ตอนที่ 9 ย้อนคืนสู่มาตุภูมิ
ขณะสถานการณ์คับขันหวาดเสียว เสี้ยวเวลานั้นจ่านจือมิอาจปิดบังซ่อนงำเก็บประกายฝีมือของเขาได้อีกต่อไป ขืนชักช้าอาจมิทันการพานสูญเสียพี่สาวทั้งสองไป พอเห็นยอดฝีมือทั้งสองถาโถมโหมกระหนาบเข้าหา ในตอนนั้นพี่สาวทั้งสองมิอาจจะต้านรับยอดฝีมือทั้งสองได้อย่างแน่นอน เขาเห็นสภาวะท่าร่างสองยอดฝีมือถืออาวุธแยกย้ายเข้าใส่อย่างดุร้ายหมายขวัญ
ถึงแม้จ่านจือประจักแจ้งแก่ใจว่าพี่สาวทั้งสองมีวิชามิต่ำทราม นางทั้งสองมีฐานะเป็นถึงศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนับว่ายอดเยี่ยม แต่ทว่าสถานการณ์คับขันบังบังคับให้นางทั้งสองต้องจนมุม เช่นไรเสียนางทั้งสองเป็นเพียงอิสตรีต่อให้มีจิตใจเข้มแข็งห้าวหาญสักปานใด หากเจอคู่มืออันน่ากลัวเช่นยอดฝีมือจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าแล้วละก็ ยากที่จะต้านทานรับมือได้อยู่ดี เสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อทั้งสองล้วนมีพลังฝึกปรือลึกล้ำสูงส่ง พี่สาวทั้งสองหาใช่คู่มือของมันทั้งสองไม่
เมื่อเห็นค้อนเหล็กหนักสองร้อยชั่งนามพันชั่งอสูรคลั่งในมือเล่อต้าเต๋อ กับดาบสันหน้ามีชื่อเรียกว่าเก้าห่วงทะลวงวิญญาณในมือเสิ่นซื่อสูอวี้ เคลื่อนย้ายเข้าใส่ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินดั่งสายฟ้า สภาวะเกรี้ยวกราดสุดบรรยายหมายเอาชีวิตทั้งสองของนางไปภายในกระบวนท่าเดียว
จ่านจือเห็นเช่นนั้นมิรอช้ารีบพุ่งเข้าขวางสองยอดฝีมือจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเอาไว้ จากนั้นไม่มีเวลาให้ขบคิดให้มากความถึงแม้นางทั้งสองจะทราบว่าเขามีวิชาฝีมือติดตัวหาใส่ใจ เขายืนประจันหน้าเข้าใส่ยอดฝีมือทั้งสองที่ถาโถมเข้ามา พร้อมกับร่ายรำกระบวนท่าวิชาดาวดึงส์ท่าที่หนึ่งนามดาวเย้ยเดือนออกไป ก่อให้เกิดเป็นพลังวังวนม้วนทะลักปานสายฟ้าพายุบ้าคลั่ง พลังวังวนสายนั้นพุ่งเข้าหาอาวุธทั้งสองของเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ สองยอดฝีมือแม้ถืออาวุธมั่นพลันชะงักงันไปชั่วขณะ ด้วยไม่เคยพบเจอวิชาฝ่ามือที่เด็กน้อยแปลกหน้าใช้ออก แต่ถึงกระนั้นทั้งสองยังนับว่าเป็นยอดฝีมือผาดโผนยุทธจักร ขณะที่ตกตะลึงจวนเจียนจะถูกพลังวังวนทำร้าย ทั้งสองรีบใช้พลังลมปราณคุ้มครองกายถอยหลังกลับทันท่วงที ดังนั้นจึงมิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า กำลังตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้พัวพันอยู่กับต๊กม้อเต็กลามะพระธิเบตอย่างดุเดือดโดยที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำพลาดท่า พอดีเวลานั้นมู่เหอกับไปชิงสองเฮียม่วยผ่านมาเห็นเข้าพอดี เมื่อเห็นเป็นจ่านจือทั้งสองจดจำได้แม่นยำ โดยมิต้องประเมินสถานการณ์ไป่ชิงนางซัดขว้างระเบิดควันสองลูกเข้าใส่วงต่อสู้ พร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกชื่อจ่านจือให้หลบหนี
จ่านจือพอได้ยินคนเรียกชื่อแม้ผ่านมาห้าปีกว่า แต่ทว่าจดจำน้ำเสียงได้แม่นยำว่าเป็นไป่ชิง เมื่อเห็นวัตถุหนึ่งตกลงใกล้ ๆไม่ห่างจากเขากับสองยอดฝีมือ ด้วยประกายสายตาอันปราดเปรียวเหลียวดูวูบเดียวทราบว่าเป็นระเบิดควัน พอวัตถุนั้นตกพื้นเกิดเป็นเสียงชนิดหนึ่งแล้วปรากฏกลุ่มควันสีม่วงอมเทาหนาแน่น เขาจึงมิรอช้ารีบคว้าแขนพี่สาวทั้งสองเกร็งกำลังลอยตัวหลบหนี พร้อมกับตะโกนบอกเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวให้ติดตามมา
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าผาดโผนอยู่ในยุทธจักรอย่างโชกโชน ถึงแม้ต่อสู้ติดพันท่านยังชำเลืองดูศิษย์ทั้งสองกระโดดหลบหนี จึงกระแทกหลังมือเข้าหาบริเวณหน้าอกของต๊กม้อเต็กไต้ลามะด้วยท่วงท่าสภาวะเกรี้ยวกราดน่ากลัว หลวงจีนจากทิเบตได้ยินเสียงระเบิดควันพลันฉุกใจคิดว่ามีคนมาช่วยเหลือ ขณะจะหันหน้ากลับไปมองว่าเป็นผู้ใดบริเวณหน้าอกรับรู้ถึงพลังเร่งร้อนประชิดเข้ามา ไม่มีเวลาสนใจว่าเป็นผู้ใดลามะรูปนั้นรีบถีบเท้าก้าวถอยหลังหลบหลีกพลังฝ่ามือ เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวใช้จังหวะนี้อาศัยกลุ่มควันอันหนาแน่น กระโดดหลบหนีตามติดศิษย์ทั้งสองมาในทันที
ไม่นานนักคนทั้งหมดทิ้งระยะทางห่างจากบริเวณที่เกิดการต่อสู้เมื่อครู่มาไกลโข ผู้ที่วิ่งนำหน้าเป็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเมื่อเห็นว่าปลอดภัยไม่มีผู้ใดติดตามมาจึงชะลอฝีเท้า เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าตามมาทัน พอเห็นว่าเป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ยื่นมือช่วยเหลือ รีบกล่าวคำขอบคุณมู่เหอกับไป่ชิง ส่วนจ่านจือนั้นท่านไม่ทราบว่าเขาช่วยเหลือศิษย์ทั้งสองของท่านไว้ ในช่วงจังหวะที่เขาใช้วิชาดาวดึงส์เข้าขัดขวางสองยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ท่านกำลังพัวพันต่อสู้อยู่กับต๊กม้อเต็กลามะหาได้สังเกตเห็นไม่
เมื่อศิษย์ทั้งสองของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ขยับริมฝีปากกล่าววาจาบอกต่อท่านว่า นางทั้งสองรอดชีวิตหวุดหวิดหวาดเสียวเนื่องด้วยจือน้อยช่วยเหลือเอาไว้ จ่านจือรีบบุ้ยปากส่งสายตาบอกใบ้ต่อนางทั้งสองว่าอย่ารีบร้อนบอกกล่าวต่อเจ้าหุบเขา มาตรแม้นนางทั้งสองจะยังคงไม่อยากเชื่อสายตาว่าเด็กน้อยซอมซ่อที่ตนรับเป็นน้องชายนั้น จะมีฝีมือติดตัวมิชั่วช้าเลวทราม ถึงแม้จะยังติดใจสงสัยในตัวเขาแต่พอเห็นเด็กหนุ่มบอกใบ้เช่นนั้น นางทั้งสองจึงกลืนคำพูดลงไปไม่บอกกล่าวต่อผู้เป็นอาจารย์ให้รับทราบ
ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอื้เซินนางทั้งสองนึกไม่ถึง ว่าจ่านจือจะมีพลังฝีมือติดตัวตลอดเวลาหนึ่งคืนกลับดูไม่ออก แถมเขายังกล้าหาญมิเกรงกลัวสองยอดฝีมือช่วยเหลือนางทั้งสอง คิดไปคิดมาเริ่มสงสัยว่าคราครั้งก่อนผู้ที่ซัดอาวุธลับทำร้ายห้าคนชุดดำ คงมิใช่อาวุโสหรือยอดคนที่ไหนเสียแล้ว ไม่ผิดแน่ต้องเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างแน่นอน แต่ไฉนเด็กน้อยจึงต้องปกปิดซ่อนงำเก็บประกายไม่เปิดเผย หรือว่าเขาจะมีเหตุผลจำเป็นสุดวิสัยไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อคิดถึงความจำเป็นข้อนี้นางทั้งสองจึงยังมิอยากซักถามจ่านจือในเวลานี้ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีความจำเป็นอันใดก็ตามที่ต้องปกปิดมิบอกความจริงกับตนทั้งสอง ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองตกลงใจว่าค่อยสอบถามความจริงในภายหลัง ดังนั้นจึงกล่าวแนะนำตัวเองกับอี้เซินต่อมู่เหอและไปชิง พร้อมกับแนะนำเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าผู้เป็นอาจารย์ให้แก่สองเฮียม่วยได้รู้จัก
"ข้าพเจ้ามีนามว่าซื่อเหมี่ยนเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ส่วนนางเป็นศิษย์น้องชื่อเอวี้ยอี้เซิน อาวุโสท่านนี้เป็นอาจารย์ของเราทั้งสอง ท่านเป็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนามมู่ชิวป้า พวกเราทั้งสามได้รับการช่วยเหลือจากท่านทั้งสองต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง หากมิได้ท่านทั้งสองยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิทราบว่าป่านนี้เราศิษย์อาจารย์จะเดินทางไปปรโลกขุมไหน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองมีนามเรียกหาว่ากระไร?"
