ตอนที่ 8 ใส่ร้ายป้ายความผิดเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู
ยอดฝีมือทั้งหมดเมื่อมาถึงต่างแยกย้ายซ้ายขวาเป็นหน้าหนึ่งหลังสอง ผู้บุกรุกสายตาจับจ้องมองดูระแวดระวัง ทางด้านหน้ายืนอยู่ด้วยต๊กม้อเต็กไต้ซือ ด้านหลังเป็นเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ ด้านขวาเป็นอันสุ่ยกับฉีฝ่าน และด้านซ้ายยืนขนาบด้วยต้าถงกับเกาฉวน ทั้งหมดเคลื่อนย้ายโอบล้อมเป็นรูปวงวงกลม
ต๊กม้อเต็กลามะกระชับอาวุธในมือคือห่วงทองสองวง แยกเป็นมือซ้ายกับมือขวาอย่างละหนึ่งห่วง พอเห็นว่าผู้บุกรุกอยู่ตรงกลางไม่อาจหนีรอดได้ รีบกล่าววาจากึกก้องกังวาน
“ท่านทั้งหลายโปรดหยิบยื่นคนผู้นี้ให้กับฮุดเอี้ย(คำยกย่องตัวเองของลามะ) อาตมาต้องการพิสูจน์ว่ามันผู้นี้จะมีดีสักกี่น้ำ ตามธรรมเนียมเจ้าบ้านต้องต้อนรับแขกผู้มาเยือน อาตมาเองมีหน้ามีตาอยู่ไม่น้อยจะพลอยเสื่อมเสียหน้า หากมิมาต้อนรับด้วยตัวเอง น้องพี่ทั้งหลายกรุณาถอยไปยืนชมดูอยู่ด้านข้างก่อน”
"แต่ว่ามันผู้นี้บุกรุกหมู่ตึกกระเรียนฟ้าในเวลาค่ำคืนย่อมไม่มีจุดประสงค์อันดี อีกทั้งยังทำร้ายคนของเราไปหลายคน ข้าพเจ้าว่าพวกเราถึงแม้เป็นเจ้าบ้านไม่จำเป็นต้องต้อนรับมากพิธี หากมีสิ่งใดผิดพลาดลงไปท่านหลิวกงกงกลับมาจะว่าพวกเราได้"
เสิ่นซื่อสูอวี้กล่าวขึ้นตามความเห็น มันผู้นี้เป็นยอดฝีมือจากอู่เยี่ยว์อายุหกสิบห้าปี รูปร่างหนารูปหน้าสี่เหลี่ยมดูเหี้ยมโหดดุดัน ดวงตาคมกล้าน่ากลัวดุจอินทรี คิ้วทั้งสองตรงปลายเฉียงขึ้น ริมฝีปากหนาไว้หนวดเครายาวรุงรัง อาวุธประจำกายเป็นดาบสันหนายาวครึ่งวา ที่สันดาบเจาะประดับตกแต่งด้วยห่วงเหล็กเล็ก ๆรวมเก้าห่วง ยามกวัดแกว่งดาบ เกิดเสียงติงติงดังสดใส ที่ผ่านมามีคนสังเวยชีวิตภายใต้คมดาบมาแล้วนับไม่ถ้วน
"ข้าพเจ้ามีความเห็นเฉกเช่นเดียวกันกับพี่เสิ่น ท่านหลิวกงกงสั่งกำชับเป็นมั่นเหมาะ ที่สำคัญใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์เข้ามาทุกที ทางที่ดีเราไม่ควรประมาทไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทเจ้าบ้าน หรือใช้กฎยุทธจักรกับมันให้เสียเวลา"
เล่อต้าเต๋อยอดฝีมือจากเผ่าอุยกูร์กล่าวสนับสนุนเสิ่นซื่อสูอวี้ มันผู้นี้มีอายุราวหกสิบปีเศษรูปร่างผอมสูงชะลูด เค้าหน้าเย็นชาไร้เรื่องราวคิ้วยาวหนาตาเรียวหยีเล็กน้อย ริมฝีปากล่างห้อยลงมามากกว่าคนปกติทั่วไป บนศีรษะโล่งเลี่ยนปราศจากเส้นผมปกคลุมใบหูสองข้างเจาะใส่ห่วงโลหะรูปร่างกลม คล้ายกับคนผู้นี้เป็นคนหูเบาจึงต้องใช้วัตถุถ่วงไว้ให้หนักปานฉะนั้น อาวุธที่ใช้เป็นค้อนเหล็กหนักสองร้อยชั่งแต่กลับถือมั่นราวไร้น้ำหนักก็มิปาน
ชายผู้บุกรุกเห็นทั้งหมดโต้เถียงกันไปมาจึงกล่าววาจาขึ้นบ้างว่า
"พวกท่านจะมัวโต้เถียงกันไปใย? ในเมื่อข้าพเจ้ากล้าเข้ามาไม่มีอันใดต้องกลัวเกรง ทางที่ดีทุกท่านเข้ามาพร้อมกันย่อมประเสริฐสุด จะได้พิสูจน์สูงต่ำแพ้ชนะกันในไม่กี่กระบวนท่า"
ลามะจากทิเบตต๊กม้อเต็กกู่ร้องก้องกังวาน กวัดแกว่งห่วงทองคู่ก่อเกิดเป็นกระแสวังวนสายหนึ่งม้วนทะลักเข้าหาชายผู้อยู่ตรงกลาง บุรุษคนดังกล่าวรีบผลักสองฝ่ามือออกบังเกิดเป็นมรสุมก่อกวนม้วนเข้าขัดขวาง เมื่อยอดฝีมือทั้งสองลงมือสัประยุทธ์อากาศที่สุดหนาวเย็นอยู่แล้ว ยิ่งลดอุณหภูมิต่ำลงเป็นเย็นเยียบสยิวกาย
หากผู้ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีพลังฝึกปรืออันลึกล้ำ คงต้องหนาวสั่นไปทั่วทั่งร่างแล้ว เสียงเปรื่องดังสะเทือนเลื่อนลั่นสนั่นทั่ว เมื่อพลังลมปราณของทั้งสองปะทะหักล้างกัน ก่อเกิดเป็นกระแสพลังแตกทะลักออกด้านข้างอย่างบ้าคลั่ง ชายผู้บุกรุกรวบรั้งฝ่ามือทั้งสองกลับตั้งรับมั่น พร้อมกันนั้นทะยานร่างลอยขึ้นหมุนคว้างเหมือนลูกข่างใบใหญ่ออกมานอกวงต่อสู้
ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากธิเบตทะยานตามติดใช้ออกด้วยกระบวนท่าห่วงทองขว้างภูผา เกิดเป็นพลังกงล้อสองวงหมุนวนเข้าหาคนผู้นั้น ผู้บุกรุกรีบตีลังกากลับหลังสองรอบหลบพ้นห่วงทองสองวงหวุดหวิด พร้อมกับต่อยหมัดออกเกิดเป็นมรสุมหอบหนึ่งม้วนเข้าหาต๊กม้อเต็กลามะ หลวงจีนรูปนั้นพุ่งร่างตามติดห่วงทองที่ซัดขว้างมา มิรอช้ากระโดดลอยขึ้นหลบพ้นพลังวังวนหอบนั้น ในเวลาเดียวกันสองมือคว้ารับสองห่วงทองที่ลอยกลับมา แล้วพลิกร่างกลางอากาศเหินข้ามศีรษะคนผู้นั้นไปสองวา
เมื่อสองเท้าแตะพื้นต๊กม้อเต็กลามะหันกลับมา สายตาแปรเปลี่ยนไปพร้อมกับประสานมือทั้งสอง นำห่วงทองคล้องเฉียงไว้บนไหล่ซ้ายกับใต้รักแร้ขวา กล่าววาจาขึ้นว่า
"มู่ก๊กจู้(เจ้าหุบเขาแซ่มู่) ที่แท้เป็นท่านอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน อาตมาเสียมารยาทแถมยังต้อนรับบกพร่องต้องขออภัยอย่างใหญ่หลวง"
ชายผู้นั้นรีบดึงผ้าปิดหน้าหน้าลงมา ประสานมือทั้งสองตอบรับลามะทิเบต พร้อมกับประสานมือทักทายทุกคนในที่นั้น เผยให้เห็นใบหน้าของชายเลยวัยกลางคนผู้หนึ่ง ขมับทั้งสองข้างนูนเด่นแสดงถึงผู้มีวรยุทธ์ลึกล้ำ คิ้วทั้งสองเริ่มมีสีขาวหม่นปะปนประปราย ดวงตาคมกล้าส่องประกายเจิดจ้าดุจเหยี่ยว แล้วส่งเสียงกล่าววาจาดังกังวานว่า
"ข้าพเจ้ามู่ชิวป้าเดินทางมาในเวลาค่ำคืน ต้องขออภัยผู้กล้าทุกท่านที่มารบกวนยามวิกาล หากล่วงเกินทุกท่านไปข้าพเจ้ายินดีขอขมาแก่ทุกท่าน"
ชายผู้บุกรุกที่แท้เป็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนามมู่ชิวป้า หลังจากขอขมาแก่ทุกคนจนหมดสิ้นแล้ว รีบหันมาตบคลายจุดให้แก่เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งและคนอื่น ๆที่ถูกจี้สกัดจุดเอาไว้ก่อนหน้านั้น เมื่อทั้งหมดเข้าใจกันดีแล้ว หนึ่งในหัวหน้าตึกทั้งสี่ได้สั่งให้เวรยามกลับไปอยู่ประจำจุด หลังจากนั้นทั้งหมดที่เหลือจึงทยอยพากันมายังห้องโถง
หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ยสั่งให้เด็กยกน้ำชามาให้แก่ทุกคนดื่มคลายหนาว หลังจากทุกคนหาที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกาฉวนหัวหน้าตึกคชสีห์จึงเอ๋ยถามเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าขึ้นว่า
"เหตุใดท่านมู่เดินทางมาไม่แจ้งล่วงหน้า? แถมยังบุกรุกเข้ามาทางด้านหลังตึกอีก ยังนับว่าโชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บล้มตาย ระยะนี้ท่านหลิวกงกงสั่งให้เข้มงวดกวดขัน พวกเราจึงไม่กล้าผิดพลาดแม้แต่น้อย"
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้ารีบตอบไปว่า
"ข้าพเจ้าเองเดินทางมาพร้อมศิษย์อีกสองคน เพื่อไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ระหว่างทางแวะเยี่ยมเยียนสหายผู้หนึ่ง จึงได้ให้ศิษย์สองคนเดินทางล่วงหน้ามาก่อน เมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระเร่งรุดติดตามมาแต่ไม่เห็นหน้าศิษย์ทั้งสอง บังเอิญระหว่างที่เดินทางพบเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งน่าสงสัยเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจภูตผี ข้าพเจ้าจึงรีบติดตามมาแต่แล้วมันหายตัวไป บริเวณที่มันหายไปเป็นละแวกด้านหลังของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ข้าพเจ้าจึงลองเข้ามาดูก็เจอพวกกับท่านนี่ละ"
"หากเป็นดั่งที่ท่านมู่กล่าวมาน่าสงสัย ค่ำคืนนี้เห็นทีเราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากให้แน่นหนากว่าที่เป็นอยู่ เช่นนั้นค่ำคืนนี้ท่านมู่พักยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเพื่อเก็บเรี่ยวแรงก่อน ไว้ฟ้าสางค่อยออกติดตามหาศิษย์ทั้งสองของท่านดีหรือไม่?"
