บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 จือน้อยท่องยุทธภพ

ราวห้าเดือนที่จ่านจือถูกอาจารย์ปล่อยให้ฝึกปรือวิชาอยู่ในหุบเขาผีเสื้อโดยลำพัง เขาตั้งอกตั้งใจไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไร้ประโยชน์ วิชาดาวดึงส์ที่ได้รับถ่ายทอดจากเจ้าโอสถสายรุ้งในตอนนี้เขาใช้ออกอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ลมปราณในร่างเพิ่มพูนเปี่ยมล้นจนแทบทะลักทะล้นออกมาภายนอก จ่านจือกู่ร้องก้องหุบเขาฟาดฝ่ามือออกทำเอาโขดหินใหญ่ตรงหน้าแหลกละเอียดเป็นผุยผง เมื่อได้ระบายลมปราณผ่านฝ่ามือออกมาบ้างรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิมมากนัก

มาตรแม้นจ่านจือรู้ตัวว่าภายในร่างสะสมพลังอันมหาศาลเอาไว้ แต่บางครั้งคราวที่เขาโคจรพลังผ่านจุดต่าง ๆรู้สึกติดขัดไม่ลื่นไหลเท่าใดนัก เคล็ดการเหนี่ยวรั้ง เก็บกัก โยกย้าย และใช้ออกล้วนกระทำถูกต้องทุกขั้นตอน ดังนั้นจึงคิดว่าออกจากหุบเขาผีเสื้อพบหน้าอาจารย์แล้วสอบถามดูอีกที

ยามเช้าของวันรุ่งขึ้นคือกำหนดเดินทางออกจากหุบเขาผีเสื้อของจ่านจือ ค่ำคืนนี้หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว เขารวบรวมตัวยาสมุนไพรต่าง ๆพกพาติดตัว เผื่อเก็บไว้ใช้ในยามคับขัน เขาเองไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่หลายชุด จะมีแต่ชุดที่สวมใส่อยู่เป็นประจำที่เก่าหม่นหมองมองไม่เห็นสีเดิม บางตำแหน่งยังเพิ่มร่องรอยของการปะชุนอยู่หลายจุด ดังนั้นเขาจึงไม่มีสัมภาระที่จะต้องนำพาติดตัวตอนเดินทางมากนัก

ก่อนที่อาจารย์ของเขาจะออกจากหุบเขาผีเสื้อไปได้สั่งจ่านจือไว้ว่า ให้ติดตามท่านไปอีกราวห้าเดือนหลังจากท่านออกไปแล้ว และให้เขาใช้เส้นทางลับในห้องใต้ดินออกจากหุบเขาผีเสื้อ เพื่อจะได้ไม่มีผู้ใดพบเห็นตอนออกมานั่นเอง

จ่านจือรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่จะได้กลับสู่จงหยวนซึ่งเป็นมาตุภูมิถิ่นเกิด อีกความรู้สึกหนึ่งกลับอาลัยอาวรณ์ต่อสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย หุบเขาผีเสื้อทุกตารางนิ้วเขาล้วนจดจำฝังใจ หากมิใช่สถานที่แห่งนี้ที่เพาะสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง และเรียนรู้ตำรายาสมุนไพรต่าง ๆอีกทั้งยังสำเร็จวิชาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ทราบว่าจากไปคราวนี้อีกเมื่อไหร่จะได้หวนกลับมา

เขาบรรยายความรู้สึกตัวเองไม่ถูกในยามนี้ กระทั่งไม่ทราบว่าหลับไหลไปในเวลาใด? รู้สึกตัวอีกครั้งใกล้รุ่งสางของวันใหม่ จ่านจือมิรอช้ารีบลุกขึ้นทำธุระส่วนตัวรับประทานอาหารรองท้องแบบลวก ๆแล้วเลื่อนแคร่ไม้ไผ่ใช้เส้นทางลับออกจากหุบเขาผีเสื้อ ก่อนจะเลื่อนแคร่ไม้ไผ่ปิดลงเขาส่งเสียงกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “จือน้อยท่องยุทธภพ” แล้วรีบใช้เส้นทางลับออกจากหุบเขาผีเสื้อในทันที

หลังเดินทางออกมาจากหุบเขาผีเสื้อได้สามวัน จ่านจือบรรลุถึงเขตนครหลวงลั่วหยางเป็นเวลาเย็นย่ำ ตอนนี้โพล้เพล้แสงแห่งทิวาค่อย ๆจางหายไปไปทีละน้อย ความมืดแห่งราตรีกาลค่อย ๆคืบคลานเข้าปกคลุม เขามิได้หาโรงเตี้ยมพักอ้างค้างค้างแรม แต่เสาะหาศาลเจ้าที่หนึ่ง ไม่นานนักพบศาลเจ้าสภาพเก่าแต่ไม่ถึงกับผุพังหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปสำรวจดูพบว่าไม่มีผู้คน เดินสำรวจดูรอบศาลเจ้าเห็นว่าปลอดภัยใช้อาศัยหลับนอนได้

ดังนั้นจ่านจือจึงตกลงใจว่าค่ำคืนนี้จะยึดสถานที่แห่งนี้เป็นที่หลับนอน หลังจากเลือกหามุมเหมาะเจาะสำหรับหลับนอนได้แล้ว ล้วงหมั่นโถว(ซาลาเปาไม่มีไส้)ที่ซื้อหาระหว่างทางสองลูกออกมาจากห่อผ้ารับประทาน เมื่อดื่มน้ำตามเป็นอันว่าเสร็จสิ้น ดังนั้นเขาคิดว่าลองออกไปตรวจตราดูโดยรอบอีกสักครั้ง อาจารย์หมั่นสั่งสอนให้เป็นคนรอบคอบไม่ประมาท หากเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันจะได้ไม่ลำบาก หากรู้จักวางแผนหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า ถึงแม้พบพายอดฝีมือยังสามารถเอาตัวรอดอยู่สามส่วน

จ่านจือไม่ลืมที่จะหยิบกระบอกน้ำดื่มออกมาเติมน้ำด้วย คาดว่าห่างออกไปเป็นป่าไผ่คงมีลำธารน้ำใสให้ตักตวง ฉับพลันทันใดนั้นริมโสตสัมผัสได้ถึงความผิดปกติดังมาจากทิศเหนือของศาลเจ้า ไม่ได้การต้องรีบรุดไปชมดูว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น เขาบอกกับตัวเองพร้อมกับพุ่งร่างไปตามทิศทางที่มาของเสียง