"มิเป็นไรมิได้อย่าได้เกรงใจ ข้าพเจ้ามีนามว่าเฟิ่นมู่เหอเป็นพี่ชาย ส่วนนี่เป็นน้องสาวของข้าพเจ้าชื่อเฟิ่นไป่ชิง เราทั้งสองเป็นสหายกับจ่านจือช่วยเหลือพวกท่านเท่ากับช่วยเหลือเขาด้วยในเวลาเดียวกัน ว่าไปแล้วเราพี่น้องมิได้ลำบากสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอะไรนัก ท่านทั้งหลายอย่าได้กล่าววาจาเกรงอกเกรงใจ"
ไป่ชิงเองรีบประสานมือคารวะเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้ากับศิษย์ทั้งสองของท่าน ส่วนเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าเหลือบเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาคมคายแต่งตัวคล้ายขอทานผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆกับไป่ชิง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
"ทุกท่านได้แนะนำตัวให้ข้าได้รู้จักหมดสิ้น แล้วเจ้าละพ่อหนุ่มมีชื่อเรียกหาว่ากระไร? ดูท่าทางเหมือนมิใช่ชาวยุทธจักรลักษณะการแต่งกายคล้ายชาวบ้านทั่วไป แต่น่าตาหล่อเหลาเอาการรูปร่างสง่างามสมชายชาตรี หากเปลี่ยนชุดแต่งกายเสียใหม่คิดว่าเป็นคุณชายมีหน้ามีตาผู้หนึ่งเลยทีเดียว"
จ่านจือได้ยินเจ้าหุบเขาเอ่ยถามชื่อแซ่ อีกทั้งท่านยังวิจารณ์ลักษณะของตนออกมาโดยมิอ้อมค้อม ทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสต่อความจริงใจของอาวุโสท่านนี้ขึ้นภายในใจ แต่อาจารย์ได้สั่งกำชับเอาไว้ ก่อนได้รับอนุญาตห้ามบ่งบอกฐานะออกไปว่าเขาเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ดังนั้นเขาจึงอ้ำอึ้งเล็กน้อยแต่ได้แนะนำตัวเองตามจริงไปว่า
"ข้าพเจ้าแซ่จ้าวนามจ่านจือ เป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร จากมาตุภูมิไปอาศัยอยู่กับอาวุโสท่านหนึ่งยังกังหนำห้าปีกว่า ครั้งนี้เดินทางกลับบ้านเกิดวาสนาได้พบเจอกับพี่สาวทั้งสองระหว่างทาง นางไม่รังเกียจว่าข้าพเจ้าแต่งกายคล้ายขอทานสกปรก แถมยังเมตตารับจ่านจือเป็นน้องชาย ต้องขอบคุณท่านอาวุโสที่กล่าวชมข้าพเจ้า"
"ที่แท้เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าได้เสียใจหรือน้อยใจต่อชะตาชีวิตของตัวเอง ในเมื่อศิษย์ทั้งสองของข้าเอ็นดูเจ้าเป็นเสมือนน้องชาย ข้าเองในฐานะอาจารย์ของนางทั้งสองยินดีสนับสนุนส่งเสริม แต่เอ๊ะ!! หากเจ้ามิใช่ชาวยุทธจักรไฉนตอนวิ่งหนีคนร้าย ข้าวิ่งติดตามอยู่ด้านหลังเห็นฝีเท้าเจ้าไม่เป็นรองคนอื่น ๆดูจากวิชาตัวเบาของเจ้าแล้วยังถือว่ายอดเยี่ยมสูงส่งกว่าศิษย์ทั้งสองของข้าอีก หรือว่าเจ้ามีเรื่องราวใดต้องปิดบังอำพราง?"
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเป็นคนช่างสังเกต จึงมิตกหล่นเรื่องที่จ่านจือใช้วิชาท่าร่างวิ่งติดตามมาได้ไม่ห่าง แต่ดูจากภายนอกแล้วแทบดูไม่ออกเลยว่าเด็กน้อยผู้นี้จะมีฝีมือติดตัว สองศิษย์ของเจ้าหุบเขาได้ยินผู้เป็นอาจารย์กล่าวถามจ่านจือเช่นนั้น เกรงว่าจะสร้างความลำบากใจให้แก่จ่านจือ ซื่อเหมี่ยนจึงรีบกล่าววาจาแทนเขาบอกเล่าต่อผู้เป็นอาจารย์ว่า
"เรียนต่ออาจารย์ ความจริงแล้วนอกจากศิษย์ทั้งสองจะรับเซี่ยวจือเป็นน้องชายแล้ว เขายังเป็นผู้มีพระคุณช่วยเหลือชีวิตศิษย์ทั้งสองไว้ถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกตอนที่ศิษย์กับศิษย์น้องเดินทางล่วงหน้าอาจารย์มา ระหว่างทางพบเจอคนร้ายแต่งกายด้วยชุดดำคลุมหน้าจู่โจมเข้าทำร้ายหมายเอาชีวิต ศิษย์ทั้งสองต่อสู้กับคนร้ายเหล่านั้นจนพละกำลังอ่อนโทรมเห็นท่าว่าจะไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ในเวลานั้นได้มีคนซัดอาวุธลับเข้าขัดขวางคนร้ายหลบหนีไป ศิษย์ทั้งสองจึงมีลมหายใจกลับมาพบหน้าอาจารย์"
พอซื่อเหมี่ยนผู้เป็นศิษย์พี่กล่าวจบ ศิษย์น้องนามเอวี้ยอี้เซินรีบส่งเสียงกล่าวต่อจากนางว่า
"ที่ศิษย์พี่กล่าวมาล้วนเป็นความจริง ครั้งที่สองขณะที่ศิษย์ทั้งสองพบเห็นอาจารย์ต่อสู้อยู่กับสามยอดฝีมือจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ศิษย์ทั้งสองเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยเหลืออาจารย์อีกแรงหนึ่ง ในครานั้นเราทั้งสองไม่อาจรับมือกับยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเอาไว้ได้ ขณะที่สองยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ใช้อาวุธจู่โจมโหมกระหนาบคิดว่าคร่าชีวิตน้อย ๆของเราทั้งสองไปเป็นแน่ ในห้วงที่สถานการณ์คับขันเซี่ยวจือได้เข้าสกัดขัดขวางเอาไว้ ก่อนที่จะได้ผู้มีพระคุณทั้งสองท่านนี้จะซัดระเบิดควันช่วยเหลือให้เราทั้งหมดหลบหนี"
"เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์ทั้งสองรับเซี่ยวจือเป็นน้องชายโดยมิได้รับอนุญาตจากท่าน เขามีชะตาชีวิตไม่ต่างจากศิษย์ทั้งสองเท่าใดนัก เป็นเด็กกำพร้าน่าสงสารไร้ซึ่งญาติมิตร แต่ด้านน้ำใจกับคุณธรรมกลับเปี่ยมล้น ก่อนที่ศิษย์ทั้งสองจะมาพบอาจารย์ เราทั้งสามตั้งใจจะเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณซึ่งเป็นบ้านเดิมของเซี่ยวจือ โดยได้ทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ให้อาจารย์ระหว่างทาง จุดประสงค์เพื่อให้เซี่ยวจือได้ไปกราบหลุมฝังศพของมารดาบุญธรรมสักครั้ง หลังจากเขาทิ้งที่นั่นไปราวห้าปีกว่า"
ซื่อเหมี่ยนกราบเรียนต่ออาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องที่นางทั้งสองรับจ่านจือเป็นน้องชายโดยมิได้ขออนุญาต อีกทั้งเรื่องที่นางทั้งสองกับจ่านจือกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเย้ยอรุณอีกด้วย เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเพ่งพิศมองดูจ่านจือ เห็นว่าถึงแม้เด็กน้อยผู้นี้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆมีรอยปะชุนอยู่หลายแห่ง แต่ด้วยลักษณะท่าทางเป็นคนดี สภาพร่างกายโดยรวมดูแข็งแกร่งเหมาะสำหรับฝึกวิทยายุทธ์เป็นยิ่งนัก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายคล้ายซื่อ ๆแต่เมื่อมองเขาไปในดวงตาที่ส่องประกายเจิดจ้านั้น เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกลับเห็นว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่รวบรัดธรรมดา แววตาส่องประกายแฝงความฉลาดเฉลียวแต่ไม่แสดงออกเท่านั้นเอง จึงตรงเข้าไปใช้สองมือของท่านโอบไหล่ทั้งสองของจ่านจือ พร้อมกับกล่าววาจากับเขาว่า
