บทที่ 10 เมื่อเติบใหญ่
วันต่อมาอ้ายเจิงก็พาอาฉีไปยังค่ายกักกันนักโทษสงครามตามที่เขารับปาก อาฉีถูกเขาพยุงออกมาจากกระโจมพบว่าด้านนอกมีเกี้ยวและทหารอีกสี่คนรออยู่
"เจ้าเดินไม่สะดวกนักพี่เลยให้ทหารทำเกี้ยวให้ เป็นเพียงเก้าอี้ง่าย ๆ เจ้านั่งได้หรือไม่"
อาฉีพยักหน้า
"นั่งได้เจ้าค่ะ"
"ดี ที่ค่ายกักเชลยมีคนให้เจ้าเลือกมากมาย ดูสักคนสองคนที่เข้าตาแล้วข้าจะให้เขาเป็นบ่าวประจำกายของเจ้า"
อาฉียิ้มจนตาหยี อ้ายเจิงบอกกับนางว่าให้นางเลือกเด็กที่อายุใกล้เคียงคนหนึ่งเอาไว้เป็นเพื่อนเล่น ส่วนอีกคนให้โตกว่านางหน่อยจะได้คอยดูแลรับใช้
อาฉีคิดถึงพี่เลี้ยงของตนที่ช่างพูดและคอยทำให้อาฉีมีความสุขน่าเศร้าใจจนอาฉีต้องหลั่งน้ำตาอยู่หลายครั้งที่นางผู้รู้ใจได้จากไปอยู่บนสวรรค์พร้อมกับท่านแม่และท่านพ่อของนางแล้ว
โชคดีที่ท่านพี่เข้าใจยอมให้เพื่อนกับนาง วันนี้นางจึงตื่นเต้นมากที่จะได้เพื่อนใหม่และรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ อ้ายเจิงพยุงนางขึ้นเกี้ยวแล้วขมวดคิ้วพลางสำรวจแล้วจับดูก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ
"เหมือนจะไม่มั่นคงเท่าใด"
เป็นเพราะเขาเห็นว่าไม้ที่ใช้ทำดูเหมือนจะไม่แข็งแรงเท่าใดนัก อาจหักลงมาได้ง่าย และทหารทั้งสี่คนล้วนหน้าซีดเล็กน้อยเมื่อเห็นรูปร่างขององค์หญิงน้อย ที่รูปร่างของนางไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่คิด
เขาถอนหายใจ เขาจะพูดเช่นไรดีเมื่อคิดว่าอย่างไรอาฉีไม่อาจนั่งได้ ขืนนั่งลงไปไม้เปราะ ๆ พวกนี้ต้องหักลงมาเป็นแน่ เขามองทหารอย่างคาดโทษในขณะที่ทหารรีบแก้ตัวทันใด
"เอ่อท่านผู้บัญชาการ คือว่า ข้าน้อยมิเคยพบองค์หญิงน้อยมาก่อนจึงประเมินร่างกายขององค์หญิงผิดไปเล็กน้อยขอรับ"
อ้ายเจิงอยากจะใช้พัดเคาะศีรษะของทหารคนนั้นนัก คนพวกนี้ไร้สมองหรืออย่างไรทำของง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่ได้เรื่องสิ่งนี่มิได้ผิดขนาดไปเล็กน้อยแต่ผิดเป็นอย่างมาก
เขากำลังจะเอ่ยปากบอกอาฉีว่าไม่ต้องนั่งแล้ว แต่ไม่ทันการเมื่อองค์หญิงน้อยไม่ได้ประเมินร่างกายตนเอง นางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้นั่นแล้วพยายามยัดก้นของตัวเองลงไปอย่างทุลักทุเล อ้ายเจิงจึงรีบห้ามนาง
"อาฉี คือว่ามันอาจจะเล็กไปเสียหน่อย เจ้าไม่ต้องนั่งแล้ว"
อาฉีเงยหน้ามองอ้ายเจิง จู่ ๆ น้ำตาของนางก็ไหล
"ไม่ให้คนแล้วหรือเจ้าคะ"
"ไม่ใช่เช่นนั้น ประเดี๋ยวพี่พาเจ้าไปเองเอาเป็นว่าเจ้าไม่ต้องนั่งเกี้ยวแล้ว"
"แต่อาฉีเจ็บขา"
น้ำเสียงของนางเจือสะอื้นเล็กน้อยด้วยกลัวว่าตนเองจะไม่ได้พบกับเพื่อนใหม่