ต๊กม้อเต็กลามะพระทิเบตกล่าวเสริมขึ้น หลังจากนั้นสั่งให้เด็กรับใช้จัดห้องพักให้เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าได้พักผ่อน แล้วทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งที่รับผิดชอบของตน
รุ่งอรุโณทัยไขแสง จ่านจือขยี้ตาพลางขยับกายลุกจากกองหญ้าแห้งที่ใช้หลับนอนเมื่อคืน เมื่อเหลียวมองไปทางด้านพี่สาวทั้งสองซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน กลับไม่พบนางทั้งสองแล้ว เขารีบดีดร่างลุกขึ้นพลางกระชับสายรัดเอวให้แน่นหนามากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่จ่านจือฝึกปรือกำลังภายในตามคำสั่งสอนของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เวลาหลับไหลมีความรู้สึกว่าเลือดลมภายในกายไหลเวียนราบรื่นไม่ติดขัด ลมหายใจยิ่งละเอียดอ่อนผ่อนเข้าปล่อยออกสม่ำเสมอ ที่ผ่านมาหากมีสิ่งใดผิดปกติมิอาจรอดพ้นโสตประสาทของเขาไปได้
แต่เมื่อคืนอาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผนวกกับความเศร้าโศกเสียใจร้องให้คิดถึงชะตากรรมของตนเอง ที่ต้องพลัดพรากเหลือตัวคนเดียวลำพัง คนที่รักมาตายจากจนหมดสิ้น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกตัวว่าศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวหายไปตั้งแต่เมื่อใด?
ฉับพลันทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังมากระทบโสตของจ่านจือ เป็นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่หนักแน่น เขาหลับตาลงผนึกสมาธิสงบจิตใจแล้วทดลองแยกแยะเสียงที่ดัง เสียงนั่นดังมาจากประตูทางเข้าศาลเจ้า ฝีเท้าแม้หนักแน่นแต่มิใช่ฝีเท้าบุรุษ ผู้ที่มามีทั้งสิ้นสองคนเสียงฝีเท้ามิได้ต้องการปกปิดซ่อนเร้น เป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากพี่สาวทั้งสอง เขากล่าวบอกกับตัวเอง ก่อนที่ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินจะก้าวข้ามผ่านประตูศาลเจ้าเข้ามา เขารีบทำทีเป็นนอนหลับไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงเสียงสดใสของเอวี้ยอี้เซินร้องเรียกดังเจื้อยแจ้วว่า
"เซี่ยวจือ เจ้ายังไม่ตื่นนอนอีกหรือ? นี่ก็สายมากแล้วลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วมารับประทานหมั่นโถวเร็วเข้า ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าจะต้องเดินทางไปเคารพหลุมฝังศพมารดา ข้ากับศิษย์พี่ตั้งใจจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย และจะได้บอกกล่าวต่อมารดาเจ้าว่าเราทั้งสองรับเจ้าเป็นน้องชายแล้ว มารดาของเจ้าจะได้ไม่เป็นห่วงอีกต่อไป"
จ่านจือแสร้งทำเป็นขยับตัวงัวเงียลุกขึ้นขยี้ตาไปมา เมื่อเห็นเอวี้ยอี้เซินยื่นส่งกระบอกน้ำมาให้ตรงหน้า รีบยื่นมือออกรับกระบอกน้ำจากเอวี้ยอี้เซินแล้วเดินไปมุมหนึ่งล้างหน้าล้างตา เสร็จสรรพเดินมานั่งกลางศาลเจ้ารวมกับซื่อเหมี่ยนและเอวี้ยอี้เซินพี่สาวทั้งสอง ซื่อเหมี่ยนเมื่อเห็นเขานั่งลงยื่นส่งหมั่นโถวให้สองลูกแล้วส่งเสียงกล่าวว่า
"นี่เป็นหมั่นโถวสองลูกของเจ้า ข้ากับอี้เซินเห็นเจ้านอนหลับสบายเลยไม่อยากรบกวน ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมากนักมีตลาดเล็ก ๆของชาวบ้านวางของขาย เราทั้งสองเห็นว่าเจ้าจะกลับไปกราบหลุมศพมารดา เลยหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นพร้อมกับอาหารแห้งจำนวนหนึ่ง อย่ามัวชักช้ารีบรับประทานหมั่นโถวเถอะกำลังร้อน ๆ"
จ่านจือรีบยื่นมือรับหมั่นโถวกัดคำหนึ่งหลังจากขบเคี้ยวแล้ว ส่งเสียงกล่าวขอบคุณต่อพี่สาวทั้งสองว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือต้องขอบคุณพี่สาวทั้งสอง พวกท่านช่างดีต่อข้าพเจ้านัก นอกจากมารดาผู้ล่วงลับกับสองเฮียม่วยรวมทั้งอาวุโสที่กังหนำแล้ว คงจะมีแต่ท่านทั้งสองที่ดีต่อข้าพเจ้า จ่านจือไม่มีญาติสนิทหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เมื่อท่านทั้งสองดีต่อข้าพเจ้าเพียงนี้ ต่อไปจ่านจือจะนับถือท่านทั้งสองเสมือนพี่สาวแท้ ๆไม่ทราบว่าพี่สาวทั้งสองจะรังเกียจจ่านจือหรือไม่?"
ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางทั้งสองเองไม่มีญาติพี่น้องเฉกเช่นเดียวกันกับจ่านจือ ที่ผ่านมาได้เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าผู้เป็นอาจารย์อบรมเลี้ยงดู พร้อมกับถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ นางเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าสงสารตกอยู่ในชะตาเดียวกับนาง จึงรับปากว่าจะรักเอ็นดูเขาเป็นดั่งน้องชายแท้ ๆซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวตอบเขาว่า
"เอาเถอะพี่สาวทั้งสองเองไม่มีน้องชาย ได้พบกันถือว่าเป็นวาสนา ข้าเองรวมทั้งซือม่วยต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้า เจ้าเองแสดงออกถึงความรู้สึกที่ดีต่อเราทั้งสอง ต่อจากนี้ไปเรียกข้าว่าพี่สาวใหญ่ เรียกศิษย์น้องข้าว่าพี่สาวรอง เจ้าเห็นว่าดีหรือไม่?"
จ่านจือปลาบปลื้มยินดีจนบอกไม่ถูก รู้สึกตื้นตันใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โผพุ่งเข้ากอดสองดรุณีอย่างลืมตัวโดยปราศจากเส้นแบ่งระหว่างชายหญิง ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินนางทั้งสองเองรู้สึกเอียงอายขวยเขินอยู่บ้าง ตั้งแต่เติบใหญ่มากระทั่งบัดนี้ยังไม่เคยมีชายใดได้แตะเนื้อต้องตัวแม้แต่ปลายก้อย เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันกะทันหันไม่ทันตั้งตัวพอคิดว่านางทั้งสองและจ่านจือแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจ มิมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อเด็กหนุ่มนับถือนางทั้งสองเป็นดั่งพี่สาว นางทั้งสองเองคิดว่าเขาเป็นดั่งน้องชายเช่นกัน จึงคลายความเอียงอายกอดตอบเขาไปพร้อมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สรุปแล้วปล่อยน้ำตาไหลซึมออกมาทั้งสามคน
"ต่อจากนี้ไปจ่านจือจะดูแลปกป้องพี่สาวทั้งสอง มิให้ผู้ใดมาทำอันตรายคิดร้ายต่อท่านทั้งสองได้อีก ว่าแต่เราจะออกเดินทางกันเลยหรือไม่? จ่านจือพร้อมจะออกเดินทางแล้ว"
จ่านจือกล่าวขึ้นหลังจากสวมกอดและปลอบประโลมกันพักหนึ่ง ทั้งสามหันมองหน้ากันเห็นคราบน้ำตาของกันและกัน ต่างหัวร่อออกมาด้วยความเบิกบานใจ
"ได้ยินว่าพี่สาวทั้งสองเดินทางล่วงหน้ามาก่อนอาจารย์ใช่หรือไม่? ยังไม่พบหน้าท่านเกรงว่าจะทำให้ท่านเป็นห่วง ก่อนออกเดินทางไปหมู่บ้ายเย้ยอรุณพี่สาวทำเครื่องหมายแจ้งบอกแก่ท่านอาจารย์ไว้จะดีหรือไม่?" จ่านจือแนะนำแก่พี่สาวทั้งสอง เมื่อนึกได้ว่านางทั้งสองบอกว่าอาจารย์กำลังติดตามมา
"เซี่ยวจือ ดูเจ้าเองเป็นคนไม่คิดมากแต่กลับมีความรอบคอบ พี่สาวทั้งสองกลับลืมคิดถึงเรื่องนี้ดีที่เจ้าเตือนขึ้นเสียก่อน เช่นนั้นพอเข้าเส้นทางหลักค่อยทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ก็แล้วกัน" เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือ
ซื่อเหมี่ยนเห็นว่าเหลือเวลาอีกราวครึ่งเดือนกว่า ก่อนจะถึงงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน เมื่อเห็นว่าจ่านจือจะเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณเพื่อกราบหลุมฝังศพมารดา จึงปรึกษากันตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเขา นางทั้งสองเองเมื่อห้าปีก่อนเคยเดินทางไปยังสถานที่นั่น ครั้งที่ติดตามอาจารย์ออกค้นหาคนร้ายที่ใช้ฝ่ามือลึกลับฆ่าคนตาย เมื่อถึงเส้นทางหลักทำเครื่องหมายแล้วเดินทางต่อทันที จุดหมายเป็นหมู่บ้านเย้ยอรุณ ขณะก้าวเดินส่งเสียงบอกกล่าวต่อจ่านจือว่า
"ความจริงแล้วพี่สาวทั้งสองจะเดินทางไปวัดเส้าหลิน เพื่อไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์พร้อมกับอาจารย์ แต่ยังหลงเหลือเวลาอีกมากโขทิ้งเครื่องหมายเอาไว้แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องอาจารย์ ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นธุระของเจ้าแล้วค่อยเดินทางไปยังไม่สาย อีกอย่างพี่สาวทั้งสองจะพาเจ้าไปเส้าหลินด้วย ในวันงานคงมีชาวยุทธ์และผู้คนมากมายเจ้าจะได้เปิดหูเปิดตา เมื่อพบอาจารย์แล้วพี่สาวทั้งสองจะขอร้องให้ท่านรับเจ้าเป็นศิษย์ เซี่ยวจือเจ้าจะได้เรียนรู้วรยุทธ์เอาไว้ป้องกันตัวและช่วยเหลือผู้อื่นเจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร?"
จ่านจือรู้สึกยินดีที่พี่สาวทั้งสองจะร่วมเดินทางไปด้วย อีกอย่างเขาเองต้องเดินทางไปวัดเส้าหลินด้วยเช่นกัน ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งนัดหมายให้เด็กหนุ่มมาพบที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุนอีกสิบวันข้างหน้า ท่านสั่งอีกว่าหากเขามาแล้วไม่พบท่าน ให้สังเกตเครื่องหมายที่ท่านทิ้งไว้ จือน้อยจดจำได้แม่นยำดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบพี่สาวทั้งสองไปว่า
"ข้าพเจ้ายินดียิ่งหากพี่ใหญ่และพี่รองจะเดินทางไปด้วยกับจ่านจือ วิญญาณท่านแม่เองคงยินดี ที่บัดนี้ข้าพเจ้ามีพี่สาวแสนดีและงดงามถึงสองคน ส่วนเรื่องที่จะขอร้องให้อาจารย์ของพี่สาวทั้งสองรับจ่านจือเป็นศิษย์ค่อยว่ากันอีกทีได้หรือไม่? งานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินมีผู้คนมากมายปานนั้นเชียว?"
"ถูกต้องแล้วเซี่ยวจือ งานชุมนุมชาวยุทธ์นอกจากเชิญชาวยุทธ์ทั้งหมดแล้ว ในวันนั้นยังจะมีการเลือกผู้นำชาวยุทธ์อย่างเป็นทางการด้วย มีเรื่องราวมากมายที่ชาวยุทธ์ต้องแบกรับร่วมกัน ดังนั้นจะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งและเที่ยงตรงมีคุณธรรม ในเวลานี้ท่านเจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินดำรงตำแหน่งชั่วคราว อีกราวครึ่งเดือนจะทราบว่าผู้ใดจะถูกคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนต่อไป"
เอวี้ยอี้เซินกล่าวตอบจ่านจือ พร้อมกับบอกกล่าวคร่าว ๆเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่กำลังจะมาถึงว่ามีอะไรบ้าง จ่านจือตอนแรกคิดจะสอบถามเพิ่มเติมอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยุทธ์แต่เกรงว่าจะเป็นที่สงสัยแก่พี่สาวทั้งสองจึงไม่ถามต่อ ครั้งที่อาศัยอยู่หุบเขาผีเสื้อ อาจารย์ของเขาไม่ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพให้รับรู้ไม่มากนัก แต่เขาเองพอคาดเดาได้ว่าอาจารย์ให้ความสนใจและกระตือรือร้นต่องานครั้งนี้มาก สิบห้าปีที่ท่านเร้นกายไม่เคยปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์ งานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินจะต้องมีความสำคัญต่อท่านอย่างแน่นอน
ทั้งสามเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเย้ยอรุณ จ่านจือหัวใจเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะ รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก สิบห้าปีที่จากไปได้หวนกลับมาอีกครั้งไม่ทราบว่าสภาพทั่วไปจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายสักเพียงใด?
หมู่ตึกกระเรียนฟ้าเช้านี้เกิดเรื่องโกลาหลอลหม่านขึ้น กลางห้องโถงใหญ่นอนไว้ด้วยซากศพร่างหนึ่ง ไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองชั่วยาม เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆสภาพศพไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ปราศจากบาดแผลเสื้อผ้าอาภรณ์ไม่มีริ้วรอยฉีกขาดแต่ประการใด แต่ว่าอวัยวะภายในกลับแหลกเหลวละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
ไม่มีผู้ใดในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ารู้แจ้งเห็นชัด ว่าหลิวกงกงกลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่นอนที่สุดเวลานี้หลิวกงกงยืนอยู่ด้านหน้าของร่างที่นอนแน่นิ่งนั่น หลิวกงกงสำรวจตรวจสอบร่างไร้ลมหายใจอยู่ไปมา แล้วออกคำสั่งให้ไปเรียกทุกคนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามารวมตัวกันโดยด่วนที่สุด
ไม่นานนักทุกคนต่างรีบมารวมตัวกันยังห้องโถงใหญ่ รวมทั้งเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าท่านรีบรุดออกมาจากห้องพักด้วยเช่นกันเมื่อทราบข่าว เด็กรับใช้และบริวารถูกหลิวกงกงออกคำสั่งให้ไปยืนรวมกันฟากหนึ่งของห้องโถง อีกด้านหนึ่งยืนเรียงรายอยู่ด้วยต๊กม้อเต็กลามะ เล่อต้าเต๋อ เสิ่นซื่อสูอวี้ เจียฮุย เจียจิ้ง อันสุ่ย ฉีฝ่าน ต้าถง ผู้ที่หายไปมีเพียงหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนแต่เพียงผู้เดียว
ในตอนแรกมีหลายคนสงสัยว่ามันหายไปไหน แต่พอเห็นซากศพคนตายพลันหายสงสัย แท้จริงมันมิได้หายไปไหน เพียงแต่มันทอดร่างเป็นซากศพไร้วิญญาณอยู่กลางห้องโถงนั่นเอง ทุกคนมีท่าทีตื่นตระหนกตกใจเมื่อเห็นร่างของมันกลายเป็นซากศพ หลิวกงกงสอบถามทุกคนต่างไม่มีผู้ใดรู้เห็น ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดที่ลงมือด้วยอำมหิตโหดเหี้ยม
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเองรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยความรีบร้อนจึงลืมหยิบเสื้อคลุมสวมทับออกมาจากห้องพัก หลิวกงกงสั่งให้เคลื่อนย้ายศพไปไว้ยังห้องชั้นใน แล้วให้คนอื่น ๆแยกย้ายกันไปได้ หลงเหลือไว้เพียงแต่ยอดฝีมือกับมือดีภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ที่ยืนอยู่ฟากหนึ่งของห้องโถงเท่านั้น
หลิวกงกงสั่งให้แยกย้ายกันตรวจค้นเพื่อหาร่องรอยหลักฐานของคนร้าย ทุกตารางนิ้วภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าห้ามตกหล่น ทุกคนรีบแยกย้ายทำตามทำสั่ง มีเพียงห้องพักของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า หลิวกงกงสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไป ด้วยเห็นว่าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวเป็นแขกและคนคุ้นเคยกันมาเนิ่นนานนั่นเอง
"ท่านหลิวกงกง ข้าพเจ้ามู่ชิวป้าขอแสดงความเสียใจกับท่านด้วย มีคนถูกฆ่าตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นแม้แต่เพียงผู้เดียว ผู้ลงมือคงเป็นยอดฝีมืออันร้ายกาจน่ากลัว และเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ลงมือสังหารเจ็ดศพในครั้งก่อน อีกทั้งยังลงมือฆ่าคนที่หมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขา หัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนนับได้ว่าเป็นมือดีอยู่กับท่านมานาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถซื่อสัตย์ภักดี บุคคลเช่นนี้ช่างหายากยิ่งไม่น่าจะต้องมาตายอนาถเช่นนี้"
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าแสดงความรู้สึกเสียใจ พร้อมกับประสานมือต่อหลิวกงกง หลิวกงกงประสานสองมือรับพลางกล่าวว่า
"ขอบคุณในน้ำใจของท่านมู่ ท่านเองมาเป็นแขกหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของข้าพเจ้า กลับต้องมาพบพานเรื่องราวน่าเศร้าเสียใจ ข้าพเจ้าเองต้องขออภัยท่านมู่ด้วยเช่นกัน"
เมื่อหลิวกงกงกล่าวเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าจึงใช้สองมือตบหัวไหล่ทั้งสองเบา ๆเป็นการปลอบใจ ท่านเองกับหลิวกงกงคุ้นเคยกันมานาน จึงมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ หลิวกงกงยกมือขึ้นมาตบหลังมือของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าซึ่งวางอยู่บนหัวไหล่ซ้ายของตน แล้วเอ่ยกล่าวว่า
"ท่านเองลำบากไม่น้อย ในฐานะที่ข้าพเจ้าหลิวซุ่นเป็นเจ้าบ้าน ขอเดินไปส่งท่านมู่ที่ห้องพักก็แล้วกัน ท่านยังแต่งกายไม่เรียบร้อยคงเป็นเพราะรีบร้อน อีกสักครู่ค่อยมาสมทบกับคนอื่น ๆอีกไม่นานคงทราบว่าได้หลักฐานใดบ้างหรือไม่? เชิญท่านมู่"
หลิวกงกงเห็นเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าไม่ได้สวมเสื้อคลุมทับออกมา จึงอาสาเดินไปส่งยังห้องพัก ทั้งสองเดินไปสนทนากันไปเพียงไม่กี่ประโยค เมื่อถึงห้องพักของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ซึ่งตั้งอยู่ในตัวตึกคชสีห์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า พอเข้าไปยังห้องพักสภาพภายในยังไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก ที่นอนผ้าห่มยังมิได้เก็บเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าจึงขอตัวเก็บที่นอนสักครู่ ปล่อยให้หลิวกงกงยืนรอด้วยเกรงอกเกรงใจ
หลิวกงกงขณะยืนรอเหลือบแลเห็นเสื้อคลุมตัวหนึ่งเป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี เส้นด้ายทอละเอียดประณีตสีครามเข้ม หลิวกงกงมองผ่านเผิน ๆรู้ว่าเป็นผ้าของร้านขายผ้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือชื่อ "ต่วนซัว" เป็นร้านขายผ้าที่มีคุณภาพดีที่สุด รวบรวมผ้าเนื้อดีจากทั่วสารทิศมาวางขายที่นี่
หลิวกงกงเดินไปหยิบเสื้อคลุมของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ที่แขวนอยู่บนผนังข้าง ๆเตียงนอน แล้วเดินมายื่นส่งให้เจ้าหุบเขามู่ชิวป้า เจ้าหุบเขากล่าวขอบคุณพลางสวมเสื้อคลุมทับเสร็จสรรพแล้ว จึงพากันเดินออกมาจากห้องพักไปยังห้องโถงด้านใน ซึ่งใช้เก็บร่างคนตายไว้นั่นเอง
ทั้งสองเดินตรงมาเลี้ยวซ้ายไปห้าวาถึงห้องที่เก็บศพไว้ พอมาถึงได้สักพักคนอื่น ๆที่แยกย้ายกันไปตรวจค้นตามซอกมุมของตัวตึกและห้องหับต่าง ๆพลางทยอยมาถึง เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าหลิวกงกงกล่าวถามขึ้นทันทีว่า
"ท่านทั้งหลายได้ร่องรอยน่าสงสัยใดบ้าง? ตรวจค้นทั่วบริเวณแล้วพบสิ่งใดผิดปกติที่คนร้ายทิ้งไว้หรือไม่?"
ทุกคนที่ออกตรวจค้นต่างให้คำตอบเหมือนกัน นั้นคือไม่พบร่องรอยหลักฐานใดที่พอจะสืบสาวหาตัวคนร้าย
"เช่นนั้นข้าพเจ้าจะลองตรวจค้นร่างเกาฉวนอีกให้แน่ใจ ก่อนที่จะนำร่างของมันไปฝังให้เรียบร้อย เผื่อมีหลักฐานใดให้สืบสาวได้บ้าง พวกท่านทั้งหลายมาช่วยข้าพเจ้าด้วยอีกแรง"
หลิวกงกงกล่าวชักชวนพลางตรวจค้นตามร่างของผู้ตายอีกครั้ง ตรวจค้นดูอยู่สองสามเที่ยวไม่พบสิ่งใด ฉับพลันนั้นเองเสียงผู้คนร้องขึ้น
"ท่านหลิวกงกง!! ท่านหลิวกงกง!! รีบมาดูตรงนี้เร็วเข้า ที่มือของเกาฉวนกำบางสิ่งเอาไว้?"
เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งร้องเรียกหลิวกงกงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อหลิวกงกงออกแรงง้างดึงนิ้วมือของผู้ตายออก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนคือ เศษชิ้นของผ้าแถบหนึ่ง คาดว่าผู้ตายคงตะปบเอาไว้ตอนถูกทำร้าย หลิวกงกงหยิบชิ้นผ้านั้นขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า
"ในที่สุดเราได้หลักฐานเพื่อเป็นเบาะแสหาตัวคนร้าย ต้องกล่าวขอบคุณดวงวิญญาณเกาฉวนแม้ตายไป กลับทิ้งหลักฐานใช้เปิดโปงโฉมหน้าของคนร้ายรายนี้ มิฉะนั้นจะต้องมีผู้คนต้องตกตายภายใต้ฝ่ามือลึกลับนี้อีกหลายคน ท่านทั้งหลายเชิญชมดูว่าเคยเห็นผ้าลักษณะนี้ที่ใดบ้างหรือไม่?"
หลิวกงกงหยิบยื่นเศษผ้าชิ้นนั้นให้ทุกคนชมดูจนถ้วนทั่ว เศษผ้าชิ้นนั้นมีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ เป็นผ้าเนื้อดีสีครามเข้มทุกคนชมดูพลางใช้ความคิดพิจารณา นึกดูว่าเคยเห็นผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ลักษณะที่เห็นบ้างหรือไม่?
ทุกคนในที่นั่นต่างครุ่นคิดว่าผู้ใดกันที่เป็นเจ้าของเศษผ้าชิ้นนั้น และเป็นฆาตกรลงมือเข่นฆ่าชาวยุทธ์อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้ากลับมีความรู้สึกว่าเศษผ้าชิ้นนั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก ก่อนที่เจ้าหุบผาพยัคฆ์ขาวจะนึกออกว่าเคยเห็นผ้าลักษณะนี้จากที่ใด พลันสายตาทุกคู่ในที่นั่นจับจ้องมายังร่างของท่านดุจอินทรีจับจ้องเหยื่อมิปาน
เสี้ยวเวลานั้นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าพลันคิดออกโดยฉับพลันทันใด ว่าเศษผ้าชิ้นนั้นทำไมช่างคุ้นตานัก จะมิให้คุ้นได้เช่นไรในเมื่อผ้าแบบเดียวกันนั้นบัดนี้มันอยู่บนร่างของท่านเอง เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าร่ำร้องในใจว่าครั้งนี้ย่ำแย่แล้ว แม้คิดจะแก้ต่างให้กับตนเองคงไร้ผล ในเมื่อหลักฐานมัดร่างแน่นหนาขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังตกอยู่ในวงล้อมของคมเขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมังกรอีก น้ำบ่อคงมิอาจต้านไฟป่าอันบ้าคลั่งโหมรุนแรง กระต่ายเปรียวยังยากรอดพ้นมือนายพรานชำนาญป่า
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าพลันตัดใจเตรียมพร้อมเกร็งลมปราณขึ้นทั่วร่าง ผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นอันดับแรกคือต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะทิเบต ติดตามมาด้วยสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ทั้งสองยังไม่หายโกรธแค้นเจ้าหุบเขาเท่าใดนักที่เมื่อคืนถูกสยบโดยมิทันได้ลงมือ คราครั้งนี้ได้โอกาสเนื่องด้วยมีผู้ช่วยอันเข้มแข็งอยู่มากมายหลายคน มิฉะนั้นคงหมดโอกาสล้างอายในเหตุการณ์เมื่อคืนนี้
ต๊กม้อเต็กลามะบรรลุถึงก่อนสองเทวทูตซ้ายขวาครึ่งก้าว ห่วงทองสองวงประกบติดกันบรรจุพลังลมปราณเปี่ยมล้น ฟาดเฉียง ๆจากด้านบนซ้ายไปขวาตำแหน่งหัวไหล่ของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า บังเกิดเป็นคลื่นลมดังอื้ออึงพลังลมปราณปกคลุมทั่วบริเวณ ก่อนที่ห่วงทองจะต้องร่างสัมผัสกาย เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าผลักสองฝ่ามือออกเสมอหน้าอก พร้อมกับพุ่งร่างถอยหลังไปสามก้าว
เสียงทึบหนัก ๆดังขึ้นพร้อมกับร่างของสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งที่เพิ่งบรรลุมาถึงกระเด็นกลับหลังไปวาเศษ เนื่องด้วยต๊กม้อเต็กลามะใช้ท่าร่างอันรวดเร็วทะยานลอยตัวขึ้นเหนือศีรษะราวสองวา ลามะรูปนี้คาดเดาออกว่าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวใช้กระบวนท่าฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดตั้งแต่เห็นท่านเร่งเร้ากำลังภายในถึงขีดสุด จึงรู้แน่ว่าเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าคิดแลกชีวิตกับท่านนั่นเอง
สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งถูกพลังฝ่ามือกระแทกจนลุกไม่ขึ้น ยังนับว่าโชคดีที่ทั้งสองเกร็งพลังลมปราณคุ้มครองกายป้องกันไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นยังส่งผลให้ทั้งสองบอบช้ำภายในสาหัส เมื่อต๊กม้อเต็กลามะทิ้งร่างลงสู่พื้นเป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าชิงพุ่งร่างออกทางหน้าต่างพอดี
เมื่อออกมาด้านนอกในห้วงความคิดของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า คิดว่าขอเพียงหนีรอดจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าไปก่อนเป็นใช้ได้ ภายหน้าค่อยหาทางล้างความผิดแต่ดูเหมือนหนทางหนีช่างถูกบีบให้คับแคบเสียนี่กระไร เมื่อเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายทะยานตามติดดุจเงาร่างของตนเอง
ด้านขวามือของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าเป็นหัวหน้าตึกสามคนอันสุ่ยกับฉีฝ่านและต้าถงเร่งรุดมาถึง ทั้งสามอยู่ห่างราวสองวาเจ้าหุบเขามู่ชิวป้ารู้แก่ใจว่าทั้งสามมิใช่คู่มือของท่าน ดังนั้นพุ่งเข้าหาคนทั้งสามพร้อมกับหมัดซ้ายขวาต่อยออกติดต่อกันสิบกว่าหมัด เสียงพลังหมัดและฝ่ามือปะทะกันดังไม่ยั้งหยุด ยอดฝีมือประกระบวนท่าผลแพ้ชนะวัดกันเพียงเศษเสี้ยวพริบตา เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าอาศัยช่วงจังหวะนั้น เปลี่ยนจากหมัดเป็นสองนิ้วจี้เข้าใส่ทั้งสามคนตำแหน่งไหปลาร้า นี่เป็นวิชาจี้สกัดจุดที่รวดเร็วและแยบคายพิสดาร
ร่างของอันสุ่ยกับฉีฝ่านและต้าถง ทั้งสามต่างยืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว เจ้าหุบเขามูชิวป้ามิรอช้ารีบพุ่งร่างหลบหนีไปทางศาลเจ้า เบื้องหลังยังคงตามติดด้วยต๊กม้อเต็กลามะ เล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้ ส่วนหลิวกงกงมิได้ติดตามมาท่านตรงเข้าไปคลายจุดให้กับสามคนที่ถูกสกัดจุดเอาไว้ก่อนหน้านั้น
ทั้งสามติดตามมาถึงศาลเจ้าราวครึ่งลี้จึงตามทัน สามคนแยกย้ายกันเข้าโอบล้อมเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าไว้ ช่วงจังหวะนั้นจ่านจือกับซื่อเหมี่ยนและเอวี้ยอี้เซินเดินทางมาถึงบริเวณนั้นพอดี เมื่อศิษย์สตรีทั้งสองเห็นอาจารย์ของนางตกอยู่ในวงล้อมจึงส่งเสียงร้องตะโกนเรียกขึ้นว่า
"ท่านอาจารย์!!"
ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินมิรอช้ารีบชักกระบี่ออกจากฝัก พุ่งร่างตรงเข้าไปช่วยเหลืออาจารย์รับมืออีกแรงโดยมิรอช้า เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเห็นศิษย์ทั้งสองจึงร้องบอกว่า
"ซื่อเหมี่ยน อี้เซิน เจ้าทั้งสองมิใช่คู่มือของพวกเขา เจ้าทั้งสองรีบหนีไปบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินท่านฟัง บอกว่าอาจารย์จะไปชี้แจงความจริงในวันชุมนุมชาวยุทธ์ แจ้งต่อท่านว่าอาจารย์ถูกคนใส่ร้ายป้ายสี ว่าฆ่าคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า"
ยังมิทันสิ้นเสียงของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เสิ่นซื่อสูอวี้ชิงกล่าวขึ้นว่า
"เห็นทีคำสั่งของเจ้าหุบเขา ศิษย์ทั้งสองของท่านคงมิอาจปฏิบัติตามได้ ข้าพเจ้าว่าฝากคำพูดทั้งหมดไปถึงยมบาลยังง่ายดายกว่า วันนี้พวกเราจะต้องเอาชีวิตเจ้าพร้อมกับศิษย์แก้แค้นให้แก่เกาฉวนให้จงได้"
กล่าวจบเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ ต่างพุ่งร่างเข้าหาศิษย์ทั้งสองของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าพร้อมอาวุธประจำกาย แต่ก่อนที่ทั้งสองจะบรรลุถึงเพียงหนึ่งก้าว ร่างหนึ่งพลันกระโดดเข้าขัดขวางเอาไว้เป็นจ่านจือเอง เมื่อกระโดดเข้าขวางร่างแทบแนบชิดกับสองคนนั่น ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินเห็นเขากระโดดเอาร่างขวางไว้ ต่างตกใจถึงที่สุดทราบว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ์ นางทั้งสองยามตกใจส่งเสียงร้องเรียกจ่านจือโดยมิได้นัดหมาย
"เซี่ยวจือ!!"
"พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านทั้งสองถอยไปมิต้องห่วงข้าพเจ้า คนเหล่านี้มอบให้เซี่ยวจือรับมือเอง จำมิได้หรือข้าพเจ้าบอกว่าจะคุ้มครองพี่สาวทั้งสอง" จ่านจือกล่าวจบร่ายรำกระบวนท่าที่หนึ่งในวิชาดาวดึงส์ แล้วผลักสองฝ่ามือออกก่อเกิดเป็นพลังดังทึบทึบพุ่งเข้าปะทะกับอาวุธของคนทั้งสอง
แต่ถึงเช่นไรทั้งคนสองต่างเป็นยอดฝีมือ เสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อพุ่งร่างเฉียง ๆไปทางซ้ายขวาคนละทิศคนละทาง ทั้งสองมิเคยเห็นกระบวนท่าวิชาที่จ่านจือใช้ ดังนั้นรู้สึกตกใจในกระบวนท่ายามลนลานจึงมิกล้าปะทะโดยตรง ทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า กำลังปะทะกระบวนท่ากับต๊กม้อเต็กลามะอย่างอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะดำเนินต่อไปเช่นไรนั้น พลันเสียงหนึ่งตะโกนร้องเรียกจ่านจือเขารู้สึกคุ้นหูยิ่งนัก พร้อมวัตถุสิ่งหนึ่งซัดขว้างมา เมื่อตกถึงพื้นแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันสีม่วงอมเทากระจายไปทั่วบริเวณ
"จ่านจือ!!"
เมื่อกลุ่มควันเบาบางจางลงทุกคนต่างอันตรธานหายไปสิ้น คงเหลือแต่เพียงต๊กม้อเต็กลามะกับเสิ่นซื่อสูอวี้และเล่อต้าเต๋อ ทั้งสามตะลึงพรึงเพริดงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งบังเกิด สุกรกำลังจะหามกลับมีคนเอาคานเข้ามาสอด แถมยังแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตาน่าเจ็บใจจนแทบจะระเบิดออกมา
หยกเหินลม/ชล ชโลทร