"ข้าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ต้องขอบคุณเจ้าที่ได้ช่วยเหลือศิษย์ทั้งสองของข้าไว้ เจ้าช่วยศิษย์ของข้าก็เหมือนได้ช่วยเหลือข้าเฉกเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงวันนี้ข้ามู่ชิวป้าได้พบพานกับเด็กหนุ่มสาวรุ่นหลัง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเช่นเจ้ากับสหายทั้งสอง คลื่นลูกหลังย่อมทดแทนคลื่นลูกแรกเสมอ ดูพวกเจ้าทั้งสามไม่สะดวกที่จะบอกกล่าวว่าเป็นศิษย์ของสำนักใด? และยอดคนท่านใดเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้แก่พวกเจ้าใช่หรือไม่?"
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกล่าวถามขึ้น หลังจากกล่าวขอบคุณจ่านจือแล้ว ท่านเองต้องการทราบว่าหนุ่มสาวทั้งสามเป็นศิษย์ของสำนักใด ดังนั้นทั้งสามจึงตกลงใจให้มู่เหอเป็นผู้ตอบคำถามเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า
"เรียนต่อท่านเจ้าหุบเขาตามตรง เราทั้งสามได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ก่อนที่ท่านจะอนุญาตห้ามบอกกล่าวต่อผู้ใดว่าใครเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ และมิให้แพร่งพรายชื่อสำนักออกไปโดยเด็ดขาด ดังนั้นข้าพเจ้ากับศิษย์น้องรวมทั้งจ่านจือ ต้องขออภัยต่อท่านด้วยสาเหตุจำเป็นไม่อาจเปิดเผย หากโอกาสหน้าได้พบเจอคิดว่าท่านคงจะได้ทราบว่าเราทั้งสามเป็นศิษย์ของสำนักใด?"
"หากเป็นเช่นนั้นข้ามู่ชิวป้าก็จะไม่สร้างความลำบากใจให้แก่พวกเจ้า ถึงแม้ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นอาจารย์สั่งสอน แต่เห็นว่าอาจารย์ของพวกเจ้าอบรมสั่งสอนได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว จึงได้มีศิษย์ที่มีคุณธรรมน้ำใจเปี่ยมล้นเช่นนี้"
"เมื่อท่านอาจารย์เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้ากับศิษย์พี่ต้องการทราบรายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เท่าที่ศิษย์ทั้งสองทราบหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกับหมู่ตึกกระเรียนฟ้าต่างไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน อีกทั้งยังให้ความร่วมมือด้วยดีกันมาตลอด ขออาจารย์บอกเล่าเรื่องราวให้พวกเราได้รับทราบด้วย" อี้เซินกล่าวถามต่อผู้เป็นอาจารย์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จากนั้นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวจึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทั้งหมดได้รับฟัง ท่านเล่าว่า หลังจากออกจากหุบเขาท่านไปพบกับสหายท่านหนึ่ง เมื่อคุยธุระเสร็จจึงเดินทางออกจากบ้านของสหายระหว่างเดินทาง บังเอิญพบเห็นบุคคลน่าสงสัยแต่งชุดดำคลุมหน้า คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมีพิรุธน่าสงสัย จึงได้ติดตามไปเห็นคนชุดดำผู้นั้นหายไปละแวกหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ท่านจึงได้อ้อมไปทางด้านหลังเพื่อเข้าในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า สาเหตุที่เข้าไปทางด้านหลังเพื่อมิต้องการให้คนชุดดำพบเห็น หากเกิดเรื่องราวใดจะได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือหมู่ตึกกระเรียนฟ้าได้สะดวก ในค่ำคืนนั้นท่านไม่พบกับหลิวซุ่นกงกงเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าจนเกิดการเข้าใจผิดกันนิดหน่อย
ตอนแรกแม้ว่ายอดฝีมือภายในตัวตึกจะเข้าใจผิด แต่ว่าต่อมาความจริงล้วนกระจ่าง เมื่อคืนท่านเลยพักอาศัยที่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวกงกง พอตกตอนเช้าปรากฏว่ามีคนถูกฆ่าตายอยู่ภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเป็นหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวน สุดท้ายไม่ทราบว่าเศษชิ้นของเสื้อคลุมของท่านไปอยู่ในอุ้งมือของผู้ตายได้เช่นไร? ดังนั้นคนทั้งหมดในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า จึงลงความเห็นว่าท่านเป็นคนร้ายฆ่าคนตาย จึงได้เกิดการต่อสู้กันขึ้นจนกระทั่งมาเจอกับศิษย์ทั้งสองพร้อมกับจ่านจือ และได้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นยื่นมือเข้าช่วยเหลือนั่นเอง
เมื่อเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดจบลง ศิษย์ทั้งสองกับเฮียม่วยแซ่เฟิ่นรวมทั้งจ่านจือ ทั้งหมดเชื่อว่าท่านมิใช่คนร้ายฆ่าคนตายอย่างแน่นอน จะต้องมีคนใดคนหนึ่งในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าจงใจป้ายความผิดให้กับท่านเพื่อผลประโยชน์บางประการอย่างแน่นอน
เมื่อสนทนากันได้สักพักหนึ่ง จ่านจือจึงขอตัวแยกไปอีกฟากหนึ่งของสถานที่พร้อมกับมู่เหอและไปชิง ปล่อยให้ศิษย์กับอาจารย์ทั้งสามได้สนทนากันตามลำพัง
จ่านจือเอ่ยถามมู่เหอกับไป่ชิง เกี่ยวกับระยะเวลาที่ผ่านมาว่าสบายดีหรือไม่? พร้อมกับเล่าเรื่องราวของเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาผีเสื้อให้ทั้งสองได้รับฟัง สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเมื่อได้ฟังเขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสองต่างยินดียิ่งนักพอทราบว่าท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง นอกจากรับตัวเขาไว้ดูแลแล้วยังรับเขาไว้เป็นศิษย์อีกด้วย
สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นตอบคำถามของจ่านจือไปว่า ทั้งสองสบายดีหลังจากออกจากหุบเขาผีเสื้อรีบเดินทางกลับผา ตั้งแต่วันนั้นมาถูกอาจารย์ของทั้งสองเข้มงวดให้ฝึกวิชาอย่างหนัก จนกระทั่งเมื่อห้าวันก่อนทั้งสองจึงได้ลงจากผาพร้อมกับอาจารย์และเหมาต้าผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่
เมื่อลงจากผาแล้วจึงได้แยกทางกับอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ แยกย้ายกันเดินทางและนัดพบกันที่วัดเส้าหลิน จนกระทั่งเดินทางผ่านละแวกศาลเจ้าและได้พบกับจ่านจือกำลังต่อสู้อยู่กับยอดฝีมือสองคน ไป่ชิงจึงได้ตะโกนเรียกพร้อมกับปาระเบิดควันให้ทุกคนหลบหนีนั่นเอง