หากเป็นกาลก่อนตอนยังไม่ฝึกยุทธ์เขาอาจไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขาคล้ายเป็นคนใหม่มิใช่เด็กน้อยชาวบ้านร้านถิ่นไร้ฝีมือ ตั้งแต่เล็กมารดาบุญธรรมปลูกฝังให้เป็นคนมีน้ำใจ หากสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้แม้เพียงน้อยนิดไม่ควรมองข้าม ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้รับการช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลเฟิ่น หากวันนั้นสองเฮียม่วยไม่ผ่านมาและยื่นมือช่วยเหลือเขาไว้ ป่านนี้คงไม่มีจ่านจือจอมยุทธ์น้อยในวันนี้

ดังนั้นจ่านจือจึงตั้งปณิธานกับตัวเองหากพบเห็นเรื่องราวใดไม่ถูกต้อง หรือคนบริสุทธิ์ถูกรังแกข่มเหงจะยื่นมือเข้าช่วยโดยทันที อย่าว่าแต่เป็นคนแม้สัตว์เดรัจฉานเขาไม่เกี่ยงที่จะช่วยเหลือ ไม่รอช้าเขาเพิ่มความเร็วพุ่งร่างไปยังทิศทางที่มาของเสียงนั้น

คาดการณ์ไว้ไม่ผิดเพี้ยน พื้นโล่งเตียนห่างไปไม่ไกลเท่าใดนัก มองเห็นคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน อย่าด่วนตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นคนดีคนร้าย หากใจเร็วด่วนตัดสินใจช่วยคนผิดพลาด แทนที่จะช่วยคนบริสุทธิ์จะเป็นการทำร้ายซ้ำเติม ดังนั้นจ่านจือดีดกายขึ้นซ่อนตัวยังคบไม้ไม่ไกลนัก

ยามนี้จ่านจือสามารถแยกแยะได้แล้วคนร้ายมีด้วยกันห้าคน ทั้งหมดสวมชุดดำอำพรางกายคลุมหน้ามิดชิดเห็นเพียงลูกตา ผู้ที่ถูกไล่ล่าติดตามเป็นดรุณีสองนางแต่งกายรัดกุม พอกะประมาณอายุได้ไม่เกินยี่สิบห้าปี ดูจากฝีมือสองนางไม่ต่างกันเท่าใดนัก กระบวนท่าที่โต้ตอบกลับไปไม่เป็นรองผู้ที่ติดตามมา แต่ทว่าคนน้อยย่อมอ่อนด้อยเสียเปรียบเป็นธรรมดา แต่ถึงกระนั้นดรุณีสองนางหากริ่งเกรงคนร้ายไม่? ทั้งคู่สู้พลางถอยพลางกระบี่ในมือตวัดกวัดแกว่งเป็นวงกว้างสกัดขัดขวาง

ดรุณีสองนางเกรงจะถูกโอบล้อมจึงแยกย้ายออกเป็นสองด้าน ดรุณีที่มีใบหน้าอ่อนวัยกว่ารับมือกับคนร้ายชุดดำสองคน ดรุณีที่ใบหน้าดูมีอายุกว่าเล็กน้อยรับมือกับชุดดำอีกสามคน คนร้ายชุดดำสามคนเห็นเช่นนั้นไม่สนใจว่าเป็นสตรีอ่อนแอกว่า พวกมันทั้งสามพากันเสือกกระบี่เข้าใส่โดยพร้อมเพรียง

ดูจากการลงมือคิดว่าพวกมันต้องการชีวิตของดรุณีทั้งสอง หากมิเช่นนั้นแล้วคงไม่ลงมือหักโหมรุนแรงถึงเพียงนี้ ดรุณีนางนั้นเห็นกระบี่สามเล่มเสือกแทงตำแหน่งท่อนล่างอย่างหักโหม เบี่ยงตัวออกด้านข้างพลางหมุนตัวไขว่สลับขามาด้านหลังครึ่งก้าว พอเท้าทั้งสองสัมผัสพื้นยื่นกระบี่ในมือฟันฟาดปาดเฉียง ๆจากขวามาซ้าย ปลายกระบี่ของนางเขี่ยโดนปลายกระบี่สามเล่มที่ทิ่มแทงเข้ามาเกิดเป็นประกายไฟแปลบปลาบชวนหวาดเสียว

เมื่อทำลายสภาวะอันเกรี้ยวกราวของกระบี่ทั้งสามเล่มเบาบางลง นางใช้กระบี่ในมือปัดซ้ายป่ายขวาปิดป้อง หากเปรียบเทียบแล้วโอกาสที่นางจะโต้ตอบคนร้ายได้มีเพียงสามในสิบส่วน ดูท่าแล้วอีกไม่นานคงถูกคนร้ายสามคนเอาชีวิตไป

ทางด้านดรุณีอีกนางซึ่งอ่อนวัยกว่า ถูกสองชุดดำพัวพันอยู่เช่นเดียวกัน มีอยู่หลายครั้งที่คมกระบี่คนร้ายกรีดผ่านข้างกายนางไป เห็นแล้วชวนหวาดเสียวยิ่งนัก การต่อสู้ยังคงไม่จบสิ้นหากไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแดดิ้นสิ้นใจลงตรงนั้น ต่อสู้ติดพันกันอยู่สักครู่ใหญ่ จ่านจือแลเห็นดรุณีที่ต่อสู้กับคนร้ายสามคนพลาดท่าเสียที ถูกฝ่ามือของคนร้ายหนึ่งในสามคนกระแทกเข้าใส่ที่หัวไหล่เต็มแรง โชคดีที่เป็นฝ่ามือมิใช่กระบี่ มิฉะนั้นคงตัดสินผลแพ้ชนะกันในทันที

ส่วนดรุณีอ่อนวัยกว่านางถูกสองคนร้ายเตะใส่ที่กลางหลังเต็มแรงเช่นกัน ร่างสองนางเซถลามาทางด้านจ่านจือซ่อนตัวอยู่ จึงแลเห็นชัดเจนดรุณีทั้งสองนางปรากฏเหงื่อไหลเปียกชุ่มโซมกายหายใจเหนื่อยหอบรุนแรง สตรีอ่อนแอกว่าเพียงสองนางคนร้ายเป็นชายชาตรีถึงห้าคน ช่างน่าไม่อายทำร้ายสตรีที่มีกำลังด้อยน้อยกว่า จ่านจือดุด่าคนร้ายห้าคนอยู่ในใจ พอดีได้ยินหนึ่งในสองดรุณีส่งเสียงต่อดรุณีอีกนางขึ้นว่า