อ้ายเจิงครุ่นคิดจะหาเกี้ยวตอนนี้ก็ไม่ทันกาลค่ายกักกันนักโทษอยู่ท้ายค่ายทหาร เขาใช้เวลาเดินไม่นานแต่หากเป็นอาฉีที่เจ็บเท้าในเวลานี้คงเดินไม่ได้
"พี่ชาย อาฉีไม่มีเพื่อนเล่นแล้วหรือเจ้าคะ ไม่ให้แล้วหรือ"
อาฉีเม้มปาก อ้ายเจิงจึงเอ่ยว่า
"เดี๋ยวพี่จะแบกเจ้าไปเอง รับปากแล้วพี่ชายย่อมทำตามที่พูด"
คราวนี้นางปาดน้ำตาก่อนจะพยักหน้าเร็ว ๆ
"เจ้าค่ะ ให้พี่ชายแบกไป"
อาฉีขยับตัวหมายจะลุกขึ้นแต่นางกลับไม่อาจลุกได้ อ้ายเจิงช่วยดึงนางแต่เจ้ากรรมก้นอ้วนกลมของนางดันติดอยู่กับเก้าอี้ตัวนั้น อ้ายเจิงจึงออกแรงหนักขึ้นกระทั่งอาฉีร้องเสียงหลง
"พี่ชาย ข้าเจ็บเจ้าค่ะ"
ด้วยสภาพของอาฉีที่ก้นติดอยู่กับเก้าอี้ในยามนี้ทำให้อ้ายเจิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเสียแล้ว
"เมื่อสักครู่ไฉนนั่งลงไปได้ ครานี้ทำไมดึงออกไม่ได้"
เขาบ่นเบา ๆ แล้วตรวจดูบริเวณนั้นพบว่าก้นของอาฉีติดเข้าไปตรงช่องว่างของเก้าอี้ อ้ายเจิงมีสีหน้าลำบากใจ คงต้องยอมให้นางเจ็บสักหน่อยเขาจึงสั่งทหาร
"พวกเจ้าช่วยกันจับเก้าอี้ให้แน่นข้าจะดึงองค์หญิงขึ้นมา"
"ขอรับ"
ทหารรับคำแข็งขันก่อนจะใช้แรงกดเก้าอี้เอาไว้ไม่ให้เลื่อนหลุด
"อาฉี พี่ชายจะอุ้มเจ้ากอดคอพี่เอาไว้ให้แน่น ๆ"
อาฉีกัดฟัน ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเจ็บเมื่อเนื้อตรงก้นถูกรัดแน่นขึ้นกระนั้นนางก็ไม่ร้องออกมาแม้ว่าน้ำตาจะไหลพราก
"เจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงเห็นท่าทางของนางใจหนึ่งก็รู้สึกขบขันยิ่งแต่อีกใจหนึ่งก็สงสาร จะมีองค์หญิงผู้ใดบ้างที่มีก้นติดกับเก้าอี้จนคนต้องช่วยกันดึงเช่นนี้ และดูท่าทางของนางก็ช่างน่าสงสารยิ่ง
เฮ้ย เขารู้สึกว่าตนเองคิดถูกยิ่งที่ไม่ยินยอมรับนางเป็นภรรยา สตรีนางนี้เป็นเพียงน้องสาวของเขาย่อมเหมาะสมแล้ว
ทหารสี่คนช่วยกันจับเก้าอี้ อาฉีกอดคออ้ายเจิงแน่นในขณะที่เขาโอบแขนรอบร่างอ้วนกลมของนางแล้วบอกนางเบา ๆ
"พี่จะนับหนึ่งถึงสามหลังจากนั้นจะดึงเจ้าขึ้นมา ไม่ต้องกลัวนะ"
อาฉีพยักหน้าอย่างว่าง่าย
"หนึ่ง สอง สาม อึ๊บ"
อาฉีหลับตาแน่นนางรู้สึกเจ็บแปลบที่ตรงก้นทั้งสองข้างจนเผลอร้องออกมา แต่ทว่า...... เหตุใดเมื่อลืมตานางยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเล่า
"ท่านพี่ ข้าเจ็บ ข้าเจ็บมาก"
เมื่อสักครู่อ้ายเจิงเองก็ออกแรงจนสุดกำลังแต่เขากลับลดแรงลงเมื่อได้ยินเสียงของอาฉีร้องออกมา และในตอนนี้เขาเองกลับหน้าแดงก่ำ อ้ายเจิงตีแขนของอาฉีเป็นสัญญาณบอกให้นางปล่อยเขาก่อนเมื่อนางกำลังรัดคอของเขาแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก
อาฉีเห็นอ้ายเจิงตีเข้าที่แขนของตนยิ่งตกใจยิ่งรัดคอเขาแน่นขึ้นด้วยเข้าใจว่าเขาสั่งให้นางกอดเขาให้แน่นขึ้น
"ท่านพี่ ข้าจะรัดแน่น ๆ เจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงบัดนี้แทบจะขาดอากาศหายใจแล้ว เขาร้องออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
"ปล่อยข้า ปล่อย...ข้า"
อาฉีได้ยินดังนั้นจึงรีบปล่อยแขนของตนเอง อ้ายเจิงสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม ทั้งไอออกจนใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งกลายเป็นสีแดงจนเปลี่ยนเป็นคล้ำ สร้างความขบขันให้กับทหารจนต้องกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงตามอ้ายเจิงไปตาม ๆ กัน
ในขณะที่อาฉีไม่รู้ตัวเลยว่านางเกือบจะสังหารคนผู้หนึ่งแล้ว
เขาดูแล้วคงไม่สามารถที่จะดึงนางขึ้นมาได้ หากฝืนทำเช่นนั้นเนื้อของนางตรงนั้นอาจจะระบมอีกก็เป็นได้ ครานี้ไม่ว่าส่วนใดในร่างกายของอาฉีก็คงมีแต่รอยแผลแล้ว
เมื่อกลับจวนในยามนั้นเขาคงถูกฝ่าบาทคาดโทษเป็นแน่ ทั้ง ๆ ที่รับปากพระองค์เอาไว้ว่าจะช่วยองค์หญิงให้ปลอดภัยไม่ได้รับกระทั่งรอยขีดข่วน
อ้ายเจิงคิดถึงความยุ่งยากใจที่จะเกิดขึ้นเขาจึงก้มลงกอดอาฉีแล้วตบหลังนางเบา ๆ
"อาฉี ไม่อาจดึงเจ้าได้แล้ว"
"พี่ชาย หรือว่าอาฉีต้องติดอยู่ในเก้าอี้ตลอดกาล ไม่เอานะเจ้าคะช่วยอาฉีด้วย"
"มิใช่เช่นนั้น พี่จะตัดไม้พวกนี้เพียงแต่อาฉีอย่าขยับเดี๋ยวพี่ใช้ดาบฟันฉับเดียวเจ้าก็หลุดแล้ว นั่งนิ่ง ๆ ได้หรือไม่"
อาฉีรีบพยักหน้า
"ได้เจ้าค่ะ อาฉีจะหลับตาแล้วนั่งนิ่ง ๆ"
เขาหันไปสั่งทหาร
"เจ้าเข้าไปหยิบดาบของข้าในกระโจมมา"
"ขอรับ"
ปกติอ้ายเจิงไม่ค่อยจะพกอาวุธ นอกจากพัดคู่กายที่เสมือนกับมีดสังหารของเขา
รออยู่ครู่หนึ่งทหารผู้นั้นก็นำดาบคมกริบของเขามาให้ ในขณะที่ยามนี้อาฉีหยุดร้องไห้แล้ว นางเชื่อใจอ้ายเจิงนัก คงเป็นเพราะว่าพี่เลี้ยงที่ตายไปของนางวัน ๆ เอาแต่พร่ำถึงบุรุษผู้นี้ให้นางฟังจนนางคล้ายจะสนิทสนมกับเขาตั้งแต่ครั้นยังไม่พบหน้า
เขาผู้ดีเลิศยิ่งกว่าเทพเซียนในความคิดของนาง เขาเป็นพี่ชายของนางและคนที่ท่านพ่อท่านแม่และใคร ๆ บอกว่าบุรุษผู้นี้คือคนที่จะดูแลนางไปตลอดชีวิต
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้อาฉีก็วางใจแล้ว
"อาฉี หลับตาและห้ามขยับพี่ชายจะนับหนึ่งถึงสามเข้าใจหรือไม่"
"เจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงจับดาบแน่นเขาเริ่มนับอีกครา
"หนึ่ง..ฉับ"
