บทย่อ
“ว้าย!…” เธอส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจไม่ดังมาก หลังจากที่รู้สึกเหมือนกับว่าร่างของตนเองนั้นชนกับอะไรบางอย่างที่ใหญ่และแข็งแรงมาก เนื่องจากแรงประทะส่งผลให้ร่างอวบอัด กระเด็นลงไปนั่งจ้ำเบ้าบนพื้น“อู้ย…ก้นจะหักหรือเปล่าเนี่ย”รสสินาบ่นอุบ ใช้มืออีกข้างคลำบั้นท้าย ส่วนอีกข้างยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน พอลุกขึ้นยืนเหยียดตรงเธอก็ตั้งใจว่าวีนใส่คนที่ทำให้ตนเองต้องระเห็จไปอยู่บนพื้น แต่เจ้ากรรม ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยวาจาอันใดออกไป ปากบางๆ ก็ขยับไม่ออก ดวงตาสาวตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นชายตรงหน้าโอ๊ยๆๆ หล่อชะมัดเลย…นั่นคือสิ่งที่รสสินาบอกกับตัวเองในวินาทีแรกที่เห็นชายตรงหน้า“ชนคนอื่นแล้วไม่คิดจะขอโทษหน่อยเหรอ มัวแต่ยืนจ้องหน้าทำตาหวานใส่ฉันอยู่ได้” พอได้ยินเสียงคนหน้าหล่อปากไม่หล่อตามเท่านั้น สติของรสสินาก็กลับมาทันที“อ้าว…พูดอย่างนี้ก็สวยน่ะสิ คุณต่างหากที่ชนฉัน ฉันเดินมาตามทางอยู่ดีๆ คุณเลี้ยวมาชนฉันเองนะ”“เธอต่างหากที่มาชนฉัน ฉันเดินมาตามทางของฉันอยู่ดีๆ เธอเดินก้มหน้าก้มตาเดินไม่ดูทางมาชนฉันเองนะจะมาโทษฉันไม่ได้”“แต่คุณก็น่าจะหลบฉันสิ ถ้าเห็นว่าฉันไม่หลบ นั่นหมายความว่าคุณจงใจชนฉันเพราะฉะนั้นคุณผิด” รสสินาเถียงไม่ยอมแพ้ แก้ลำจนตัวเองไม่มีความผิด โยนความผิดให้หนุ่มรูปหล่อตรงหน้าแทน “เข้าใจหรือเปล่าว่าคุณผิด ผิดๆๆๆๆ เพราะฉะนั้นคุณต้องขอโทษฉันตามหลักสากล ไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ ทั้งสิ้น”ถ้าเขาพูดดีๆ กับเธอสักหน่อย ขอโทษขอโพย ช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืนอย่างกับสุภาพบุรุษทั่วๆ ไป เธอจะไม่วีนใส่เขาเลย แต่นี่ไม่ใช่แล้วรสสินาจะปล่อยไว้ทำไมถึงจะหล่อขั้นเทพแค่ไหนเธอก็ไม่เว้น“เธอเอาอะไรคิดเนี่ย ตัวเองผิดแล้วยังจะมาพูดให้ฉันผิดให้ได้เลยนะ แค่ขอโทษมันก็จบแล้ว เธอต้องขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ไม่งั้นเห็นดีกันแน่”“ไม่” รสสินากระแทกเสียงพูด ไม่หลบสายตาแข็งกระด้างของเขา “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ขอโทษ คุณนั่นแหละที่ต้องขอโทษฉัน” เธอยังยืนกรานคำเดิม แม้ว่าตัวเองจะผิด“ไม่” เสียงใหญ่กระแทกเสียงพูดบ้าง “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ขอโทษ เธอนั่นแหละที่ต้องขอโทษฉัน” อลาริคทวนคำตามประโยคที่หญิงสาวพูด ทำให้สาวผู้ไม่ยอมคนถึงกับเลือดขึ้นหน้า“หน้าตาก็หล่อ แต่ทำไมนะนิสัยถึงไม่หล่อเหมือนหน้าเลย ตกลงคุณจะไม่ขอโทษฉันใช่ไหม?” รสสินาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลังจากที่ต่อว่าต่อขานเขาหอมปากหอมคอ“ใช่ ฉันไม่ผิด ฉันไม่ขอโทษเด็ดขาด”เขายืนกรานคำเดิม นึกอยากจะหวดก้นสาวตรงหน้าขึ้นมาตงิดๆ ไม่เคยมีใครกล้าทำน้ำเสียงและกล่าววาจาต่อว่าเขาอย่างเธอมาก่อนเลย แถมยังจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัวด้วย อยากจะสวนกลับไปว่า ‘เธอหน้าตาก็ไม่สวย ปากก็เลยไม่สวยตามรูป’ แต่ก็ยั้งๆ ปากเอาไว้ เพราะไม่ต้องการตอกย้ำรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ“แน่นะ” เธอถามย้ำ“แน่สิ” อลาริคกอดอกตอบ“ถ้าอย่างนั้นฉันจัดให้งามๆ โทษฐานไม่ยอมขอโทษฉัน”อลาริคที่ไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่าสาวตรงหน้าจะร้ายกาจขนาดนี้ เลยเจอร้องเท้าหนังที่เธอสวมใส่กระแทกเท้าของตนอย่างแรง จนเท้าของเขาชาไปหมด ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังปราดเข้ามาจับตรงบั้นเอวทั้งสองข้างของเขางอเข่าแล้วยกขึ้นสูงกระแทกไปยังใจกลางร่างกายโดนกล่องดวงใจเขาอย่างจัง อลาริคตัวงอ หน้าเขียวทันที แต่ทว่าสาวแสบไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังใช้หมัดเสยปลายคางจนอีกฝ่ายหน้าหงาย“รู้จักฤทธิ์แม่น้อยเกินไปแล้ว สมน้ำหน้า”พูดจบเธอก็แลบลิ้นใส่อลาริคที่นั่งกุมของรักของหวง มองร่างของสาวตัวดีที่ทำร้ายเขาไปอย่างเคียดแค้น แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน ลูกน้องคนสนิทก็ไม่ได้ติดตามมาด้วย จึงได้แค่คาดโทษสาวที่วิ่งจู๊ดเข้าไปในห้าง
บทที่ 1 จอมเผด็จการ 1
นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
“ไม่ได้” เสียงกัมปนาทดังไปทั่วทั้งห้อง “พี่ว่ายังไงก็ต้องอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์เถียง ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน ไม่มีสิทธิ์พูด เบลล่าต้องทำตามที่พี่สั่งอย่างเดียวเท่านั้น”
อลาริค แอนเดอร์สัน เจ้าของฉายา จอมเผด็จการแห่งนิวยอร์กเหมาะสมกับชื่อเขาที่หมายถึงผู้ปกครองผู้ทรงอำนาจ ส่งเสียงเด็ดขาดกับเบลล่าหรือชื่อเต็มว่าอิซาเบลล่า น้องสาวเพียงคนเดียวให้ทำตามคำสั่งของตน แต่ทว่าคำสั่งของพี่ชายนั้นเป็นสิ่งที่น้องสาวไม่อยากทำตามเลยแม้แต่น้อย
“แต่…” ยังไม่ทันที่เบลล่าจะพูดอะไรต่อ เสียงสายฟ้าฟาดก็ผ่าลงมาอีกครั้ง
“ไม่มีแต่ เบลล่าจะต้องทำตามที่พี่สั่งอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ทำพี่จะยกเลิกบัตรเครดิต งดจ่ายเงินเดือนและจะอายัดเงินในบัญชีของเบลล่าทุกบัญชี พี่ก็อยากรู้นักว่าถ้าเบลล่าไม่มีเงิน ไอ้บ็อบมันจะสูบเงินจากเบลล่าได้หรือเปล่า”
อลาริคกล่าวอย่างรู้เท่าทันคนรักของน้องสาว คนที่มีฐานะต่ำกว่าแต่มาคบกับหญิงสาวผู้ร่ำรวยจะประสงค์สิ่งใดมากกว่าปอกลอกเงินทอง ความรักที่พร่ำขับขานไม่ได้มาจากหัวใจที่แท้จริง เป็นเพียงลมปากชวนให้เคลิบเคลิ้มเท่านั้น คนเป็นพี่ชายก็ต้องสกัดดาวรุ่งก่อนที่น้องสาวของตนจะถูกเฉดหัวทิ้ง เมื่อโรเบิร์ตปอกลอกเงินจนสมใจเขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำแบบนั้นกับน้องสาวเขาเด็ดขาด
คนที่เป็นน้องทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งร้องไห้ นึกตัดพ้อพี่ชายอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่ทำอยู่ สายตาน้อยใจถูกส่งให้อลาริคที่นั่งหน้าตึง ดวงตาเย็นชามีความแข็งกร้าวเคลือบแฝง ยิ่งทำให้เขาน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
“พี่อัลใจร้าย ใจร้ายที่สุด ฮือ”
เมื่อทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ เธอก็ทนนั่งอยู่ในห้องนี้ต่อไปไม่ได้ หลังจากกล่าวคำคับแค้นแน่นอกจบ เบลล่าหญิงสาววัยยี่สิบห้าปีก็รีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานของพี่ชายทันที
“พี่จะใจร้ายกว่านี้ถ้าเบลล่าไม่ทำตามที่พี่สั่ง”
เสียงของอลาริคไล่หลังร่างระหงที่วิ่งไปยังประตู อัศวินลูกน้องข้างกายเจ้าของห้องอดที่จะสงสารสาวน้อยนางนั้นไม่ได้ มีคนรักทั้งทีก็ถูกขัดขวางจากพี่ชายจอมเผด็จการ ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากส่งกำลังใจไปให้
“บอสครับ บริษัทของคุณนาธานโทรมาเลื่อนส่งสินค้าเป็นอีกอาทิตย์หนึ่งครับ” เมื่อเรื่องส่วนตัวของเจ้านายผ่านพ้นไปแล้ว ก็มาถึงเรื่องงานที่อัศวินจะต้องรายงานให้อลาริคทราบ
“บอกไปเลยว่าถ้าเลื่อนก็ไม่ต้องมาส่ง ฉันไม่ชอบคนไม่ตรงต่อเวลา ไม่รักษาคำพูด บอกเองว่าจะส่งของให้ฉันอาทิตย์หน้าก็ต้องอาทิตย์หน้า ไม่มีเลื่อน” เสียงของจอมเผด็จการตอบกลับ
“คุณนาธานบอกว่าเครื่องจักรเสียสองตัวครับ เลยส่งให้ไม่ทัน ผมว่า…”
“ปัง…” เสียงของอัศวินสงบทันทีที่ฝ่ามือใหญ่ของอลาริคกระแทกลงบนโต๊ะ “โทรไปบอกนาธานว่าเลือกเอาระหว่างส่งของให้ฉันตรงเวลา แล้วฉันก็จ่ายเงินตามกำหนด หรือจะส่งของล่าช้า แล้วฉันเลื่อนจ่ายเงินไปปลายปีหน้า แล้วถ้ามีเรื่องแบบนี้เป็นครั้งที่สองก็ไม่ต้องทำธุรกิจร่วมกัน”
อลาริคเสนอทางเลือกที่ให้นาธานเจ้าของบริษัทคู่ค้า เพราะเขาคิดว่า เขาจ่ายเงินตรงตามกำหนดก็สมควรได้รับสินค้าตรงเวลา หากบริษัทไหนส่งของล่าช้า หรือจ่ายเงินเขาไม่ตรงตามกำหนด บ่อยครั้งที่เขาจะยกเลิกการทำธุรกิจด้วย อลาริคคิดว่าการทำธุรกิจหัวใจสำคัญอยู่ตรงความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลาและรักษาคำพูด ซึ่งเขาเองมีทั้งสามสิ่งนี้ให้กับบริษัททุกบริษัทที่ติดต่อธุรกิจร่วมกัน
“ครับบอส” ผ่านเรื่องแรกไปก็เป็นเรื่องที่สอง “บอสครับ อาทิตย์หน้าพนักงานจากบริษัทสาขาในไทยจะมาที่นี่ เพื่อศึกษาดูงานตามโครงการแลกเปลี่ยนการทำงานของบอสนะครับ”