เมื่อทั้งสามสนทนากันได้สักพักใหญ่ ไปชิงจึงเอ่ยถามจ่านจือเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังจะเดินทางกลับไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ จ่านจือจึงบอกกล่าวไปตามจริงว่าจะแวะไปกราบหลุมฝังศพมารดา หลังจากนั้นค่อยนัดพบกับเจ้าโอสถสายรุ้งที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุน ดังนั้นสองเฮียม่วยจึงตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับจ่านจือระยะหนึ่ง พอถึงทางแยกค่อยแยกย้ายเพื่อไปทำธุระแล้วค่อยนัดเจอกันที่เส้าหลินในวันงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่กำลังจะมาถึง
ไป่ชิงนางเองจับจ้องมองจ่านจือ เห็นว่าเขาในตอนนี้ดูไม่คล้ายกับจ่านจือเมื่อครั้งพบเจอที่หมู่บ้านเย้ยอรุณแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาดูองอาจสง่างามฉายแววของจอมยุทธ์ผู้กล้าอยู่หลายส่วน ใบหน้ากลับดูคมคายหล่อเหลาแทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิมให้จดจำ หากให้เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่เก่าขาดหม่นหมองเหมือนในตอนนี้ คงเห็นเขาเป็นกงจื้อ(คุณชาย)อันสง่างามที่หล่อเหลาผู้หนึ่งเลยทีเดียว
จ่านจือเองลอบสังเกตเห็นว่าไป่ชิงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ครั้งนี้นางแต่งกายดูเป็นสตรีมากกว่าครั้งก่อนตอนพบกัน บัดนี้นางอยู่ในชุดนักบู๊สีน้ำทะเล เกล้าผมสูงเป็นมวยกลางศีรษะพร้อมปักด้วยปิ่นปักผมสีทองด้ามหนึ่ง ผิวพรรณของนางยิ่งดูขาวเนียนผุดผ่องขับเน้นเสริมความงามอันเฉิดฉัน ไป่ชิงเมื่อเห็นว่าจ่านจือจ้องมองมาเกิดอาการเอียงอายขึ้นจนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก มู่เหอเห็นน้องสาวของตนหน้าแดงเช่นนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
"ไป่ชิงเจ้าเป็นอะไรหรือไม่? อากาศไม่อบอ้าวสักเท่าใด พี่ชายเห็นเจ้าหน้าแดงรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?"
ไป่ชิงรีบกล่าววาจาแก้ตัวตอบไปว่า
"ข้าพเจ้ารู้สึกอบอ้าวนิดหน่อย พี่ชายอย่าได้ห่วงไป่ชิงมิได้เป็นอะไร คงเพราะอากาศที่นี่กับบนผาไม่คล้ายกัน บนผาอากาศหนาวปกคลุมไปด้วยหมอกและน้ำค้าง แถมยังมีสายลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย พอลงจากผามาจึงรู้สึกว่าร้อนอบอ้าวขึ้นมาอาจเป็นเพราะว่าปรับตัวไม่ทันนั่นเอง ว่าแต่พี่ชายไม่รู้สึกอบอ้าวบ้างหรืออย่างไร?"
มู่เหอคิดในใจว่าน้องสาวของตนช่างพิลึก อากาศในยามนี้กำลังเย็นสบายกลับบอกว่าร้อนอบอ้าว แต่กระนั้นเขาไม่อยากโต้แย้งอะไรเพราะส่วนใหญ่แล้ว มู่เหอจะตามใจไป่ชิงตลอดมา ไม่เคยจะขัดใจนางว่าเช่นไรเขาก็ว่าเช่นนั้น
ทั้งสามเห็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าพร้อมกันศิษย์ทั้งสองเดินตรงเข้ามา จึงหยุดการสนทนา เจ้าหุบเขามู่ชิวป้ากล่าววาจากับทั้งหมด ว่าท่านจะหลบซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง พร้อมกันนั้นจะส่งข่าวถึงเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณกับพรรคไผ่หลิว เกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้านัดหมายกับทุกคนว่าเจอกันอีกครั้งในงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน สถานที่นั่นในวันงานเต็มไปด้วยเหล่าบรรดาชาวยุทธ์ฝ่ายธัมมะ คิดว่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าคงไม่กล้าลงมือโดยพละการ อีกอย่างในวันนั้นท่านเองคงจะมีโอกาสได้แก้ตัวให้ชาวยุทธ์ทั้งหลายได้ช่วยตัดสินเรื่องราวโดยยุติธรรม
ในเวลานี้นอกจากหลบซ่อนแล้วสิ่งที่สามารถกระทำได้ นั่นคือคอยสืบข่าวการเคลื่อนไหวของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอย่างลับ ๆว่าผู้ใดกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังในการกระทำต่ำทรามครั้งนี้ ท่านจึงกล่าวกับจ่านจือว่าท่านอนุญาตให้ศิษย์ทั้งสองคือซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินร่วมเดินทางไปกับเขา หากให้ศิษย์ทั้งสองเดินทางไปกับท่านเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยและไม่สะดวกในการหลบซ่อนตัว
เมื่อทั้งหมดนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างแยกย้ายกันออกเดินทาง เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าปลีกตัวไปตามลำพังมุ่งหน้าสู่นอกเมืองทางทิศเหนือ มู่เหอกับไป่ชิงร่วมเดินทางไปกับจ่านจือและซื่อเหมี่ยนพร้อมทั้งอี้เซิน แต่สองเฮียม่วยจะแยกกับทั้งสามเมื่อเดินทางถึงทางแยกอีกราวครึ่งลี้ข้างหน้า
เมื่อเดินทางมาถึงทางแยก สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจึงขอแยกตัวเดินทางไปตามทางแยกซ้ายมือ ก่อนแยกจากกันไป่ชิงกล่าววาจากับจ่านจืออีกหลายประโยค นางกล่าวว่าให้จ่านจือรักษาตัวและระมัดระวังตัวให้มาก เมื่อเสร็จธุระที่หมู่บ้านเย้ยอรุณแล้วให้รีบเดินทางไปพบกันที่วัดเส้าหลิน ที่นั่นนางจะแนะนำอาจารย์พร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ของนางให้เขาได้รู้จัก
ส่วนมู่เหอกลับเป็นห่วงเป็นใยศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว โดยเฉพาะอี้เซินซึ่งเป็นศิษย์น้องของซื่อเหมี่ยน ในขณะเดินทางมาด้วยกันมู่เหอแอบชำเลืองมองนางอยู่หลายหน ซื่อเหมี่ยนเองสังเกตเห็นว่าศิษย์น้องของตนให้ความสนใจต่อมู่เหออยู่ไม่น้อย เมื่อล่ำลากันแล้วทั้งหมดจึงออกเดินทางสู่จุดหมายในทันที
เมื่อเดินทางมาได้สักพักต้องตัดผ่านตัวเมืองแห่งหนึ่ง ซื่อเหมี่ยนจึงกระซิบกระซาบกับอี้เซินศิษย์น้องโดยมิให้จ่านจือได้ยิน พอเดินผ่านสถานที่นั่นเต็มไปด้วยร้านรวงวางขายสินค้าสารพัดชนิด นางทั้งสองจึงหันมากล่าวกับจ่านจือโดยผู้ที่กล่าววาจาคืออี้เซิน นางกล่าวกับเขาว่า
"เซี่ยวจือเจ้ารอคอยพี่สาวทั้งสองอยู่แถวนี้สักครู่ ข้ากับพี่ใหญ่จะไปซื้อหาสิ่งของบางอย่างแล้วจะรีบกลับมา เจ้าอย่าไปไหนไกลละเข้าใจหรือไม่?"