เขานับเพียงหนึ่งแล้วตวัดกระบี่ลงบนเก้าอี้ฉับไว แม้ว่าร่างอ้วนของอาฉีจะนั่งจนแน่นขนัดและมองเห็นเนื้อไม้เพียงเล็กน้อยที่โผล่ออกมา แต่ดาบอันรวดเร็วและแรงที่เหมาะสมก็สามารถทำให้เขาตัดเก้าอี้ออกมาได้โดยไม่ระคายผิวของอาฉีแม้แต่น้อย
เมื่อเก้าอี้แตกออกเป็นสองส่วนด้วยแรงดาบของอ้ายเจิง ร่างของอาฉีพลันร่วงหล่นลงบนหิมะทันใด นางรู้สึกเจ็บอยู่บ้างแต่กลับดีใจมากกว่า
"พี่ชายของอาฉีเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงส่งดาบให้ทหารนำกลับไปเก็บที่เดิมแล้วพยุงอาฉีให้ลุกขึ้น
"เจ้าไม่ตกใจนะ"
"ไม่สักนิดเจ้าค่ะ อาฉีหลับตาไม่เห็นสิ่งใดรวดเร็วยิ่งนัก"
อ้ายเจิงได้รับคำชมจากเด็กผู้หนึ่งไม่น่าเชื่อว่าเขากลับรู้สึกดีไปกับคำชมที่ออกมาจากใจนี้ของนาง เขายกมือลูบศีรษะของนางที่ในยามนี้เส้นผมดำขลับถูกปล่อยลงมากระทั่งถึงก้นอ้วนกลม ดูแล้วน่าอนาจใจราวกับนางคือบุตรสาวของชาวนาผู้หนึ่ง
อ้ายเจิงรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ตนเองดูแลนางได้ไม่ดี กระทั่งผมของนางยังไม่ได้รับการดูแลเหมือนหญิงสาวชั้นสูงทั่วไป เขาเคยชินกับการมีนางโลมคอยดูแล พวกนางย่อมต้องจัดการตนเองให้งดงามที่สุดก่อนที่จะเข้ามาปรนนิบัติ
อ้ายเจิงจึงไม่ค่อยเคยชินกับสภาพธรรมชาติโดยไม่เสริมแต่งของสตรีอื่นนัก ผมเผ้าที่ปกปิดหน้าตาชวนให้ขัดเคืองลูกตานัก
แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงที่ไม่ยอมโตผู้นี้จะไม่สนใจเช่นกัน บิดามารดาของนางคงมิได้ปลูกฝังธรรมเนียมให้นางอย่างเข้มงวดเป็นแน่
ว่ากันว่าท่านอ๋องบิดาของนางไม่ยอมกระทั่งมีชายารอง เรื่องผิดประเพณีเช่นนี้ยิ่งทำให้อ้ายเจิงประหลาดใจ สำหรับผู้ครองแคว้น การมีทายาทและผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งกับบุตรสาวขุนนางนั้นสำคัญยิ่ง
มิน่าเล่าเพราะอ๋องผู้นั้นไม่ยอมสร้างสัมพันธ์ด้วยการแต่งบุตรสาวขุนนางเข้ามาในราชสำนัก สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นก็ไม่อาจทนได้จึงทำการก่อกบฏจนเกิดเรื่องเศร้าเช่นนี้และสุดท้ายพวกเขาได้ทอดทิ้งองค์หญิงน้อยเอาไว้ในโลกนี้เพียงลำพัง
อ้ายเจิงยิ้มแล้วนั่งยอง ๆ หันหลังให้นาง
"หากเจ้าไม่เป็นไร เราก็ไปกันเถิด"
องค์หญิงน้อยดูจะลังเลเล็กน้อย
"ทำไมเล่า ไม่ไปแล้วหรือ"
เมื่ออ้ายเจิงเอ่ยถาม อาฉีจึงตอบว่า
"ข้ารู้ว่าน้ำหนักข้ามาก พี่ชายจะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ"
อ้ายเจิงหัวเราะเบา ๆ
"เจ้าหรือ ตัวเล็กเพียงนี้พี่ชายแบกไหว มาเถิดวันนี้พี่ชายมีเวลาไม่มากประเดี๋ยวท่านอ๋องและท่านอ๋องน้อยมาถึงพี่ชายก็ไม่มีเวลาให้เจ้าแล้ว"
อาฉีรีบปีนขึ้นหลังของเขา น้ำหนักของนางนับว่าไม่น้อยแต่อ้ายเจิงเองก็แข็งแรงยิ่งเขาจึงไม่ได้รู้สึกลำบากอันใด การแบกนางเดินในค่ายสร้างความสนใจให้กับคนในค่ายนัก พวกเขาต่างอมยิ้มเมื่อคิดว่าไม่น่าเชื่อว่าคนเช่นอ้ายเจิงที่ภายนอกคล้ายบัณฑิตผู้นี้แต่จิตใจโหดเหี้ยมจะสามารถดูแลคนผู้หนึ่งได้ดีเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยไยดีผู้ใดนอกจากสตรีอุ่นเตียงของเขา
ในยามนี้อาฉีเอาแต่ครุ่นคิดถึงสองอ๋องที่อ้ายเจิงกล่าวถึง พี่เลี้ยงของนางเคยเล่าให้ฟังว่า สองอ๋องนั่นโหดเหี้ยมนักหากเห็นพวกเขากับเสือถ้าต้องเลือกให้รีบวิ่งที่ยังทิศทางที่เสืออยู่ยังจะมีโอกาสรอดห้ามวิ่งเข้าไปหาอ๋องพี่น้องคู่นั้นเด็ดขาด
คนทั้งสองยังมีนิสัยประหลาดอันน่ากลัวที่เด็กเช่นนางไม่ควรเข้าใกล้ เคยมีเรื่องเล่าว่าในสงครามคราหนึ่งที่อากาศหนาวเย็นและอาหารขาดแคลนพวกเขาจึงให้ทหารจับเด็กที่เป็นเชลยสงคราคัดเลือกคนที่มีเนื้อขบเผาะและขี้แยแล้วเอามาต้มกินแทนซุปเนื้อ
เพราะเรื่องเล่านี้อาฉีจึงไม่กล้าร้องไห้อยู่นานด้วยกลัวว่าหากสองอ๋องรู้เข้าจะจับนางไปทำซุปเนื้อคน
เมื่อคิดไปคิดมานางพลันจับจ้องที่ใบหน้าหล่อเหลาด้านข้างของอ้ายเจิง พี่ชายของนางใกล้ชิดกับคนทั้งสองยิ่งกว่าผู้ใดแล้วพี่ชายของนางเล่าเขาเคยกินเนื้อเด็กเหมือนท่านอ๋องทั้งสองหรือไม่
ด้วยความสงสัยนางจึงเอ่ยถามเขาออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว
"พี่ชายเคยกินเด็กหรือไม่เจ้าคะ"
อ้ายเจิงสีหน้าชะงักค้าง เขาแทบจะหยุดเดินเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขายิ้มบาง ๆ แล้วตอบนางชัดถ้อยชัดคำยังมีน้ำเสียงที่ดังเป็นพิเศษ
"เด็กหรือ ข้าไม่นิยม ข้าชอบกินสตรีที่งดงามมากกว่า เจ้าจะถามไปไย"
อาฉีถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่พี่ชายของนางมิได้ชอบกินเนื้อเด็กเหมือนสองอ๋องนั้น แต่ทว่าเมื่อนางโตขึ้นพี่ชายจะกินนางหรือไม่ อาฉีเริ่มหวาดกลัวแล้ว
"พี่ชาย หากอาฉีโตขึ้นพี่ชายจะกินอาฉีหรือไม่เจ้าคะ"
อ้ายเจิงอยากจะเห็นหน้าเด็กน้อยที่เขาแบกอยู่ด้านหลังนักสีในยามที่นางถามจะมีสีหน้าอย่างไร เหตุใดนางจึงถามเรื่องพิเรนทร์เช่นนี้กัน
"ไม่กินแน่นอน ข้าไม่ชอบกินน้องสาวตัวเอง"
"แม้ว่าหากโตขึ้นอาฉีจะงามหรือเจ้าคะ"
ใจของอาฉีเต้นรัว มือที่โอบรอบลำคอของเขาอยู่กำเสื้อตรงหน้าอกของเขาแน่น รู้สึกอดหวาดกลัวเล็ก ๆ ไม่ได้ กระทั่งนางได้ยินเสียงอ้ายเจิงหัวเราะเบา ๆ
"ไม่กินแน่นอน ไม่ว่างามอย่างไรก็ไม่กิน"
น่าประหลาดที่อาฉีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หรือว่านางจะงามไม่พอที่จะทำให้พี่ชายหิวกันนะ แต่ก็ช่างเถิดอย่างไรพี่ชายก็พูดออกมาแล้ว นางดีใจยิ่งนักที่พี่ชายจะไม่กินอาฉีแล้ว