อลาริคมีโครงการแลกเปลี่ยนการทำงานระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทในเครือที่ขยายตัวอยู่ทุกมุมโลก โครงการนี้เขาถือว่าเป็นการพัฒนาบุคลากรทางหนึ่ง เปิดโลกทัศน์ในการทำงานให้กว้างขึ้น ศึกษาดูงานจากบริษัทใหญ่ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว รู้หลักการทำงานและบริหารเพื่อไปปรับปรุงแก้ไขในบริษัทที่ตนทำงานอยู่ โครงการนี้เขาทำมากว่าสามปีแล้ว
“อืม จัดหาที่พักให้ที่เดิมก็แล้วกัน ครั้งนี้จะมากี่คน แผนกอะไรบ้าง”
“ชุดแรกมาทั้งหมดยี่สิบเก้าคนจากสองประเทศครับ จากประเทศไทยกับญี่ปุ่น แบ่งเป็นแผนกบัญชีสามคน การตลาดสิบคน งานออกแบบสี่คน จัดซื้อห้าคน ฝ่ายผลิตอีกหกคนครับ แล้วก็เลขาอีกหนึ่งคนครับ” อัศวินรายงานผู้เป็นเจ้านาย
“อืม” อลาริคทำเสียงรับรู้ในลำคอ “จัดการเหมือนเดิมก็แล้วกัน”
“ครับบอส” อัศวินรับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานของนายใหญ่เพื่อไปทำงานตามหน้าที่ของตนต่อไป
อลาริคนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานที่กองอยู่ท่วมหัว โดยไม่คิดจะถามไถ่อัศวินต่อว่า พนักงานในบริษัทในเครือที่จะมาทำงานในตำแหน่งเลขาหนึ่งคนนั้นมาเป็นเลขาของใคร
สี่วันต่อมา ณ ประเทศไทย
พนักงานจากบริษัท โซเชียลอินเตอร์ กรุ๊ป สิบเอ็ดชีวิตมายังจุดรวมพลตามเวลานัดหมาย ก่อนที่ทั้งหมดจะเข้าเช็กอินตรงช่องสายการบินที่พวกเขาจะโดยสารไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา พอทุกคนเช็กอินเสร็จก็เดินเข้าไปยังช่องตรวจหนังสือเดินทางจากนั้นจึงไปพากันไปยังห้องผู้โดยสารขาออกของสายการบินเพื่อรอเวลาเดินทาง
“นี่โรสเธอน่ะโชคดีนะที่ได้ไปเป็นเลขาท่านประธานใหญ่ ไม่เหมือนฉันกับแก้มที่ต้องไปนั่งงงๆ งวยๆ อยู่ในแผนกการตลาด เซ็งชะมัดเลย”
พิมพ์สุภาเพื่อนร่วมงานและเป็นเพื่อนสนิทของรสสินาพูดขึ้นขณะนั่งรอขึ้นเครื่อง ผู้พูดทำสีหน้าเซ็งเมื่อนึกภาพในขณะที่ตนเองทำงานในฝ่ายการตลาดร่วมกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก และเธอก็ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถทำงานร่วมกับพนักงานในบริษัทแม่ได้หรือไม่
“นั่นสิ ฉันอยากเปลี่ยนแผนกกับเธอจังเลย” ดวงฤดีพูดเสริมอีกคน สีหน้าไม่ต่างจากพิมพ์สุภาเลย
“โชคร้ายน่ะสิไม่ว่า เธอสองคนลืมไปแล้วหรือไงว่า ท่านประธานมีกิตติศัพท์ยังไง ทั้งเฮี้ยบ ดุ เผด็จการอีกต่างหาก คุณสมปองยังเตือนฉันเลยว่า ให้ทำงานให้ดี อย่าให้มีผิดพลาดไม่งั้นได้ถูกไล่ออกกลางอากาศแน่ๆ”
รสสินาไม่คิดว่าการที่ตนเองได้ไปทำงานกับเจ้าของบริษัทในครั้งนี้ ไม่ได้มีความโชคดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามน่าจะโชคร้ายมากกว่า เนื่องจากกิตติศัพท์ที่กล่าวขวัญถึงเจ้าของบริษัทตัวจริงเสียงจริงมีมาอย่างหนาหู ไม่ว่าจะเป็นคำบอกเล่าจากพนักงานชุดก่อนๆ ที่มาถ่ายทอดให้ฟังหลังจากที่กลับมาจากโครงการแลกเปลี่ยนการทำงาน ทำให้เธอมีความหวั่นใจมากขึ้นโดยเฉพาะจากปากของสมปอง ผู้จัดการใหญ่เจ้านายตรงของเธอ ที่กล่าวเตือนตั้งแต่รู้ว่ารสสินาจะได้ไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลาสองเดือน จากคำร่ำลือนี้เองที่ทำให้เธอคิดไปคนละทางกับเพื่อนทั้งสอง
“แต่ฉันว่านะ เธอน่ะรับมือได้อยู่แล้ว ระดับโรสซะอย่าง” ดวงฤดีแน่ใจเพราะรู้นิสัยเพื่อน
“ใช่ ฉันก็คิดเหมือนแก้มนะ เธอรับมือได้อยู่แล้ว” พิมพ์สุภาเอ่ยสำทับ
“แต่กับอีตานี่ฉันไม่ค่อยแน่ใจซักเท่าไหร่ กิตติศัพท์เยอะเกิน”
ผู้พูดยังรู้สึกหวั่นๆ กับการไปทำงานต่างแดนในครั้งนี้ ลำพังเรื่องงานหนักหนาสาหัสแค่ไหนรสสินาสู้ไหว รับได้ไม่มีถอย แต่กับคนที่เขาเล่าขานกันหนาหูนี่สิ เป็นเรื่องที่เธอลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะรับมือได้มากน้อยแค่ไหน งานนี้ไม่รู้ว่าจะชิงลาออกก่อน หรือว่าจะถูกไล่ออก คิดแล้วก็ไม่อยากไป แต่ทว่าจะม้วนเสื่อกลับตอนนี้ก็ไม่ทัน มีทางเดียวคือเผชิญหน้ากับสิ่งที่ท้าทายอย่างมีสติ
“มันอาจจะไม่เป็นเหมือนกับที่เขาร่ำลือก็ได้นะ คิดดูสิคนอะไรจะเผด็จการได้มากขนาดนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พนักงานที่นั่นก็ต้องเข้าๆ ออกๆ กันเป็นว่าเล่น แต่นี่ฉันได้ข่าวว่าแทบจะไม่มีพนักงานลาออกเลยนะ แสดงว่าคุณอลาริคไม่ได้เป็นอย่างที่เขาลือกันแน่นอน”
ดวงฤดีคิดไปในทางที่ดี เธอคิดว่าหากเจ้านายเอาแต่เผด็จการอย่างเดียว ไม่ฟังใครมีหรือที่ลูกน้องจะอยู่ทน คงได้ลาออกกันวันละหลายๆ คน ทว่าจากที่สืบดูมา ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นกับบริษัทแม่เลย ตรงกันข้ามพนักงานทุกคนยังทำงานเกาะเก้าอี้ เกาะงานที่ตนทำอย่างเหนียวแน่น ประหนึ่งว่ากลัวใครจะมาแย่ง
“ที่แก้มพูดมาก็น่าคิดนะ ถ้าฉันมีเจ้านายอย่างที่เขาพูดกันจริง ฉันนี่แหละจะออกคนแรก อยู่ไม่ไหวหรอก” พิมพ์สุภาเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของดวงฤดี
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เดี๋ยวไปถึงโน่นก็รู้เองแหละว่าเจ้านายของพวกเราจะเป็นอย่างที่ร่ำลือหรือเปล่า?” รสสินาหยุดพูดพลางพนมมือ “เจ้าประคู้น ขออย่าให้เป็นอย่างที่ได้ยินมาเลย ไม่งั้นฉันวีนแตกแน่ๆ”
ดวงฤดีกับพิมพ์สุภายิ้มกับคำภาวนาของรสสินา พวกเธอไม่รู้หรอกว่า คำพูดที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเพียงคำลือ ข้อพิสูจน์กิตติศัพท์ของอลาริค แอนเดอร์สัน เจ้าของบริษัทโซเชียลอินเตอร์ กรุ๊ป จะเป็นอย่างไร รอให้ทั้งสามคนได้พิสูจน์ในไม่กี่วันข้างหน้า