จ่านจือพยักหน้ารับทราบ พร้อมกับกล่าวกับดรุณีพี่สาวทั้งสองว่า
"ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว พี่สาวทั้งสองไปเถอะข้าพเจ้าอยู่ลำพังได้ไม่ต้องเป็นห่วง รับรองว่าข้าพเจ้าจะไม่ไปไหนไกลจากที่นี่โดยเด็ดขาด"
ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองรีบก้าวเท้าไปจากที่นั่น หายไปยังร้านรวงแถบหนึ่ง เมื่อนางทั้งสองไปแล้วจ่านจือสังเกตเห็นเงาหลังร่างคนผู้หนึ่ง ช่างดูคุ้นหูคุ้นตาเขาเป็นยิ่งนัก แต่พยายามนึกเท่าไหร่ยิ่งนึกไม่ออกว่าเคยพบพานคนผู้นี้ที่ไหน? เห็นเงาหลังคนผู้นั้นอยู่ในชุดนักบู๊สีขาวสะอาดรัดกุม ดูจากด้านหลังคงเป็นบุรุษที่รูปร่างค่อนข้างบอบบาง เกล้าผมตึงสวมรัดเกล้าสีเงินอยู่กลางศีรษะ
มองไปคล้ายคุณชายผู้รากมากดีในเมืองนี้ จ่านจือคิดเอาเองเมื่อมองต่ำลงมาพบว่าในมือซ้ายถือไว้ด้วยกระบี่เล่มหนึ่ง ด้ามกระบี่ห้อยพู่สีแดงแกว่งไกวอยู่ไปมา ฝักกระบี่แกะสลักเป็นลวดลายอย่างสวยสดงดงามสะดุดตา เขาพยามนึกสุดท้ายนึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อน
ก่อนที่จ่านจือจะกระทำเช่นไรต่อไป ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองกลับมาพอดี ในมือของอี้เซินเพิ่มห่อผ้ามาห่อหนึ่งแต่ไม่ทราบว่าภายในคือสิ่งของใด? จ่านจือเองไม่กล้าเสียมารยาทเอ่ยถาม นางทั้งสองเห็นว่าเขาจับจ้องมองสิ่งใดอยู่ จึงใช้สายตามองตามไปจังหวะนั้นคุณชายผู้ซึ่งจ่านจือจับจ้องมองอยู่ เดินลับไปกับมุมตึกร้านขายของพอดี นางทั้งสองจึงมองไม่เห็นสิ่งใด หลังจากนั้นทั้งสามจึงเร่งรุดออกเดินทางสู่หมู่บ้านเย้ยอรุณ ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน ในอำเภอเติงเฟิงเมืองเจิ้งโจว
ทางด้านต๊กม้อเต็กลามะกับเสิ่นซื่อสูอวี้และเล่อต้าเต๋อ พอระเบิดควันเจือจางเบาบางลงกลับพบว่าทุกคนอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ต่างส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาช่วยไปได้ ขณะที่ทั้งสามไม่ทราบว่าจะกระทำเช่นไรต่อไปดี หลิวกงกงพร้อมด้วยอันสุ่ยกับฉีฝ่านและต้าถงติดตามมาถึงพอดี
เมื่อหลิวกงกงเห็นสภาพของคราบฝุ่นควัน และยอดฝีมือทั้งสามยืนตะลึงอยู่โดยไม่เห็นร่างเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พอคาดเดาได้ทันทีว่าหนีรอดไปได้ สามยอดฝีมือเมื่อเห็นเช่นนั้นรีบประสานมือต่อหลิวกงกง ต๊กม้อเต็กลามะเป็นผู้กล่าวขึ้นกับหลิวกงกงว่า
"เรียนท่านหลิวกงกงมันหนีรอดไปได้ ไม่แน่นักว่าไปยังทิศทางใด? พวกเราเกือบจะจัดการมันได้อยู่แล้ว นึกไม่ถึงศิษย์ของมันสองคนมาสมทบพบเห็นเข้าพอดี พร้อมกันนั้นยังเพิ่มเด็กหนุ่มแต่งตัวคล้ายขอทานมาอีกผู้หนึ่ง ได้ยินว่าเด็กหนุ่มสารรูปยาจกขอทานผู้นั้นใช้กระบวนท่าวิชาแปลกพิสดารไม่เคยพบพานมาก่อน ทำให้ท่านเล่อกับท่านเสิ่นไม่กล้าที่จะลงมือบุ่มบ่าม ช่วงจังหวะนั้นกลับยังเพิ่มมาอีกสองคนเป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง พอปรากฏตัวพร้อมซัดขว้างระเบิดควันเข้าใส่ ในที่สุดพวกมันทั้งหมดหนีรอดไปได้ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว"
เสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อรีบกล่าวเสริมขึ้นว่า
"ใช่แล้วท่านหลิวกงกง เด็กหนุ่มขอทานผู้นั้นใช้วิชาท่าร่างที่พวกข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย ดูจากพลังฝีมือคิดว่าเด็กหนุ่มนั่นมีฝีมือเก่งกล้าพอตัว จากกระบวนท่าและสภาวะที่ซัดใส่อาวุธของพวกเราทั้งสอง ลมปราณที่ใช้ช่างน่าแปลกพิสดารนัก ในความเกรี้ยวกราดดุดันกลับแฝงความอ่อนหยุ่นนุ่มนวล ทำให้ข้าพเจ้าทั้งสองมิกล้าด่วนลงมือโต้ตอบ ท่านหลิวกงกงโปรดอภัยที่ปล่อยให้มันและเด็กน้อยเหล่านั้นหนีรอดไปได้"
หลิวกงกงเมื่อได้ฟังคำกล่าวของสองยอดฝีมือ ดูคล้ายจะมีอาการตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย แต่แล้วเก็บซ่อนอาการเหล่านั้นเอาไว้ก่อนที่ทุกคนจะทันสังเกตเห็น แล้วหลิวซุ่นกงกงเอ่ยกล่าววาจาต่อทุกคนว่า
"เอาเถอะข้าพเจ้าไม่กล่าวโทษถือโกรธพวกท่านทั้งหลาย เมื่อมันหนีรอดไปได้ย่อมเป็นการยากที่จะติดตามเล่นงานมัน ก่อนที่มันจะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแจ้งต่อบรรดาชาวยุทธ์สำนักต่าง ๆพวกท่านรีบออกติดตามพร้อมกับใช้ทุกวิถีทางสังหารพวกมันอย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่เพียงผู้เดียว หากมันสามารถมีชีวิตรอดอยู่จนถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ คงทำอะไรมันลำบากยิ่งขึ้น ถึงตอนนั้นผู้ที่จะลำบากจะกลับกลายเป็นฝ่ายเรา"
ยอดฝีมือทั้งสามรวมทั้งหัวหน้าตึกทั้งสามต่างรับคำอย่างขันแข็ง ว่าจะแยกย้ายกันออกติดตามเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พร้อมกับสังหารเพื่อมิให้มีลมหายใจไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน หลิวกงกงทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้น กล่าวขึ้นกับทุกคนว่า
"ข้าพเจ้ามีอีกเรื่องหนึ่งสงสัย ฟังจากที่พวกท่านเล่ามาเด็กหนุ่มผู้นั้นช่างน่าสนใจ หากพบตัวอย่าเพิ่งฆ่ามัน ให้นำตัวเด็กหนุ่มนั่นกลับมายังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ข้าพเจ้ามีเรื่องราวที่ยังข้องใจอยากซักถามมันเรื่องหนึ่ง หากได้คำตอบแล้วข้าพเจ้าค่อยส่งมันไปปรโลกด้วยตัวเอง"
ทั้งหมดในที่นั้นกล่าวคำรับทราบคำสั่งโดยพร้อมเพรียงว่า
