บทที่ 9 อาฉีมาเป็นอันดับหนึ่ง
หว่านเอ๋อร์ยังมิทันได้แก้ตัวอ้ายเจิงก็ตะโกนเสียงดังเสียแล้ว
"เจ้ายังกล้าโกหก เจ้ากินสิ่งใดลงไปข้าดมดูก็รู้แล้วมีบ่าวที่ใดบ้างกล้ากินอาหารขององค์หญิง เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือจึงได้คิดแผนชั่ว ๆ นี้มาตบตาข้า เรื่องเล็กเจ้ายังกล้าทำเรื่องใหญ่มีหรือจะไม่กล้า ทหารลากนางผู้นี้ไปลงโทษตามกฎของทหาร โทษฐานที่นางกล้ากินอาหารขององค์หญิง จับนางกรอกน้ำทั้งคืนจนกว่านางจะสำนึก หากนางรอดพ้นคืนนี้ไปได้ให้โบยหนึ่งร้อยไม้โทษฐานทำร้ายร่างกายองค์หญิง"
"นะ นายท่าน ข้ามิได้ทำ นายท่านโปรดเชื่อข้า โปรดเชื่อข้า"
อ้ายเจิงยิ้มอ่อนโยนแต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้หว่านเอ๋อร์คล้ายจะฝันร้าย เขากล่าวหนัก ๆ ออกมาคำหนึ่ง
"ลากนางออกไป"
"ขอรับ"
"นายท่าน ได้โปรด เชื่อข้า หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ทำ หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ทำเจ้าค่ะ ไว้ชีวิตข้าด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย"
ภายในกระโจมบัดนี้เงียบกริบในขณะที่ด้านนอกยังมีเสียงของหว่านเอ๋อร์และหายไปคล้ายมีใครเอาผ้าอุดปากนางเอาไว้ เมื่อจัดการตัดสินคนเสร็จสิ้น ท่านหมอที่เพิ่งหายจากอาการตกตะลึงกับคำตัดสินและความฉลาดของเขาที่จับเท็จแม่นางผู้นั้นได้อย่างรวดเร็วจึงเอ่ยว่า
"ท่านผู้บัญชาการ ข้าน้อยจะให้คนต้มยาแล้วนำมาถวายองค์หญิง ยาอาจจะขมเสียหน่อยอย่างไรเสียก็ขอให้องค์หญิงดื่มให้หมดนะขอรับ"
อ้ายเจิงพยักหน้า
"ข้าเข้าใจแล้ว อาฉีของข้าล้วนชอบกินทุกอย่าง"
เขาไม่ได้ถามนางแต่ประเมินจากรูปร่างที่อ้วนกลมของอาฉีจึงคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน อาฉีได้ยินดังนั้นจึงรีบแย้ง
"แต่ข้าไม่ชอบของขม ๆ นะเจ้าคะ"
อ้ายเจิงยิ้มอ่อนโยนแต่อาฉีเห็นแล้วกลับรู้สึกขนลุก ยิ่งคิดถึงคำตัดสินของเขาเมื่อสักครู่อาฉีเองก็ไม่กล้าสบตาเขาแล้ว
"อาฉี พี่ชายบอกว่าชอบเจ้าก็ต้องชอบเข้าใจหรือไม่ อย่าดื้อกับพี่ชายมิเช่นนั้นเจ้าจะได้กินยาขมตลอดไป"
อาฉีย่นจมูก ตอบอุบอิบอย่างนึกหวาด ๆ กับคำขู่ของเขา
"ก็ได้เจ้าค่ะ อาฉีจะเชื่อฟังท่าน"
"ดี มาเถิดพี่ชายจะพยุงเจ้าเอง"
อ้ายเจิงที่พยุงร่างอ้วนขององค์หญิงน้อยมาที่โต๊ะอาหาร ทั้งยังคอยเช็ดน้ำตาให้นางจนแห้ง เขาถอนหายใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางบางส่วนยังคงมีเลือดกรังติดอยู่ จึงสั่งคนให้นำอ่างน้ำเข้ามาใหม่ ครานี้เขาเป็นคนลงมือเช็ดหน้าให้อาฉีด้วยตนเอง