“อี้เซินเจ้ายังไหวหรือไม่? กัดฟันเอาไว้หาทางหลบหนีไป ข้าจะสกัดพวกมันให้เจ้าเอง รีบหนีไปเสาะหาอาจารย์คาดว่าอยู่ไม่ไกลนัก ไม่ต้องเป็นห่วงข้าขอเพียงเจ้าหนีรอดได้ เรียนอาจารย์ว่าข้าถูกเดรัจฉานรุมทำร้าย คิดว่าอาจารย์คงคิดบัญชีให้กับข้าได้ไม่ยากเย็น”

ดรุณีอีกนางซึ่งอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับกล่าวตอบออกไปว่า

“ไม่ ข้าพเจ้าไม่ไปไหนทั้งสิ้น หากจะหนีก็หนีไปด้วยกัน ข้าพเจ้าไม่ยอมทอดทิ้งศิษย์พี่หนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพัง หากจะต้องตกตายข้าพเจ้าขอตายร่วมกับกับศิษย์พี่จะดีเสียกว่า”

ดรุณีอีกนางบอกว่านางไม่หนีไปลำพังหากจะไปต้องไปด้วยกัน ชุดดำทั้งห้ามิรอช้าจู่โจมมาถึงพร้อมกับประกายกระบี่ปกคลุมทุกทิศทางดั่งร่างแห สองดรุณีรู้แน่ว่าไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ต่างส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า

“ศิษย์เนรคุณไม่อาจอยู่ทดแทนคุณท่านอาจารย์ได้ หากชาติหน้าฉันใดขอเกิดมาเป็นศิษย์อาจารย์กันอีกหน”

แต่ก่อนที่คมกระบี่ทั้งห้าเล่มจะบรรลุถึงร่างนางทั้งสอง เสียงวัตถุแหวกพุ่งฝ่าอากาศดังฉี่ฉี่อย่างเร่งร้อน จ่านจือเด็ดผลไม้ป่าที่อยู่ใกล้มือซัดขว้างต่างอาวุธลับใส่ตำแหน่งไหปลาร้าของคนร้าย ชุดดำเหล่านั้นถูกผลไม้ป่ากระแทกร่างกระเด็นกลับไปด้านหลังทั้งห้าคน เมื่อลุกขึ้นได้ต่างหันมองหาเจ้าของร่างที่ซัดขว้างอาวุธลับเข้าใส่ พวกมันเข้าใจว่าวัตถุนั้นเป็นอาวุธลับ อีกทั้งความแรงพลังที่แฝงมากับอาวุธลับชวนให้ตระหนก เมื่อหันมองโดยรอบกลับพบกับความว่างเปล่า

พวกมันทั้งห้ามิกล้าลงมือสืบต่อ เพราะเข้าใจว่าอาจารย์ของนางทั้งสองรุดมาถึงแล้วนั่นเอง จากสภาวะของอาวุธลับไม่ควรต่อกรด้วย ขืนยังชักช้าอาจรักษาชีวิตไว้มิได้ แต่ประสบการณ์ผาดโผน หากจะจากไปเกรงว่าไม่ง่ายหากเจ้าของอาวุธลับไม่อนุญาต ดังนั้นหนึ่งในห้าคนร้ายประสานมือกล่าวขึ้นนอบน้อมว่า

“ขอบคุณอาวุโสที่ยั้งมือไว้ไมตรี หากท่านต้องการดรุณีสองนางนี้ พวกเรามิอาจทำเยี่ยงไรได้ ขอเรียนตามตรงมิอ้อมค้อมเราทั้งห้าได้รับคำสั่งมา ต้องเข่นฆ่าเอาชีวิตของนางทั้งสองให้จงได้ หากกระทำไม่สำเร็จคงมิอาจกลับไป ดังนั้นวันนี้จะขอรามือแต่เพียงเท่านี้ หากมีโอกาสพวกเราจะต้องทำงานให้สำเร็จลุล่วงในภายหน้า วันนี้พวกเราทั้งห้าขออำลา”

กล่าวจบคนร้ายทั้งห้าคนต่างใช้วิชาตัวเบากระโดดจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ดรุณีสองนางลุกขึ้นพร้อมกับเก็บกระบี่คืนฝักอย่างโล่งอก นางทั้งสองต่างสำรวจว่ามีร่องรอยบาดแผลบนร่างกายหรือไม่? เมื่อสำรวจแล้วพบว่าไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด จึงพากันมองหาผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือพวกนาง

นางทั้งสองสำรวจจนทั่วบริเวณก็ไม่เห็นผู้ใด จึงเดินวนกันอยู่สองเที่ยวไม่พบอาวุโสท่านใด ตอนแรกคิดตรงกันว่าเป็นอาจารย์ของพวกนางที่ช่วยเหลือ แต่หากเป็นอาจารย์ท่านคงปรากฏตัวให้พบเห็นแล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นยอดคนท่านอื่นที่ช่วยเหลือนางทั้งสอง

นางทั้งสองต้องการกล่าวขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือชีวิต เดินไปเดินมาเห็นว่ามืดค่ำแสงสว่างมีเพียงน้อยนิด พอดีดรุณีทั้งสองเหลือบเห็นเด็กหนุ่มแต่งกายซอมซ่อผู้หนึ่งนั่งตัวสั่นงันงกอยู่ นางทั้งสองคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่จึงหวาดกลัวไม่หาย ดูจากภายนอกคงเป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านผ่านมาเส้นทางนี้ ดังนั้นนางทั้งสองจึงเดินตรงเข้าไปหา แล้วหนึ่งในดรุณีสองนางกล่าวว่า

“รบกวนสหายน้อยสักครู่ เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิดไม่ต้องหวาดกลัวคนร้ายหนีไปไกลแล้ว เจ้าคงเดินทางผ่านมาทางนี้สินะ? มิทราบว่าเจ้าอยู่บริเวณนี้พบเห็นผู้อาวุโสท่านใดหรือไม่? ข้าทั้งสองได้รับการช่วยเหลือจากท่านต้องการขอบคุณท่านแต่หาจนทั่วบริเวณไม่พบ จึงอยากรบกวนสอบถามสหายน้อยเจ้าสักหน่อย ไม่ทราบว่าพบเห็นผู้ใดบ้างหรือไม่?”