"รับทราบแล้วท่านหลิวกงกง พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะรีบไปจัดการ และจะมิให้เกิดความผิดพลาดดั่งเช่นครั้งนี้อีกเป็นอันขาด"
เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งต่างนั่งใช้กำลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ดูจากอาการคงต้องใช้เวลานานร่วมครึ่งเดือนในการรักษาอาการบาดเจ็บภายใน เจียฮุยกับเจียจิ้งเมื่อเห็นคนทั้งหมดกลับมา ต่างลืมตาขึ้นแต่ยังมิได้กล่าววาจาใดออกมา หลิวกงกงรีบยกมือพร้อมกับกล่าวกับทั้งสองว่า
"เอาเถอะเจ้าทั้งสองมิต้องกล่าววาจา นับจากวันนี้เจ้าทั้งสองจงใช้เวลาพักรักษาอาการบาดเจ็บ คิดว่าคงจะหายทันวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ข้าเองต้องวางแผนการอีกหลายอย่าง งานนี้คงไม่ง่ายดายนักที่ข้าจะควบคุมชาวยุทธ์ จากการที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินมา ท่านเอ่ยกับข้าพเจ้าว่าการเลือกผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ บรรดาชาวยุทธ์ไม่ต้องการให้ราชสำนักเข้าไปเกี่ยวของกับเรื่องราวของยุทธจักร ข้าพเจ้าได้แต่เพียงเข้าร่วมการชุมนุมเท่านั้น มิมีสิทธิ์เข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้"
ต๊กม้อเต็กไต้ซือได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวถามหลิวกงกงขึ้นว่า
"หากเป็นเช่นนั้นท่านหลิวกงกงคิดกระทำเช่นไรต่อไป? หลายปีมานี้ท่านอุตส่าห์ตระเตรียมแผนการ ทั้งจัดวางกำลังคนและสร้างเครือข่ายชาวยุทธ์มากมาย อันที่จริงแล้วตำแหน่งเสนาบดีของท่านหลิวกงกง น่าจะเป็นที่ให้เกียรติและเกรงอกเกรงใจของชาวยุทธ์ทั้งหลาย อาตมาคิดว่าเมื่อถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์บางทีท่านหลิวกงกงอาจจะถูกเสนอชื่อเข้าชิงผู้นำชาวยุทธ์ก็เป็นได้"
หลิวกงกงหยุดใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าววาจาสืบต่อว่า
"ตอนแรกหมากที่ข้าพเจ้าหมายตาไว้ ผู้ที่คิดว่าจะสนับสนุนข้าพเจ้ามีเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน หัวหน้าพรรคไผ่หลิว เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณ และเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ความจริงเพียงสี่สำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ เพียงแค่นี้สำนักพรรคไร้ชื่ออื่นคงมิกล้าคัดค้าน แต่เกิดความผิดพลาดที่เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเหตุไฉนมันจึงกล้าเข้ามาฆ่าคนของเราถึงในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า แต่จากการสังเกตของข้าพเจ้าคล้ายกับว่ามันมิใช่ผู้ลงมือ มิฉะนั้นแล้วมันคงใช้ฝ่ามืออำมหิตดั่งเช่นใช้จัดการกับเกาฉวนเล่นงานพวกท่านแล้ว พวกเรารีบลงมือต่อมันโดยมิได้สวบสวนเรื่องนี้ต้องไม่ส่งผลดีต่อเราอย่างแน่นอน หากปล่อยให้มันไปปรากฏตัวในงานชุมนุมชาวยุทธ์ได้ ข้าพเจ้าคงต้องใช้วิธีการอื่นจัดการแทน"
เสิ่นซื่อสูอวี้ได้ยินท่านหลิวกงกงกล่าวคล้ายกับมีแผนการอื่นรองรับอยู่ในใจ จึงรีบกล่าววาจากล่าวถามหลิวกงกงไปว่า
"ฟังจากคำพูดของท่านหลิวกงกงเมื่อครู่ คล้ายกับว่ามีแผนการอื่นรองรับอยู่กระนั้น? ซึ่งแผนการที่ว่าเหล่าข้าพเจ้าทั้งหลายยังไม่ทราบใช่ถูกต้องไม่?"
หลิวกงกงใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า
"ถูกต้อง แท้จริงข้าพเจ้ามีหมากอีกตาหนึ่งซึ่งถือว่าเหนือชั้นกว่า ในเมื่อบรรดาชาวยุทธ์มิให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนของราชสำนักลงแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำชาวยุทธ์ ข้าพเจ้าหลิวกงกงจะให้ผู้อื่นซึ่งเป็นชาวยุทธ์เข้าชิงตำแหน่งผู้นำโดยที่ข้าพเจ้าคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง มิหนำซ้ำบุคคลผู้นี้ถือว่าพลังฝีมือร้ายกาจแถมจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ข้าพเจ้าแอบติดต่อกับคนผู้นี้มานานสิบกว่าปีแล้ว"
เล่อต้าเต๋อพอได้ยินเช่นนั้นเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที สิ่งที่ต้องการทราบคือผู้ใดกัน? ที่หลิวซุ่นกงกงกล่าวว่าฝีมือร้ายกาจ และได้ติดต่อกับคนผู้นี้มานานกว่าสิบปีแล้วด้วย นั่นเท่ากับยอมรับว่าคนผู้นี้มีพลังฝึกปรือร้ายกาจลึกล้ำกว่าพวกตนที่อาศัยอยู่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ไม่เพียงแต่เล่อต้าเต๋อที่รู้สักคันปากอยากถามให้ทราบคำตอบบัดเดี๋ยวนั้นพอดีเล่อต้าเต๋อเอ่ยถามขึ้นก่อนว่า
"เรียนถามท่านหลิวกงกง บุคคลที่ท่านหลิวกงกงกล่าวถึง ท่านบอกว่ามีพลังฝีมือร้ายกาจสูงส่ง แสดงว่าคนที่ท่านว่ามีพลังวิชาเหนือล้ำกว่าไต้ซือม้อเต็กอีก หากเป็นเช่นนั้นไฉนที่ผ่านมาพวกเราจึงไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยนิด แถมท่านหลิวกงกงยังวางตัวไว้ให้เข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์แทนท่านอีก ไม่ทราบว่าบุคคลสูงส่งที่ท่านกล่าวถึงมีฉายาเรียกหาว่ากระไร?"
"เอาเถอะในเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะเกริ่นให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบสักเล็กน้อย แล้วค่อยพบเจอกับบุคคลผู้นั้นในวันชุมนุมชาวยุทธ์ แท้จริงแล้วท่านทั้งหลายน่าจะคุ้นเคยกับบุคคลท่านนี้อยู่ไม่น้อย ได้ยินเช่นนี้คงทำให้พวกท่านเพิ่มความสนใจใคร่อยากรู้มากขึ้นอีกเท่าตัวสินะ?"