อาฉีจ้องเขาตาแป๋ว นางไม่ร้องไห้แล้วแต่ในใจกลับนึกกลัว อ้ายเจิงผู้นี้ท่าทางคล้ายบัณฑิตใบหน้างดงามนัก แต่การลงโทษของเขากลับเหี้ยมโหด แม้ว่าหว่านเอ๋อร์จะเป็นสตรีถูกลงโทษให้จับกรอกน้ำเช่นนั้นในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้นางจะรอดหรือ และดูเหมือนว่าอ้ายเจิงจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
"พี่ชายเชื่อข้าหรือเจ้าคะ"
"มิใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เจ้าเป็นน้องสาวของพี่แล้ว ต่อให้เจ้าเป็นคนทำผิดแล้วอย่างไร อย่างมากก็แค่เปลี่ยนบ่าวคนใหม่ พี่ไม่ถือโทษเจ้าเป็นแน่"
อาฉีรู้สึกดีมากที่เขาเห็นนางเป็นน้องจริง ๆ กระทั่งหากทำความผิดยังไม่คิดถือโทษ ทว่าเมื่อคิดถึงท่าทางไม่สนใจคนอื่นของเขาอาฉีถึงกับรู้สึกหนาวในใจ
"ท่านทำโทษนางหนักเกินไปหรือไม่เจ้าคะ กรอกน้ำใส่ปากอาฉีเคยได้ยินมาว่ามันทรมานมาก"
อ้ายเจิงยิ้มอบอุ่นแล้วจับมือของอาฉีพร้อมทั้งตบที่หลังมือกลมเบา ๆ
"อาฉี นางเป็นเพียงบ่าวและยังเป็นเชลยสงคราม นางคิดปีนขึ้นเตียงข้า ข้าก็ให้นางสมใจปรารถนา แต่นางคิดมักใหญ่ใฝ่สูงกระทั่งกับเจ้าที่เป็นน้องสาวของข้ายังกล้าลงมือ เจ้ารู้หรือไม่กว่าข้าจะตามหาเจ้าและรักษาชีวิตของเจ้าได้ข้าลำบากเพียงใด เจ้าเป็นคนของข้า นางยังกล้าแตะ ต่อไปไม่คิดฆ่าข้าเพื่อเป็นใหญ่หรือ พี่ชายพูดเท่านี้หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ"
หน้ากลมแก้มซาลาเปาพยักขึ้นลง ดวงตาของนางยังคงฉายแววสงสัยอ้ายเจิงจึงได้แต่หัวเราะเบา ๆ การเลี้ยงเด็กและอธิบายสิ่งที่สลับซับซ้อนให้ฟังไม่ง่ายเลยจริง ๆ เขาจึงเอ่ยต่อ
"เจ้าอย่าสนใจนางเลย อย่างไรเจ้าต้องมีคนดูแลพี่ชายจะให้เจ้าเลือกคนด้วยตัวเอง ดีหรือไม่"
อาฉีพยักหน้า ยิ้มจนแก้มปริ
"ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ อาฉีนึกว่าตนเองทำให้พี่ชายลำบากแล้ว"
อ้ายเจิงยิ้มแล้วบ่นออกมาเบา ๆ
"ก็ลำบากนิดหน่อย ในค่ายทหารนี้หว่านเอ๋อร์งามที่สุดแล้วคืนนี้คงต้องนอนหนาวสักหน่อย เพราะไม่มีผู้ใดอุ่นเตียง"
ว่าแล้วอ้ายเจิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างนึกเสียดาย ในขณะที่อาฉีจ้องเขาเขม็ง
"อาฉีไม่งามหรือเจ้าคะ ถ้าพี่ชายกลัวหนาวอาฉีจะอุ่นเตียงให้เอง พี่ชายนอนกับอาฉีได้เจ้าค่ะ"
อ้ายเจิงได้ยินดังนั้นพลันสำลักน้ำลาย มองดูหน้ากลมแป้นแล้นของนางแล้วเม้มปาก เอาเถิดโกหกสักคำสองคำเพื่อให้เด็กสบายใจคงไม่เป็นไร
"งามมาก อาฉีของพี่งามที่สุดแล้วเพียงแต่เรื่องอุ่นเตียงเจ้ายังเด็กอย่าได้คิดถึงเลย"
อาฉีมองเขาอย่างฉงน
"แต่ว่าอาฉีอยากอุ่นเตียงให้พี่ชายนี่เจ้าคะ"
ครานี้เองที่อ้ายเจิงไอออกมาจนใบหน้าแดงก่ำ เอาล่ะต่อไปเขาจะไม่พูดเรื่องพวกนี้กับอาฉีอีกเป็นอันขาด