สหายน้อยที่ดรุณีนางนั้นเรียกหาเป็นจ่านจือเอง หลังจากช่วยเหลือนางทั้งสองแล้ว เขารีบทิ้งตัวลงมาจากที่ซ่อนโดยไร้เสียง เขายังมิต้องการเปิดเผยฐานะตัวเองแก่ดรุณีทั้งสอง เนื่องจากเขาเพิ่งออกท่องยุทธภพเป็นครั้งแรก ยังไม่ทราบว่านางทั้งสองเป็นใคร ดังนั้นจึงแสร้งนั่งลงทำเป็นหวาดกลัวตัวสั่น แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบอกความจริงไปว่าผู้ที่ช่วยเหลือพวกนางเป็นเขาเอง เกรงว่าพวกนางจะหัวเราะเยาะเอาได้ ด้วยสารรูปของตัวเองในตอนนี้จะมีผู้ใดยินยอมเชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์มีฝีมือติดตัว สภาพของเขาไม่ต่างอะไรกับขอทานน้อยผู้หนึ่งมิปาน ดังนั้นจึงลุกขึ้นอย่างช้า ๆพร้อมกับกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้านั่งอยู่บริเวณนี้ไม่เห็นผู้ใด อีกอย่างข้าพเจ้าเดินทางผ่านมาเท่านั้น พอดีเห็นจอมยุทธ์ทั้งสองกำลังต่อสู้อยู่กับคนชุดดำกลุ่มนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดกลัวยิ่งเลยมานั่งแอบซ่อนอยู่บริเวณนี้”

ดรุณีทั้งสองนางเห็นจ่านจื่อดูท่าทางซื่อ ๆทึ่ม ๆจึงเชื่อว่าเขาไม่พบเห็นผู้ใดจริง ๆดังนั้นจึงคิดว่าผู้ใดก็ตามที่ยื่นมือช่วยเหลือในครั้งนี้ นางทั้งสองจะขอระลึกนึกถึงบุญคุณ หากภายหน้าทราบว่าเป็นอาวุโสท่านใดจะรีบรุดไปคารวะขอบคุณอย่างแน่นอน

เมื่อสอบถามทราบว่าจ่านจือใช้ศาลร้างค้างแรม นางทั้งสองเองต่างเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และเดินทาง เวลานี้มืดค่ำมากแล้วจะไปหาที่พักคงไม่ทัน อีกอย่างหากเดินทางไปประสบพบกันคนร้ายอีกจะโชคร้ายเอา จึงปรึกษากันในที่สุดหนึ่งในสองดรุณีเอ่ยถามจ่านจือว่า

“สหายน้อยเจ้าพักอยู่ศาลเจ้าเช่นนั้นรึ? เราทั้งสองเดินทางผ่านมาเช่นกัน บอกตามตรงว่ามิได้หาที่พัก ไม่ทราบว่าเจ้าจะรังเกียจหรือไม่? หากเราทั้งสองจะขอไปพักเอาแรงที่ศาลร้างกับเจ้าด้วย ความจริงแล้วไม่ค่อยเหมาะนักที่เราทั้งสองเป็นสตรี จะไปพักด้วยกับเจ้าซึ่งเป็นบุรุษ แต่ตอนนี้มืดค่ำมากแล้วคงเดินทางไม่สะดวก อีกอย่างเจ้าเองดูเป็นคนดี ท่าทางซื่อ ๆตรง ๆเจ้าจะว่าอย่างไร?สหายน้อย”

จ่านจือรู้สึกว่าดรุณีสองนางกล่าววาจากับเขาโดยมิได้รังเกียจเดียดฉันท์ ที่สำคัญเขาเองมิได้คิดว่าตนเองเป็นจอมยุทธ์อะไรนั่น การแต่งกายของเขายังซอมซ่อดั่งขอทาน พอได้ยินสรรพนามที่เรียกหาเขาว่าสหายน้อย รู้สึกเป็นมิตรและสุขใจยิ่งนักอย่างบรรยายไม่ถูก เขาเองเห็นว่าตอนนี้มืดค่ำแล้วจริง ๆดรุณีสองนางเองดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย จึงพยักหน้ากับดรุณีทั้งสอง แล้วกล่าวตอบไปว่า

“หากจอมยุทธ์ทั้งสองมิรังเกียจข้าพเจ้า สามารถอาศัยหลับนอนในศาลร้างได้ตามสบาย ภายในมีบริเวณมิคับแคบอึดอัด ข้าพเจ้าไม่ว่ากระไร อีกอย่างศาลเจ้าแห่งนั้นมิได้เป็นของข้าพเจ้า จอมยุทธ์ทั้งสองย่อมมีสิทธิ์ใช้สถานที่นั่นพักค้างแรมได้เฉกเช่นเดียวกัน”

สองดรุณีได้ยินคำตอบของจ่านจือ รู้สึกว่าทุกคำพูดของเด็กหนุ่มผู้นี้กล่าวมิผิด แต่ที่แปลกประหลาดใจ กลับเป็นถ้อยคำของเขาที่ฟังไปไม่คล้ายชาวบ้านไร้การศึกษา ดูเขาใช้ถ้อยคำที่สุภาพคล้ายมีการศึกษาอยู่ไม่น้อย แต่ทั้งสองก็มิได้ติดใจอะไร ดังนั้นดรุณีที่มีอายุมากกว่ากล่าวตอบเขาว่า

“สหายน้อยอย่าได้เรียกหาเราทั้งสองเป็นจอมยุทธ์เลย ขอบคุณเจ้าที่ยินยอมให้เราทั้งสองไปพักอาศัยด้วย หากเจ้าไม่ว่ากระไรเราสองคนขอถามชื่อแซ่ของเจ้าได้หรือไม่? แล้วเจ้าเดินทางมาทำอะไรแถวนี้? รู้หรือไม่ว่าแถวนี้อันตรายเราสองคนยังแทบเอาตัวไม่รอด ดูเจ้าไม่ใช่ชาวยุทธ์ไม่รู้สึกหวาดกลัวบ้างหรืออย่างไร?”