หลิวกงกงกล่าวพร้อมกับหยุดคำพูดเอาไว้ แล้วก้าวเดินไปยังม้านั่งพอนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรจงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างช้า ๆคล้ายกับว่าต้องการกลั่นแกล้งบุคคลเหล่านั้นให้คันในหัวใจเล่นกระนั้น เมื่อดื่มน้ำชาจนหายคอแห้งแล้วหลิวกงกงกล่าววาจาต่อว่า
"บุคคลผู้นี้ท่านทั้งหลายอาจจะเคยรู้จักมาก่อน หรือไม่อาจเคยได้ยินชื่อเสียงมามาบ้าง ในอดีตนับว่าเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดฝีมือหนึ่งในห้า ของสำนักหนึ่งซึ่งล่มสลายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน บุคคลผู้นี้เก็บตัวซ่อนกายมาสิบห้าปีโดยไม่มีชาวยุทธ์ผู้ใดเคยพบเห็น หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นี้ตายไปจากยุทธภพแล้วเมื่อสิบห้าปีก่อน บัดนี้ได้เวลาที่จะหวนกลับคืนสู่ยุทธจักรอีกครั้ง พร้อมกับพลังฝีมือที่รุดหน้าจนน่ากลัวกว่าอดีต รับรองได้ว่าชาวยุทธ์ทั้งหลายจะต้องหนาวสั่นขวัญผวากันอีกครั้งเมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัว ทุกท่านคอยดูไปเถอะข้าพเจ้าหลิวกงกงกล่าววาจาได้เพียงเท่านี้ ฮา ๆ"
เมื่อกล่าวจบหลิวกงกงหัวร่อก้องกังวาน พร้อมกับยกฝ่ามือตบลงยังโต๊ะน้ำชาซึ่งจัดสร้างจากไม้เนื้อแข็งชั้นดีราคาแพง พอฝ่ามือหลิวกงกงสัมผัสกับโต๊ะไม้นั่นบังเกิดเป็นเสียงดังเปรี้ยงปร้างดั่งแจกันขนาดใหญ่ถูกจับทุ่มลงกับพื้นโดยแรง โต๊ะไม้หนาราวหนึ่งคืบที่วางอยู่เมื่อครู่แตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี เศษของชิ้นไม้กับถาดและถ้วยน้ำชาปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ มองดูหลิวกงกงในยามนี้เสื้อผ้าที่สวมใส่พลันบวมเป่งพองโตดั่งพกลมเอาไว้ภายใน เส้นผมสีขาวที่แซมด้วยสีดำจาง ๆต่างยกตัวชูชี้ชันตั้งตรงคล้ายมีชีวิตมิปานดูแล้วชวนตระหนกตกใจยิ่งนัก
ทุกคนในที่นั่นยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นพลังฝีมือที่แท้จริงของหลิวกงกงมาก่อน เมื่อเห็นโต๊ะไม้แข็งแรงหนาหนึ่งคืบแตกละเอียดง่ายดายภายในฝ่ามือเดียว ต่างพากันขนลุกเกรียวด้วยคาดไม่ถึงว่าหลิวกงกงยามลงมือจะรวดเร็วและดุดันเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ หลิวกงกงในยามนี้ลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามองฟ้า ส่งเสียงหัวร่อกึกก้องกังวานดังยาวนาน พอสิ้นเสียงหัวร่อกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัวข่มขวัญผู้คนว่า
"ฮา ๆ ผู้ใดคล้อยตามข้าพเจ้าอยู่ ผู้ใดขวางข้าพเจ้าตาย ฮา ๆ"
หมู่บ้านเย้ยอรุณทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน ในยามนี้อากาศเย็นสบายสายลมพัดเบา ๆคละเคล้ากับกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ป่านานาพันธุ์ที่แข่งขันกันชูช่อ อวดสีสันความงดงามบานสะพรั่งอยู่สองฟากข้างทาง ถัดออกไปเป็นป่าอ้อซึ่งกำลังออกดอกสีน้ำตาลอ่อนอยู่แน่นขนัด ยามสายลมพัดผ่านดอกอ้อเหล่านั้นต่างเอนลู่ตามสายลมไปมาดูแล้วเพลินตายิ่ง ในบางครั้งคราวสายลมทำให้เกสรพร้อมทั้งเศษชิ้นของดอกอ้อเหล่านั้น ปลิวละลิ่วล่องลอยไปตามสายลมอย่างอิสรเสรี เห็นแล้วชวนให้อิจฉาพวกมันที่มิต้องทุกข์ร้อนหรือแก่งแย่งชิงดีกันเหมือนชาวยุทธ์ผู้หลงผิดทั้งหลาย
ยามนี้ล่วงเลยเวลาเที่ยงมาหนึ่งชั่วยาม จ่านจือพร้อมทั้งซื่อเหมี่ยนและอี้เซิน ทั้งหมดเดินทางบรรลุถึงทางเข้าหมู่บ้านเย้ยอรุณ มองไปข้างหน้าไม่ไกลเห็นหลังคาของบ้านเรือนเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ จ่านจือชี้ไม้ชี้มือไปยังหมู่บ้านข้างหน้าอย่างลิงโลดใจ พร้อมกับส่งเสียงด้วยอาการตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้า ห้าปีกว่าที่เด็กน้อยจากไปเมื่อได้หวนกลับมาอีกครั้งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง มีเพียงร่างกายและจิตใจคนเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป
ทิวทัศน์ยังคงสวยงามด้วยต้นไม้อันร่มรื่น ใบหญ้ายังคงเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ยังคงสภาพเช่นเดิมมิแปรเปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปกลับเป็นชีวิตน้อย ๆของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งจากหมู่บ้านเย้ยอรุณไปเมื่อห้าปีก่อน วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วคล้ายมีปีกบิน ตอนนั้นจ่านจือหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิงเมื่อมารดาบุญธรรมมาลาจากโลกนี้ไป ทำให้เด็กน้อยท้อแท้สิ้นหวังกับชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเอง
ก่อนเดินทางออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณไป จ่านจือคิดว่าในชีวิตของเขาคงไม่มีโอกาสกลับมายังมาตุภูมิอีกแล้ว อนาคตภายภาคหน้าช่างริบหรี่มืดมนไม่เหลือความหวังอะไรเลยในจิตใจของเด็กน้อยในขณะนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปห้าปีกว่าความหวังอันริบหรี่ และอนาคตอันมืดดำมองไม่เห็นฝั่งของเด็กน้อย กลับได้พบกับแสงสว่างที่สามารถจับต้องได้ราวปาฏิหาริย์ ที่เหลือขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิตกับความมานะพยายามและอดทนของตัวเขาเอง
คุณธรรมและน้ำใจสามารถปลูกสร้างขึ้นได้ในตัวเอง และสิ่งนี้จะคงอยู่คู่กับตัวตลอดไปไม่ดับสูญ มาตรว่าจะลาจากโลกนี้ไปแต่ความดียังคงได้รับการสรรเสริญจากคนรุ่นหลังดั่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย จากเด็กน้อยธรรมดาไร้ซึ่งปณิธานแกล้วกล้า แต่ทว่าวันนี้เด็กน้อยธรรมดาสามารถเปล่งประกายฉายแววของผู้กล้าที่เปี่ยมล้นด้วยน้ำใจไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
บัดนี้เด็กน้อยธรรมดาผู้นั้น ได้ตั้งปณิธานอันสูงส่งว่าจะผดุงคุณธรรม ขจัดคนพาลอภิบาลคนดี สิ่งใดที่ไม่ถูกต้องหากไม่เหนือบ่ากว่าแรงอันพึงกระทำ เขาผู้นี้จะมิยอมปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยที่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตอนนี้สิ่งแรกที่เขาต้องการกระทำมากที่สุดคือ ได้กอดหลุมฝังศพของมารดาบุญธรรมและกราบท่านซักครั้งหนึ่ง
จ่านจือจะบอกกล่าวกับมารดาบุญธรรมว่า ขอให้วิญญาณท่านไปสู่สุขคติอย่าได้ห่วงเซี่ยวจือผู้นี้อีกเลย บัดนี้เซี่ยวจือเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คำสั่งสอนของท่านแม่บุญธรรมจ่านจือจดจำได้ไม่ลืมเลือน เซี่ยวจือจะเป็นคนดีมีคุณธรรมดั่งที่ท่านแม่ต้องการ คำพูดของท่านแม่บุญธรรมยังคงดังกึกก้องกังวานฝังอยู่ในโสตว่า
"เซี่ยวจือเจ้าจงจดจำไว้นะลูก จะกระทำเรื่องราวใดน้อยใหญ่ก็ตาม ขอเพียงมิผิดต่อตนเองและผู้อื่นแล้วย่อมประเสริฐสุด"
เหลือระยะทางอีกไม่เกินร้อยวาจะถึงหมู่บ้านเย้ยอรุณแล้ว จ่านจือชี้มือไปยังบ้านหลังหนึ่ง พร้อมกับส่งเสียงด้วยอาการตื่นเต้นเหลือประมาณ ส่งเสียงกล่าวกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซินพี่สาวทั้งสองว่า
"พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง บ้านของข้าพเจ้าอยู่ตรงโน้นท่านเห็นหรือไม่? ข้าพเจ้าดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาบ้านตัวเองอีกครั้ง กลับมาครานี้เซี่ยวจือมิได้มาเพียงผู้เดียวกลับมีพี่สาวที่น่ารักแสนดีมาด้วยถึงสองคน หากวิญญาณท่านแม่รับรู้ท่านคงหมดห่วงข้าพเจ้า ท่านทั้งสองรีบตามข้าพเจ้ามาเร็วเข้า"
จ่านจือส่งเสียงอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้กลับมายังมาตุภูมิของตนอีกครั้ง ออกวิ่งนำหน้าซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินไป พร้อมกับส่งเสียงให้นางทั้งสองรีบติดตามไป นางทั้งสองต่างแสดงอาการดีใจไปกับเขาด้วย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจ่านจือบ่งบอกว่าลืมความเศร้าโศกเสียใจไปจนหมดสิ้น ภาพของเด็กหนุ่มในคืนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นกับนางทั้งสองบัดนี้ไม่หลงเหลืออีกแล้ว นางทั้งสองจึงมิรอช้ารีบเร่งฝีเท้าวิ่งติดตามเขาไปทันที พร้อมกับซื่อเหมี่ยนส่งเสียงต่อจ่านจือว่า
"เซี่ยวจือ รอพี่ใหญ่กับพี่รองด้วย ดูเจ้าสิแสดงอาการคล้ายเด็กอายุสิบขวบมิมีผิด เร็วเข้าศิษย์น้องรีบตามไป เดี๋ยวเราทั้งสองวิ่งไม่ทันเซี่ยวจือเข้าพอดี"
อี้เซินตอนแรกนางเพียงแค่อมยิ้มพากันขบขันที่เห็นจ่านจือทำท่าทางราวเด็กทารก แต่พอได้ยินศิษย์พี่ของนางกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา นางกลับกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาครืนใหญ่ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงปนเสียงหัวเราะไปว่า
"ไปสิศิษย์พี่ วันนี้ท่านกับข้าพเจ้าลองเล่นเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบขวบดูสักวัน เผื่อบางทีอาจทำให้เซี่ยวจือมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่ศิษย์พี่ระมัดระวังสิ่งของในห่อผ้าจะเสียหายแตกหักละ อุตส่าห์แวะซื้อมาโดยไม่ให้เซี่ยวจือรู้เห็น เอาไว้ตอนที่เฉลยดูว่าเซี่ยวจือจะแสดงอาการเป็นเช่นไร? ศิษย์พี่ท่านกับข้าพเจ้ามาวิ่งแข่งขันกันเหมือนตอนที่เราอยู่ที่หุบเขาตอนเด็ก ๆดีหรือไม่?"
อี้เซินกล่าวจบพร้อมกับออกวิ่งตามจ่านจือไปอีกคน ซื่อเหมี่ยนนางจึงออกวิ่งตามทั้งสองไป บรรยากาศตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยความสุขหฤหรรษ์อย่างที่สุด
เมื่อวิ่งมาถึงตัวบ้านหลังหนึ่ง จ่านจือนำพานางทั้งสองเข้าไปชมยังด้านใน บัดนี้สภาพภายในบ้านขาดการทำความสะอาดปัดกวาด จึงมีหยากไย่ใยแมงมุมขึ้นอยู่ทั่วไป ซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวกับจ่านจือว่า ไปกราบหลุมศพท่านแม่ก่อนเถิด เดี๋ยวค่อยกลับมาช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาด จ่านจือเห็นด้วยกับนางจึงรีบเดินนำทั้งสองไปยังชายป่าไม่ไกลเท่าใดนัก
เมื่อมาถึงแลเห็นป้ายปักอยู่บนเนินดินที่หนึ่ง ดูจากสภาพคิดว่าเพื่อนบ้านของป้าหนิวกับจ่านจือคอยแวะเวียนมาถากถางหญ้าให้ จึงดูไม่เกะกะรกตาไปด้วยหญ้าคาเหมือนบริเวณโดยรอบ จ่านจือตรงไปคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมฝังศพ อี้เซินกับซื่อเหมี่ยนนางทั้งสองตรงไปพร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพข้าง ๆจ่านจือด้วยเช่นกัน
ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินคาดเดาว่าจ่านจือคงมิได้ตระเตรียมธูปเทียนมา ดังนั้นนางทั้งสองจึงได้แวะซื้อมาพร้อมกับกระดาษเงินกระดาษทอง อีกทั้งยังมีขนมโก๋ขนมเปี้ยะอีกด้วย จ่านจือเมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองล้วงหยิบสิ่งของเหล่านั้นออกมาจากห่อผ้า จึงรู้ว่าที่นางทั้งสองให้ตนยืนรอตอนผ่านตลาด ที่แท้นางทั้งสองไปซื้อหาสิ่งของเหล่านี้ให้กับตนนั่นเอง
จ่านจือซาบซึ้งและตื้นตันใจเป็นยิ่งนักต่อความมีน้ำใจของนางทั้งสอง ทั้งสามจึงจัดแจงวางขนมและจุดธูปเทียนกราบหลุมฝังศพพร้อม ๆกัน หลังจากนั้นจ่านจือบอกกล่าวกับหลุมศพมารดาบุญธรรมว่า
"ท่านแม่ ข้าพเจ้าเซี่ยวจือกลับมาคารวะท่านแม่แล้ว พร้อมกับนำพี่ใหญ่กับพี่รองมากราบท่านแม่ด้วย นางทั้งสองดีต่อเซี่ยวจือยิ่งนัก ขอดวงวิญญาณท่านแม่จงไปสู่สุขคติเถิดอย่าได้ห่วงเซี่ยวจือและเรื่องราวทั้งหลาย เซี่ยวจือขอสาบานต่อหลุมศพท่านแม่ ว่าจะฆ่าคนชั่วทั้งสามแก้แค้นให้ท่านแม่ให้จงได้"
หลังจากนั้นทั้งสามต่างช่วยกันเผากระดาษเงินกระดาษทอง เพื่ออุทิศไปให้กับดวงวิญญาณของท่านแม่บุญธรรมของจ่านจือ เมื่อเรียบร้อยแล้วทั้งหมดกลับไปยังบ้านของเขาอีกครั้ง และช่วยกันทำความสะอาดปัดกวาดหยากไย่ จนไม่เหลือสภาพเช่นตอนแรกที่เดินทางมาถึง เมื่อทำความสะอาดเสร็จมืดค่ำพอดี ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองแวะซื้ออาหารแห้งติดมือมาด้วย จึงบอกให้จ่านจือไปตักน้ำมา ส่วนนางทั้งสองจะเข้าครัวปรุงอาหารให้รับประทาน
เมื่อทั้งสามร่วมวงรับประทานอาหารเย็นแล้ว ซื่อเหมี่ยนบรรจงหยิบห่อผ้าออกมา พร้อมกับเปิดออก จ่านจือเพ่งมองด้วยความสงสัยว่าภายในคือสิ่งของใดกันแน่? ตอนที่นางทั้งสองแวะซื้อเขามิกล้าเอ่ยถาม พอนางทั้งสองช่วยกันแก้ห่อผ้าออกภายในเป็นผ้าเนื้อดีพับอยู่นั่นเอง อี้เซินค่อย ๆบรรจงหยิบผ้าพับนั้นขึ้นมา พร้อมกับกล่าวกับเขาว่า
"เซี่ยวจือเจ้าชอบหรือไม่? ข้ากับพี่ศิษย์พี่เห็นว่าเจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆจนใกล้ขาดวิ่นหมดสิ้นแล้ว ตอนอยู่หุบเขาผีเสื้อคงไม่มีผู้ใดตัดเย็บให้กับเจ้า ดังนั้นข้าและศิษย์พี่จะตัดเย็บเสื้อกางเกงพร้อมกับชุดคลุมให้เจ้าสักชุดหนึ่ง มา มา เซี่ยวจือเจ้าขยับมาใกล้ ๆให้ข้ากับศิษย์พี่ได้กะประมาณตัวเจ้า ตัดเย็บออกมาแล้วจะได้พอดีตัวไม่น่าเกลียด"
จ่านจือตื้นตันใจจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับขยับเข้ามาให้ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินได้วัดขนาดของรูปร่าง เมื่อกะวัดขนาดแล้วทั้งสองนางต่างช่วยกันตัดผ้าพับนั้น พร้อมกับบรรจงเย็บอย่างประณีต จ่านจือเห็นพี่สาวทั้งสองขะมักเขม้นตัดเย็บกลัวพวกนางจะเสียสมาธิ จึงขอตัวออกมาเดินชมดูบรรยากาศโดยรอบหลังจากไม่ได้กลับมาเสียนานโข
ทั้งสามคิดจะพักอยู่ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ราวสี่ห้าวัน หลังจากนั้นจะออกเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิว เพื่อไปดูว่าท่านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าได้ส่งข่าวคราวมาถึงหัวหน้าพรรคไผ่หลิวแล้วหรือไม่? หากยังไม่ส่งข่าวไปพวกตนจะได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงได้รับทราบ
ต่อจากนั้นจะได้เดินทางต่อไปยังสำนักเมฆฟ้าพิรุณ บอกกล่าวเรื่องราวเช่นเดียวกันนี้ต่อเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ แต่คิดว่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าคงวางกำลังคนและเหล่ายอดฝีมือไว้จนทั่ว หากจะเดินทางไปโดยปลอดภัยทั้งสามจะต้องปลอมแปลงตัว ส่วนจะปลอมแปลงเป็นเช่นไรนั้น? ค่อยคิดอีกทีตอนใกล้วันออกเดินทาง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร