนที่เป็นนักรบย่อมอาบกายด้วยกลิ่นคาวเลือด เจ้าอย่าได้คิดมากเลยสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติที่สุดแล้ว"
"แล้วพี่ชายเล่า"
"ข้าหรือ ตัวข้าเป็นนักรบย่อมไม่ต่างจากพวกเขาเช่นกันเพียงแต่ยามนี้ข้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าใจหรือไม่"
อาฉีพยายามที่จะเข้าใจ นางผ่านเรื่องความเป็นความตายมาแล้วนางไม่อาจหวาดหวั่นสิ่งใดอีก นางโตพอที่จะเข้าใจทุกอย่างแล้ว
อ้ายเจิงตบหลังมือของนางแล้วเอ่ยเบา ๆ
"กองทัพมาสมทบแล้ว พี่จะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งอารักขาเจ้ากลับเมืองหลวงให้เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน หลังจากนั้นพี่จะรีบจัดการเรื่องและตามเจ้ากลับไป ระหว่างนี้อาฉีต้องดูแลตนเองแล้วเจ้าเตรียมตัวได้แล้วพรุ่งนี้พี่ชายจะให้เร่งเดินทางแต่เช้า"
อาฉีอยากจะบอกเขาว่านางอยากจะอยู่ที่นี่กับเขา แต่บัดนี้อ้ายเจิงไม่ฟังนางแล้วเขาเพียงแต่กุมมือนางแผ่วเบาแล้วเดินออกจากกระโจมทันใด
อาฉีนั่งลงคล้ายหมดแรง บ่าวสองคนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้า นางมองคนรับใช้ของตนเองทั้งสองแล้วทอดถอนใจ
ตอนนี้อาฉีมีคนของตนเองแล้วอย่างไรในฐานะนายก็ต้องปกป้องพวกเขาสินะ เอาเถิดท่านพี่ให้ออกเดินทางนางก็จะไปตามที่เขาสั่ง
ต่อไปนางก็ต้องดูแลตนเองแล้ว