เมื่อได้ยินดรุณีนางนั้นเอ่ยถามชื่อแซ่ จ่านจือเองก็ไม่อยากโป้ปดดรุณีทั้งสอง จึงกล่าวบอกไปตามตรง ส่วนเรื่องที่เขาช่วยเหลือนางทั้งสอง กลับไม่บอกความจริงกับนางไป คิดว่าคงไม่เป็นความผิดหนักหนาสาหัสเท่าใดนัก ไว้มีโอกาสค่อยบอกนางทั้งสองภายหลังคงไม่เป็นไร จึงกล่าวตอบกลับไปว่า

“ข้าพเจ้าแซ่จ้าวชื่อจ่านจือ เดินทางมาจากแดนใต้กังหนำ เพื่อจะไปคารวะหลุมฝังศพมารดาบุญธรรม ข้าพเจ้าเองไม่ได้มาจงหยวนเป็นเวลาห้าปีกว่าแล้ว เลยไม่ทราบว่าบริเวณแถบนี้มีอันตราย ขอบคุณท่านทั้งสองที่กล่าวเตือนข้าพเจ้า มิทราบว่าท่านทั้งสองมีนามว่ากระไร? ดูท่าทางคงเป็นชาวยุทธ์หากไม่สะดวกบอกกล่าวก็ไม่เป็นไร”

หนึ่งในสองดรุณีได้ยินเช่นนั้นโปรยยิ้มให้จ่านจืออย่างเป็นมิตร พร้อมกับแนะนำชื่อของตนเองและดรุณีอีกนางว่า

“เราสองคนเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ข้าชื่อซื่อเหมี่ยนเป็นศิษย์พี่ ส่วนผู้นี้เป็นศิษย์น้องของข้าชื่อเอวี้ยอี้เซิน เราสองคนได้รับคำสั่งอาจารย์ให้เดินทางล่วงหน้า เพื่อไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน แต่ระหว่างทางรู้ตัวว่ามีคนติดตาม พอมาถึงบริเวณนี้คนร้ายจึงได้ลงมือต่อเราทั้งสอง ข้ากับศิษย์น้องไม่ทราบว่าเป็นคนของฝ่ายใด? ทำไมถึงคิดทำร้ายหมายเอาชีวิตเราสองคน”

เมื่อพวกนางทั้งสองแนะนำตัวต่อจ่านจือ เขาถึงทราบว่านางเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เจ้าโอสถสายรุ้งเคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ท่านเล่าว่าก่อนที่ท่านจะเร้นกาย มีความสนิทสนมกับเจ้าหุบเขาในระดับหนึ่ง แต่จ่านจือเห็นว่าดรุณีทั้งสองเข้าใจว่าเขามิใช่ชาวยุทธ์ จึงมิได้กล่าวถึงว่าตนรู้จักชื่อหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมาก่อน

ทั้งสามสนทนาพลางก้าวเท้าเดินไปยังศาลเจ้า จ่านจือเดินนำหน้าพวกนางทั้งสองไป ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินบอกว่านางเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เคยติดตามอาจารย์ออกท่องยุทธ์หลายหน ดรุณีที่มีนามว่าเอี้วยอี้เซินถามจ่านจือว่า อีกเดือนกว่าจะถึงเทศกาลสารทง่วนเซียว ถามเขาว่าคิดจะไปท่องเที่ยวชมโคมไฟยังตัวเมืองลั่วหยางหรือไม่?

จ่านจือเองไม่ทราบว่าเทศกาลสารทง่วนเซียวคืออะไร เพราะตั้งแต่เล็กอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณหลังเขา ไม่เคยเข้าเมืองแม้แต่ครั้งเดียว จึงเรียนกับสองดรุณีไปตามตรงว่า ตนเองอาศัยอยู่หมู่บ้านหลังเขา วัน ๆเอาแต่ช่วยงานมารดาบุญธรรม มิมีเวลาออกมาท่องเที่ยว และไม่ทราบด้วยว่าเทศกาลง่วนเซียวมีความสำคัญเช่นไร?

หลังจากทั้งสามกลับมาถึงศาลเจ้าร้างแล้ว ดรุณีสองนางจึงเล่าเกี่ยวกับเทศกาลสารทง่วนเซียวให้จ่านจือฟัง เทศกาลสารทง่วนเซียวคือคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปี ตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย ทุกบ้านจะนิยมกินขนมบัวลอยกันในครอบครัว และออกจากบ้านมาชมการประดับโคมไฟ เพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ

“เซี่ยวจือ เจ้าไม่เคยออกมาท่องเที่ยวชมโคมไฟเลยหรือ?”

ดรุณีนามเอวี้ยอี้เซินเอ่ยถามเขา จ่านจือรีบกล่าวตอบกลับไปว่า

“ไม่เคยข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มิเคยเดินทางเข้าเมืองหลวงแม้แต่คราเดียว”

ดรุณีนามซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวถามจ่านจือขึ้นบ้างว่า

“เช่นนั้นครอบครัวเจ้าคงต้องทำขนมบัวลอยให้เจ้ารับประทานสินะ?”

คำถามนี้เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกตรงหน้าอกของเขา ได้ยินว่าครอบครัวทำให้นึกถึงใบหน้าป้าหนิวขึ้นมา ใช่แล้วป้าหนิวเคยทำขนมบัวลอยให้เขารับประทาน แต่ไม่เคยบอกว่ามีความสำคัญเช่นไร? จำได้ว่าป้าหนิวจะบรรจงปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆแล้วนำไปต้มในน้ำกับน้ำตาล หนึ่งปีป้าหนิวจะทำขนมบัวลอยให้จ่านจือรับประทานครั้งหนึ่ง

จ่านจือเพิ่งจะเข้าใจตอนนี้เองว่าการทำขนมบัวลอยรับประทาน ยังมีความสำคัญกับคนในครอบครัว และเกี่ยวข้องกับเทศกาลที่เรียกว่าสารทง่วนเซียวด้วย แล้วต่อแต่นี้ใครจะทำขนมบัวลอยให้เขารับประทาน คิดแล้วน้ำตาลูกผู้ชายไหลหลั่งอย่างลืมตัว ตั้งแต่เล็กป้าหนิวทั้งรักทั้งทะนุถนอมตนดั่งแก้วตาดวงใจ ครั้งนั้นเพื่อช่วยเหลือเขาป้าหนิวถึงกับยอมตาย ภาพวันที่ป้าหนิวจ้องมองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนสิ้นใจ ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของจ่านจือ เมื่อนึกถึงคล้ายดั่งทำนบเขื่อนพังทลาย น้ำตาพรั่งพรูอย่างไม่อายดรุณีทั้งสองนาง

ดรุณีสองนางเองรู้สึกรันทดหดหู่ไม่น้อยกับภาพตรงหน้า บุรุษหนุ่มร่างกายแข็งแรงกำยำ ร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้า เอวี้ยอี้เซินจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดตาในแขนเสื้อ ยื่นส่งให้พร้อมกล่าวว่า

“เซี่ยวจือเจ้าอย่าได้เศร้าโศกเสียใจไป หากข้าและศิษย์พี่กล่าวอะไรผิดไปเจ้าอย่าได้ถือสาหาความ หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจบอกเล่าให้ข้ากับศิษย์พี่ฟังบ้างก็ได้ เผื่อบางทีข้ากับศิษย์พี่อาจช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง”

จ่านจือรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลางเล่าให้สองดรุณีทั้งสองฟังว่าเขาตัวคนเดียวลำพัง ตั้งแต่เด็กมีเพียงมารดาบุญธรรมชุบเลี้ยง ตอนนี้ท่านเองมาตายจากด้วยน้ำมือคนชั่วสามคน หลังจากนั้นเขาได้รับการช่วยเหลือจากเฮียม่วยคู่หนึ่ง นำเขาไปฝากกับอาวุโสท่านหนึ่ง ครั้งนี้เพิ่งมีโอกาสกลับมาบ้านเกิดจึงคิดจะไปเคารพหลุมศพมารดาที่หมู่บ้านเย้ยอรุณสักครั้ง

จ่านจือไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเขาไปอยู่หุบเขาผีเสื้อเพื่อฝึกวิชาแต่ประการใดบอกแต่เพียงว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากเฮียม่วยคู่หนึ่ง นำไปฝากไว้กับอาวุโสท่านหนึ่งยังแดนกังหนำเท่านั้นเอง

ดรุณีทั้งสองนางรู้สึกสงสารต่อโชคชะตาของจ่านจือยิ่งนัก ด้วยวัยของนางทั้งสองมากกว่าจ่านจืออยู่สองสามปี นางทั้งสองเองกลับรู้สึกเหมือนเขาเป็นดั่งน้องชายของนางทั้งสองมิปาน ดรุณีนามซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวขึ้นว่า

“หากเจ้าไม่มีครอบครัว เราสองคนจะทำขนมบัวลอยให้เจ้ารับประทานเอง เจ้าอย่าได้เสียใจไป แต่หากเจ้าอยากร้องให้เพื่อระบายจงร้องออกมาเถอะ แล้วเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นเอง”

หลังจากหยุดร้องไห้แล้ว จ่านจือพบว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของเขา จึงกล่าวกับดรุณีนามเอวี้ยอี้เซินว่า

“ขอบคุณแม่นางอี้เซิน ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้ข้าพเจ้าซักแล้วจะหาโอกาสคืนให้แม่นางในภายหลังได้หรือไม่?”

เอวี้ยอี้เซินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวกับเขาว่า

“ไม่ต้องมอบคืนข้าหรอก ถือว่าข้าให้เจ้าเป็นของขวัญก็แล้วกัน ตอบแทนที่เจ้ายินยอมให้เราทั้งสองพักแรมในศาลเจ้านี้ด้วย เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่?”

จ่านจือพยักหน้าตอบว่าใช่ หลังจากผ่านการร้องให้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากจริง ๆดรุณีสองนางต่างมีท่าทีที่ดีต่อเขาดุจญาติสนิท เอวี้ยอี้เซินจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า

“หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ข้าจะเล่าตำนานเกี่ยวกับเทศกาลสาทรง่วนเซียว ให้เจ้าฟังสักเรื่องหนึ่งดีหรือไม่?”

จ่านจือพยักหน้าตอบพร้อมกล่าวตอบกลับไปว่า

“ดี ดี ข้าพเจ้าอยากฟัง ขอบคุณแม่นางทั้งสอง”

ซื่อเหมี่ยนได้ยินจ่านจือเรียกหานางและศิษย์น้องว่าแม่นางจนติดปาก จึงคิดว่าเขาไร้ญาติขาดมิตร หากให้เขาเรียกนางกับศิษย์น้องว่าพี่สาว อาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่อ้างว้างเดียวดายเท่าใดนัก จึงกล่าวว่า

“เจ้าอย่าได้เรียกข้าสองคนว่าแม่นางอยู่เลย เรียกเราสองคนว่าพี่สาวจะดีหรือไม่? หากเจ้าไม่รังเกียจเราสองคน ข้าว่าจะดูสนิทสนมเป็นกันเองมากกว่าเรียกแม่นาง เจ้าว่าดีหรือไม่เซี่ยวจือ?”

จ่านจือยินดียิ่งนักที่ดรุณีทั้งสองให้ตนเรียกว่าพี่สาว รีบกล่าวกับดรุณีทั้งสองว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือเป็นเพียงคนธรรมดา ได้รับความกรุณาจากพี่สาวทั้งสอง นับว่าเป็นวาสนาของข้าพเจ้าแล้ว เช่นนั้นต่อไปข้าพเจ้าขอเรียกท่านทั้งสองว่าพี่สาวก็แล้วกัน”

ดรุณีสองนางหันมองหน้ากันพลันแอบยิ้มเล็กน้อยด้วยคำพูดของจ่านจือ จากนั้นนางทั้งสองต่างผลัดกันเล่าตำนานเกี่ยวกับเทศกาลสารทง่วนเซียวให้เขาฟังว่า

ตำนานที่เกี่ยวกับเสนาบดีผู้เปี่ยมด้วยปัญญาและความกรุณา กับหญิงสาวยอดกตัญญู ในสมัยกษัตริย์อู๋ตี้ของราชวงศ์ฮั่นในเมืองหลวงฉางอัน ท่ามกลางหิมะโปรยปรายในช่วงใกล้วันตรุษจีน ขณะที่เสนาบดีนามตงฟางซั่วกำลังเดินชมดอกเหมยในอุทยาน ได้พบนางกำนัลนางหนึ่งกำลังจะกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย จึงได้ขัดขวางและขอทราบถึงสาเหตุ นางจึงได้เล่าความทุกข์ให้ฟังว่า นางชื่อหยวนเซียวถูกส่งเข้ามาอยู่ในวังตั้งแต่เยาว์วัยและขาดการติดต่อจากครอบครัว

เมื่อถึงยามตรุษเช่นนี้จึงคิดถึงพ่อแม่พี่น้องที่เคยร่วมกันรับประทานอาหารในวันตรุษจีนอย่างอบอุ่นและมีความสุข และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอกตัญญู จึงตั้งใจจะฆ่าตัวตายหนีความทุกข์ เสนาบดีตงฟางซั่วจึงปลอบใจและให้สัญญาว่าจะทำให้นางได้พบกับครอบครัวในวันเพ็ญสิบห้าค่ำเดือนอ้ายวันสารทที่สอง จากนั้นตงฟางซั่วจึงได้กระจายข่าวลือไปทั่วเมืองหลวงว่า เมืองฉางอันมีเคราะห์ร้าย

จะถูกไฟเผาไหม้ทั้งเมืองในคืนวันเพ็ญสิบห้าค่ำเดือนอ้าย แต่ก่อนจะถึงวันนั้นจะมีหญิงสาวสวมชุดแดงขี่ลามาเตือนชาวเมืองก่อน จากนั้นได้เกณฑ์ชายชราไปรอต้อนรับ เมื่อชายชราไปพบนางชุดแดงไห้อ้อนวอนต่อนาง นางจึงได้กล่าวต่อชายชราว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ต้องการเผาเมืองฉางอันให้ลุกไหม้แดงฉาน หากนางไม่เผาเมืองเง็กเซียนฮ่องเต้จะลงโทษนางได้ และฝากส่งสารนี้ให้แก่ฮ่องเต้อู๋ตี้ด้วย

เมื่อความไปถึงฮ่องเต้ พระองค์ทรงตกพระทัยมาก จึงมีราชโองการให้ตงฟางซั่ว สั่งการให้ขุนนางและประชาชนทุกครัวเรือนในนครฉางอันจุดโคมไฟสีแดงทั่วทั้งเมือง และให้ชาวบ้านถือโคมแดงออกมาเดินตามท้องถนนในคืนสิบห้าค่ำเดือนอ้ายโดยพร้อมเพรียงกันให้แสงไฟสีแดงสว่างไสวทั่วทั้งเมือง พร้อมให้มีการจุดประทัดและดอกไม้ไฟอย่างอึกทึก เพื่อลวงเง็กเซียนฮ่องเต้ว่าไฟกำลังลุกไหม้นครฉางอันอย่างรุนแรง

ตงฟางซั่วจึงได้จัดให้นางหยวนเซียว อยู่ในกลุ่มผู้ที่เดินถือโคมแดงเดินนำชาวบ้าน และให้โอกาสนางได้กลับบ้าน เพื่อทำขนมทังถวน(บัวลอย)และรับประทานร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข จากเหตุการณ์ครั้งนั้น สำนักพระราชวังจึงได้ยึดถือเป็นงานประเพณีต่อเนื่องกันมาตราบจนทุกวันนี้

เล่าถึงตอนนี้สองดรุณีหันมาเห็นจ่านจือหลับไหลไปพอดี จึงชักนำกันไปอีกฟากหนึ่งของศาลเจ้าเอนกายลงนอนเคียงข้างกันบนหญ้าแห้งกองหนึ่งเมื่อทั้งสองหลับไป นอกศาลเจ้ามีเงาร่างสายหนึ่งสาดทะยานผ่านศาลเจ้าไปอย่างรวดเร็วดุจภูตพรายตนหนึ่ง

ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปกี่ยามแล้ว แต่เงาร่างสายนั้นพุ่งร่างมุ่งตรงสู่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวกงกง คืนนี้ภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวกงกงมิได้อยู่ในตัวตึก เนื่องจากเดินทางไปวัดเส้าหลินได้สองวันแล้ว ในตัวตึกคงมีแต่ยอดฝีมือของหลิวกงกง และมือดีอีกมากมายหลายคน

หลิวกงกงไปเส้าหลินครานี้โดยลำพัง คล้ายกับไปหารือเรื่องหนึ่งที่ไม่อยากเปิดเผย คาดเดาว่าอาจเกี่ยวกับการชุมนุมชาวยุทธ์ที่กำลังใกล้มาถึงนั่นเอง ดังนั้นก่อนออกเดินทางหลิวกงกงจึงมีคำสั่งกำชับให้ทุกฝ่ายจัดเวรยามอย่างแน่นหนา ทุกครึ่งชั่วยามจะต้องออกตรวจตราทุกซอกมุมของตัวตึก

หัวหน้าตึกทั้งสี่อันได้แก่ หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน หัวหน้าตึกอินทรีต้าถงและหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวน ทั้งสี่ประจำอยู่ในแต่ละตึก นอกจากนั้นในแต่ละตึกยังมีสมุนมือดีอีกตึกละสิบกว่าคน ส่วนตึกที่อยู่ตรงกลางมีชื่อว่าเทพปักษา หลิวกงกงมอบหมายให้ต๊กม้อเต็กไต้ซือกับเล่อต้าเต๋อและเสิ่นซื่อสูอวี้รับผิดชอบ

ส่วนด้านหน้าตึกยังจัดเวรยามไว้อีกสิบคน แยกย้ายกันยืนตามจุด จุดละสองคน ด้านหลังตึกซึ่งเป็นสวนอุทยานมีต้นไม้นานาพันธุ์ ดอกไม้งดงามหลากสีสัน ทางเดินที่อยู่ด้านหลังสร้างเป็นพื้นหินอ่อนสีเข้มตัดผ่านกลางสวนยาวไปถึงเก๋งรูปแปดเหลี่ยม ซึ่งปลูกสร้างอยู่กลางสระน้ำอันเต็มไปด้วยกอบัวที่กำลังออกดอกโผล่พ้นผิวน้ำอยู่เรียงราย ทั้งดอกสีขาวสีแดง เหนือผิวน้ำปกคลุมด้วยละอองไอน้ำสีขาว ที่รวมตัวระเหยขึ้นสู่ชั้นอากาศ รอบๆขอบสระปลูกต้นหลิวเป็นทิวแถวดูร่มรื่น บางกิ่งใบทิ้งตัวย้อยลงสู่ผิวน้ำอันใสสะอาด ถัดมาเป็นกำแพงศิลาสูงราวสิบกว่าวา

ด้านหลังจัดเวรยามไว้ถึงสามสิบคน กระจายกันอยู่ทั่วทุกจุด ผู้ที่ดูแลด้านหลังได้แก่เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยและเจียจิ้ง ส่วนบริวารและเด็กรับใช้ต่างแยกย้ายอยู่ตามห้องหอของตนเอง

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดขึ้นหนึ่งค่ำเดือนสิบสอง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดวังเวง มีเพียงสายลมพัดเบาบาง โคมไฟสีแดงหลายดวงที่จุดไว้ตามมุมตึกแกว่งไกวไปมาช้าๆครั้งกระโน้นตั้งแต่หมู่ตึกกระเรียนฟ้ามีคนตายเมื่อครั้งงานอวยพรหลิวกงกง ทุกค่ำคืนจะจัดเวรยามไว้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาไร้เรื่องราวรบกวน

ร่างนั้นเมื่อทะยานจวบจนใกล้หมู่ตึกกระเรียนฟ้าชะลอฝีเท้า จากนั้นอ้อมเลียบกำแพงสูงมาทางด้านหลังซึ่งเป็นสวนอุทยาน เมื่อมาถึงด้านหลังแนบใบหูกับกำแพงว่ามีเสียงใดผิดปกติหรือไม่ พอเห็นว่าไม่มีเสียงใดร่างนั้นกระโดดคราเดียวแล้วทิ้งตัวลงบนกำแพงสูงสิบกว่าวา ตำแหน่งที่ทิ้งตัวปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ผู้ที่มาอยู่ในอาภรณ์สีครามเข้ม ใช้ผ้าปิดใบหน้ามิดชิดตั้งแต่กลางจมูกลงมา มิได้พกพากระบี่อาวุธ ขณะที่ซุ่มอยู่บนกำแพง มีเวรยามถือคบไฟเดินตรงมาห้าคน ทั้งห้าคนมือถือกระบี่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อคนทั้งห้าเดินเข้ามาใกล้ห่างไม่ถึงสิบวา จากแสงสว่างของคบไฟส่องกระทบร่างของคนปิดหน้า คนปิดหน้าเองกลับมิได้หลบหนีหรือหลบซ่อนกายแต่อย่างใด

เมื่อทั้งห้าคนแหงนหน้าขึ้นไปเห็นคนปิดหน้าอยู่บนกำแพง รู้ทันทีว่าเป็นคนร้ายต่างขยับอาวุธในมือ พร้อมกับขยับริมฝีปากส่งเสียงบอกคนอื่น ๆว่ามีคนร้าย แต่ยังมิทันได้เปล่งเสียง คนปิดหน้าบนกำแพงทิ้งตัวลงมาจากกำแพง พร้อมกับแขนซ้ายเหยียดตรงออกมือคว่ำลงนิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน และสะบัดฝ่ามือเพียงเล็กน้อยแทบมองไม่เห็นการเคลื่อนไหว บังเกิดเป็นพลังไร้สภาพกลุ่มหนึ่ง แยกย้ายเป็นห้าสายใส่ตำแหน่งคนทั้งห้า

ร่างคนผู้นั้นยังไม่ทันบรรลุถึงพื้นเบื้องล่าง ทั้งห้าต่างยืนแข็งทื่อมิเคลื่อนไหว คนผู้นั้นเมื่อเท้าแตะพื้นวิ่งเข้าหาตัวตึกด้านใน ดูฝีเท้าแผ่วเบาไร้น้ำหนัก วิชาตัวเบาสูงเยี่ยมยากพบพาน เวรยามทั้งห้าคนต่างถูกจี้สกัดจุดโดยมิได้สัมผัสร่างกาย ความรวดเร็วของพลังฝีมือที่ใช้แทบไม่ทันกระพริบตาด้วยซ้ำ

เมื่อวิ่งตะบึงมายี่สิบวาปรากฏมือดีพุ่งตรงมาอีกสี่คน สองคนหน้าคือเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ทั้งสองดึงกระบองเหล็กอาวุธประจำกายจากกลางหลังถือไว้มั่น พุ่งตรงเข้าหาคนผู้นั้นด้วยความเร็วดุจม้าป่า ส่วนอีกสองคนถือคบไฟด้วยมือซ้าย มือขวาถือดาบยาวติดตามมาทิ้งระยะห่างพอสมควร พร้อมกันนั้นยังมีอีกคนหนึ่งเห็นมีคนบุกรุกเข้ามา รีบวิ่งเข้าไปในตัวตึกเพื่อแจ้งต่อคนอื่น ๆ

เจียฮุยและเจียจิ้งทะยานลิ่วพร้อมเกร็งลมปราณห่างไม่ถึงสามก้าว แต่ก่อนที่ทั้งสองจะบรรลุถึง คนผู้นั้นพลันกระโดดตีลังกาข้ามศีรษะสองเทวทูตซ้ายขวาไป พอร่างตกลงเกือบถึงพื้นกลับเตะเท้าหยิบยืมพลัง ตีลังกาอีกทอดหนึ่งข้ามศีรษะของสองคนที่ถือคบไฟเข้ามา ท่วงท่าที่ใช้รวดเร็วสุดบรรยาย ยากนักจะได้พบในยุทธภพ เมื่อคนผู้นั้นทิ้งร่างสู่พื้นห่างออกไปสองก้าว ทั้งสี่คนต่างถูกจี้สกัดจุดมิเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับห้าคนแรก

เทวทูตซ้ายขวานับว่ามีพลังฝีมือสูงเยี่ยม ยังถูกสกัดจุดโดยมิทันลงมือ แถมคนที่จี้สกัดจุดมิได้แตะเนื้อต้องตัวด้วยซ้ำ เป็นวิชาจี้จุดที่ร้ายกาจล้ำเลิศ เทวทูตซ้ายขวายังมิทันรู้ว่าเกิดเรื่องราวใด ก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมิได้แล้ว ต่างคับแค้นแน่นอกสุดทนทานแต่ไม่สามารถทำเยี่ยงไรได้ นี่เป็นคำรบสองแล้วที่ถูกสยบโดยมิทันได้ลงมือ

ครั้งแรกก็ถูกเหยาเยี่ยนผิงซึ่งตอนนั้นปลอมเป็นบุรุษ เข้าขัดขวางการสังหารจ่านจือ ทั้งยังถูกล่วงเกินด้วยวาจาของเด็กรุ่นหลัง แค่นั้นยังไม่พอพวกมันทั้งสองพ่ายแพ้ในสองกระบวนท่าให้กับเด็กทารกเช่นเหยาเยี่ยนผิง ทำเอาครั้งนั้นมันทั้งสองมิกล้าปริปากบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดได้รับรู้

มาครั้งนี้พวกมันทั้งสองยังมิทันได้ลงมือ ถูกสยบอีกครั้งทำเอาเดือดดาลเป็นการใหญ่ ได้แต่กลอกกลิ้งดวงตาอยู่ไปมา ในใจต่างคิดตรงกันว่าจะสับคนผู้มาให้ละเอียดเป็นหมื่นชิ้นให้จงได้

คนผู้นั้นยังมิทันได้บรรลุถึงตัวตึก หัวหน้าตึกทั้งสี่อีกทั้งต๊กม้อเต็กไต้ซือ พร้อมด้วยเล่อต้าเต๋อและเสิ่นซื่อสูอวี้ ต่างมุ่งตรงมาพอดีทั้งหมดล้วนเป็นมือดีวิทยายุทธ์สูงเยี่ยม ต๊กม้อเต็กไต้ซือถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด นับว่าครานี้ผู้ที่บุกรุกคงเจอคู่ต่อสู้ที่ยากรับมือแล้ว

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel