ตอนที่ 6 สำนักมารสวรรค์
ตอนที่ 11
สำนักมารสวรรค์
วันเวลาผันผ่าน วิกาลล่วงเลย ทิวามาเยือน วันวานมิอาจย้อนคืน เปรียบดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก ไหลหลากจากไปไม่อาจย้อนคืน ทารกแบเบาะยังต้องรู้จักพลิกตัว แล้วจึงค่อย ๆ คืบคลานลุกขึ้นนั่งตั้งไข่ จนกระทั่งเดินได้ ก้าวเท้าวิ่งคล่องแคล่ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากศูนย์ หรืออาจเรียกว่าจากสามัญสู่สูงสุด
ส่วนมันสมองกับความเฉลียวฉลาด อาจมีติดตัวมาไม่เท่าเทียมกัน แต่นั่นสามารถฝึกฝนได้ภายหลัง ไม่ลำบากยากเย็นเท่าใดนัก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งติดตัวมานั้น ในแต่ละคนมีมากน้อยต่างกัน สิ่งที่กำลังเอ่ยกล่าวถึงนั้น ไม่อาจลอกเลียนหรือหยิบยืมกันได้จริง ๆ สิ่งนั้นมีหลายท่านเรียกว่า “พรสวรรค์”
ในเมื่อสวรรค์สรรค์สร้างมอบสิ่งนี้ให้มาแต่กำเนิด ขึ้นอยู่กับผู้ใดจะสามารถนำพรสวรรค์นั้น ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดมาทำประโยชน์ หรือก่อโทษเหตุเภทภัย ในร่างของคนผู้หนึ่ง อาจแฝงไว้ซึ่งดีชั่วดำขาวเคล้าคละปะปน สิ่งแวดล้อมรอบตัว คล้ายมีผลให้คนก้าวถูกผิดคิดชั่วดี การอบรมบ่มสั่งสอนตั้งแต่เด็กนั้น คล้ายดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ ท่านว่าจะแต่งแต้มสีสันย่อมได้ดั่งใจปรารถนา แต่ทว่าหากผ้านั้นหม่นหมองมอมแมมสกปรกแล้ว จะเติมแต้มสีขาวลงไปเท่าใดย่อมไร้ผล เกิดเป็นคนหากมีคุณธรรมเป็นที่ตั้ง นับว่าประเสริฐสุด
ที่กล่าวมาทั้งหมดเปรียบได้คล้ายกับจ่านจือ ตั้งแต่เด็กระกำลำบากอดอยากหิวโหย จำความได้ไร้ซึ่งบิดรมารดาอยู่ข้างกาย การที่ต้องพึ่งตัวเองเพื่อเอาตัวรอด เป็นการฝึกฝนความอดทน อีกทั้งยังไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคขวากหนาม
สวรรค์ย่อมไม่ทอดทิ้งคนดี เด็กน้อยได้ป้าหนิวเก็บมาเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ตั้งแต่เล็กต้องทำงานสารพัดไม่อาจเกียจคร้าน การตรากตรำทำงานหนัก จึงเป็นการเพาะสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง ป้าหนิวสอนให้เด็กน้อยช่วยงานเพื่อนบ้าน โดยมิหวังสิ่งตอบแทนแต่ประการใด นั้นจึงเป็นการปลูกฝังคุณธรรม ให้เด็กน้อยเป็นคนมีน้ำใจไม่เห็นแก่ตัว อีกทั้งยังรักษาสัจจะซื่อสัตย์เที่ยงตรง
เช้านี้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกกล่าวให้จ่านจือขึ้นเขาหาเก็บสมุนไพร เพื่อนำมาปรุงยาตัวหนึ่ง จ่านจือเร่งเร้าพลังลมปราณในร่างพลางกระโดดทะยานแคล่วคล่อง ใช้เพียงปลายเท้าสะกิดชะง่อนหิน หยิบยืมพลังขึ้นสู่ยอดเขาอย่างง่ายดาย มิสิ้นเปลืองแรงแม้แต่น้อย
หากเป็นเช่นกาลก่อน กว่าจ่านจือจะปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้ได้ ต้องใช้เวลาถึงครึ่งค่อนวัน เขาแทบสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังเหนื่อยหอบกระทั่งหายใจไม่ทัน อีกทั้งเม็ดเหงื่อไหลโซมกายเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง
จ่านจือจดจำลักษณะเฉพาะ ของสมุนไพรได้อย่างแม่นยำยิ่ง จึงใช้เวลาไม่นานนัก เสาะพบสมุนไพรที่เจ้าโอสถสายรุ้งเยี๊ยะเทียนท่านต้องการ เขาไม่รีรอรีบล้วงมีดพกเล่มเล็กจากอกเสื้อ ออกมาตัดต้นสมุนไพรเหล่านั้น แล้วบรรจุใส่ห่อผ้า หลังจากนั้นจ่านจือใช้ท่วงท่ากระโดดไม่กี่ครา พาร่างลงสู่เชิงเขาเบื้องล่างอย่างสวยงาม
เมื่อมาถึงเชิงเขาเบื้องล่าง จ่านจือรีบเดินทางกลับไปยังที่พักทันที ระหว่างทางก่อนบรรลุถึงที่พักราวครึ่งลี้ เหลือบแลเห็นเงาหลังของร่างคนผู้หนึ่ง มองเห็นไม่ถนัดชัดเจนนัก เงานั้นพุ่งร่างออกจากไปรวดเร็ว จ่านจือจึงเร่งฝีเท้าติดตามไป เพื่อพิสูจน์ดูว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ เพราะตั้งแต่เขาอาศัยอยู่ที่หุบเขาสายรุ้ง ที่ผ่านมามิเคยมีผู้ใด ก้าวล่วงเข้ามาในบริเวณนี้แม้แต่ผู้เดียว
มีเพียงแต่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเท่านั้น ซึ่งท่านเดินทางเข้าออกจากหุบเขาไปหลายครา บางครั้งท่านเดินทางออกจากหุบเขา เป็นเวลาสองสัปดาห์ถึงครึ่งเดือน บางคราวเนิ่นนานเป็นเดือน ปล่อยให้จ่านจืออาศัยอยู่ภายในหุบเขา เพื่อฝึกฝนวิชาฝ่ามือโดยลำพัง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าวกับจ่านจือแต่เพียงว่า ท่านจะออกจากหุบเขาไปทำธุระประการหนึ่งเท่านั้นเอง
จ่านจือสลัดศีรษะไปมา คิดว่าตนเองคงตาฝาดไปเอง เมื่อไม่เห็นผู้ใด ดังนั้นจึงหันหลังกลับเร่งฝีเท้าสู่ที่พัก เมื่อกลับมาถึง พบเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านยืนอยู่บริเวณลานกว้างด้านหน้าที่พัก ครั้นท่านเห็นเขากลับมา รีบบอกให้เขานำสมุนไพรเข้าไปเก็บด้านใน
“จ่านจือ เจ้ากลับมาพอดี รีบนำตัวยาไปเก็บด้านแล้วออกมาหาอาจารย์”
จ่านจือรีบกล่าวรับคำ พร้อมบอกเล่าต่อผู้เป็นอาจารย์ว่า
“เรียนอาจารย์ วันนี้ข้าพเจ้าขึ้นเขาเสาะหาสมุนไพรได้หลายชนิด อีกทั้งจำนวนมากมายยิ่ง”
กล่าวจบจ่านจือรีบวิ่งเข้าไปด้านใน เมื่อวางห่อผ้าบรรจุสมุนไพรไว้บนแคร่ไม้ไผ่แล้ว เขารีบวิ่งกลับออกมาโดยทันที ขณะที่ก้าวเท้าออกมา ความคิดหนึ่งใคร่เอ่ยถามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ว่าท่านพบเห็นผู้ใดเข้ามาในหุบเขาสายรุ้งหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งเกรงว่าท่านจะกล่าวหาว่าเขาตาฝาด ดังนั้นจ่านจือจึงเก็บคำถามนี้ไว้ พอดีเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เอ่ยกล่าวกับเขาขึ้นก่อนว่า
“จ่านจือ เจ้าหายเหน็ดเหนื่อยแล้วหรือไม่? วันนี้อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาดาวดึงส์ให้กับเจ้า วิชาชุดนี้รวบรวมเอาจุดเด่นของสี่ธาตุ นั้นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟเข้าด้วยกัน ถือว่าเป็นสุดยอดวิชา ที่ปรมาจารย์บัญญัติขึ้น จุดเด่นของวิชาชุดนี้อาศัยความแข็งแกร่งดุดัน ของธาตุดิน ผสมผสานกับธาตุไฟอันร้อนแรง ผนวกกับความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นของธาตุน้ำ อีกทั้งยังมีความพลิ้วไหวของธาตุลม ดังนั้นเจ้าจงตั้งใจจดจำกระบวนท่าเอาไว้ให้ดี”
ระยะเวลาที่ผ่านมาห้าปี จ่านจือปรับพื้นฐานกำลังภายในจนแข็งแกร่ง ทุกค่ำคืนก่อนเข้านอน เขาจะนั่งโคจรพลังลมปราณภายในครึ่งชั่วยาม ทุกเช้าเย็นจ่านจือยังฝึกกระบวนท่าพื้นฐานวิชาบู๊จนแตกฉาน ได้ยินว่าวันนี้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์ ท่านจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาดาวดึงส์ของท่านให้กับเขา จึงรีบประสานมือกล่าวคำขอบคุณต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จากนั้นส่งเสียงกล่าวอย่างยินดีว่า
“ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาสอนสั่งศิษย์จ่านจือ ทราบว่าวิชาชุดนี้เป็นสุดยอดวิชาที่อาจารย์หวงแหน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะยังไม่เคยชมท่านแสดงวิชาฝ่ามือกับตามาก่อน แต่พอจะคาดเดาได้ว่า วิชาดาวดึงส์ของท่าน ชุดนี้ต้องร้ายกาจลึกล้ำ อีกทั้งยังพิสดารอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาอาจารย์เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยอบรมศิษย์ ดังนั้นศิษย์จะไม่สร้างความเสื่อมเสียหน้าให้กับอาจารย์ เพื่อมิให้อาจารย์ผิดหวัง ข้าพเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มความสามารถ”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อเห็นศิษย์ของตนรับปากอย่างแข็งขัน จึงเผยยิ้มอย่างพึงพอใจ พร้อมกับเรียกจ่านจือให้เข้ามาใกล้ ๆ จากนั้นท่านจึงเริ่มถ่ายทอด สุดยอดวิชาดาวดึงส์ให้กับเขา
“วิชาดาวดึงส์ชุดนี้ มีอยู่ด้วยกันเก้าท่า ในแต่ละท่าแปรเปลี่ยนได้สิบสองกระบวนท่า รวมเป็นร้อยแปดกระบวนท่า เพลงยุทธ์ชุดนี้ เน้นกำลังภายในเป็นหลัก ลมปราณต่อเนื่อง ทุกกระบวนท่าแข็งแกร่งดุดัน อีกทั้งยังผันแปรรวดเร็ว เน้นฝ่ามือเป็นหลัก เท้าเป็นรอง เปลี่ยนรุกเป็นรับเปลี่ยนรับเป็นรุกได้อย่างแยบยล หากฝึกฝนสำเร็จ สามารถโค่นต้นไม้ ทลายหินผา ได้โดยง่ายดายดั่งใจปรารถนา วิชาฝ่ามือนี้สามารถทำลายล้างอาวุธ สารพัดชนิดได้ในพริบตา อาจารย์จะเริ่มสอนท่าที่หนึ่งซึ่งเรียกว่า “ดาวเย้ยเดือน”จ่านจือเจ้าตั้งใจดูให้ดี ท่าที่สอง “ดาวเกลื่อนนภา” ท่าที่สาม “ดาวเคลื่อนเดือนคล้อย” ท่าที่สี่ “ขยี้ดาวใต้แสงจันทร์” ท่าที่ห้า “ดาวทะยานฟ้า” ท่าที่หก.....”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ปากกล่าววาจา ฝ่ามือกับเท้านั้นร่ายรำกรีดกราย สลับซ้ายไปขวาเผยกระบวนท่าให้จ่านจือดู ทุกท่วงท่าก้าวย่าง รวดเร็วดุดัน ผันแปรพิสดาร ในความดุดันอันเกรี้ยวกราด ยังมีความร้อนแรง อีกทั้งยังแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นแผ่ซ่าน
ผ่านไปหลายกระบวนท่า จ่านจือชมดูสายตาจนแทบละลานตา พร่าพราย เขาจับจ้องทุกท่วงท่าเคลื่อนไหวโดยไม่กะพริบตา ดังนั้นเขาจึงจดจำกระบวนท่า ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้โดยมิตกหล่น มองเห็นร่างของอาจารย์ ท่านพลิ้วไหวไปมา คล้ายดั่งสายลมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพัดหอบอยู่ไปมาในอากาศปานฉะนั้น
ทุกครั้งที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านวาดมือวางเท้าก้าวกระโดด ล้วนเกิดเป็นเสียงหวืดหวือของฝ่ามือ และเท้าแหวกพุ่งฝ่าอากาศ สลับสับเปลี่ยนกับเสียงทึบทึบหนัก ๆ คละเคล้ากันไปในเวลาเดียวกัน
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ร่ายรำกระบวนท่าทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรงดุดัน ทุกครั้งที่ท่านผลักฝ่ามือหรือต่อยหมัดออกไป ก่อเกิดเป็นเสียงครืนครั่นดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกันนั้นรอบกายยังก่อเกิดเป็นพลังไร้สภาพม้วนตัวเป็นเส้นสาย เคลื่อนย้ายตามท่วงท่าการวาดมือวางเท้า ทำเอาเศษกิ่งไม้ใบหญ้าโดยรอบ ปลิดปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
จนกระทั่งมาถึงกระบวนท่าสุดท้าย เรียกว่าย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล รอบด้านก่อเกิดเป็นขุมพลัง กระแทกสะท้อนย้อนไปมา เสียงตูมเมื่อดังต้นไม้ด้านข้าง หักโค่นล้มครืนลงเมื่อสิ้นเสียง พร้อมกับก้อนหินผาขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ถัดไปแตกละเอียดปลิวเวียนว่อน กระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศแปดทาง
เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ร่ายรำกระบวนท่าจบลงแล้ว ท่านสั่งให้จ่านจือร่ายรำกระบวนท่าให้ท่านดู เขามิรอช้าก้าวออกมาพร้อมกับร่ายรำกระบวนท่า ที่เห็นมาอย่างคล่องแคล่ว ทุกกระบวนท่าของอาจารย์จดจำแม่นยำมิผิดพลาด คล้ายกับสวรรค์ส่งเขามาเพื่อเป็นผู้กล้าฝึกวิชาบู๊ก็มิปาน
จ่านจือฝึกฝนอยู่หนึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วยามมีสองชั่วโมง ในหนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม) หลังจากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เรียกเขามานั่งลงตรงแผ่นหินราบเรียบแผ่นหนึ่ง แล้วชี้แนะเคล็ดการเคลื่อนย้ายจุดชีพจรให้จ่านจือท่องจำ พร้อมกับอธิบายเคล็ดวิชาดาวดึงส์อย่างละเอียด จ่านจือเป็นคนหัวไวเฉลียวฉลาด ท่องเพียงแค่สองเที่ยวจดจำได้ขึ้นใจ พร้อมกับเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชาดาวดึงส์ได้ไม่ยากเย็น
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกให้จ่านจือทำความเข้าใจกับเคล็ดการเปลี่ยนแปลงให้ดี เมื่อเขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว ต่างกลับเข้าที่พัก หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกกล่าวต่อจ่านจือว่า พรุ่งนี้เช้าท่านจะเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง ซึ่งท่านต้องไปทำธุระอีกหลายประการ ก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินอีกหกเดือนข้างหน้า
“อาจารย์จะออกเดินทางไปก่อน เนื่องด้วยยังมีธุระสำคัญที่จะต้องสะสาง สำหรับอยู่ภายในหุบเขาสายรุ้ง อย่าได้เกียจคร้านเป็นอันขาด หมั่นฝึกปรือกระบวนท่า ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาดาวดึงส์ เจ้าจึงจะสำเร็จก้าวหน้าดั่งที่อาจารย์ตั้งใจ”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกว่าท่านจะล่วงหน้าไปก่อน อีกทั้งยังต้องเสาะหาสหายเก่าหลายคนของท่าน สั่งกำชับให้จ่านจือฝึกปรือวิชาอยู่ในหุบเขา หลังจากวันนี้อีกสี่ห้าเดือน ให้เขาเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง แล้วนัดพบเจอกันที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุน ในนครหลวงลั่วหยาง
“ศิษย์จ่านจือจะมิลืมคำสอนสั่งท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะหมั่นฝึกซ้อมกระบวนท่า อีกทั้งทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาดาวดึงส์ให้กระจ่าง จะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเด็ดขาด”
เมื่อท่านสั่งจ่านจือ พร้อมนัดหมายวันเวลา และสถานที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกให้เขาเข้านอนพักผ่อน ท่านเองจะไปเก็บเสื้อผ้าสัมภาระ แล้วเข้านอนพักผ่อนเช่นกัน จ่านจือตอบรับคำอย่างมั่นเหมาะ แล้วแยกย้ายกลับห้องพัก หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้ว เขารีบทิ้งตัวลงลงนอน ในใจกลับตื่นเต้นมิได้ ที่ขาจะกลับไปจงหยวนบ้านเกิดอีกครั้ง
จ่านจือตั้งใจไว้ว่า เมื่อเดินทางไปถึง ก่อนอื่นจะต้องกลับไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ เพื่อกราบเคารพหลุมศพมารดาบุญธรรม ที่ผ่านมาเขามิเคยลืมบุญคุณท่าน อีกทั้งความรักของมารดาบุญธรรมที่มีต่อตนเอง หากดวงวิญญาณท่านรับรู้ คงปลาบปลื้มปีติยินดีกับเขาแน่นอน ซึ่งในวันนี้จ่านจือไม่ลำบากเช่นกาลก่อน แถมยังมีความสำเร็จขั้นหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะไปบอกต่อหน้าหลุมฝังศพมารดาบุญธรรม ว่าเขาจะแก้แค้นคนชั่วสามคน ที่พวกมันทำร้ายท่าน เพื่อให้วิญญาณของท่านไปสู่ปรภพอย่างสงบ
ก่อนจะหลับใหล จ่านจือกลับนึกถึงใบหน้าดุดัน และดวงตาเจ้าเล่ห์คู่หนึ่งขึ้นมามิได้ การกลับไปจงหยวนครานี้ เขาจะเจอคนผู้นั้นอีกหรือไม่ คิดถึงตอนนี้กลับหลับใหลไปอย่างสุขใจ
สำนักมารสวรรค์ เขาหมางซาน
สำนักมารสวรรค์ ตั้งอยู่ด้านหนึ่งของเขาหมางซาน เจ้าสำนักเป็นสตรีฉายานางมารเยือกเย็น นามเหยาเยิ๊ยะเหยียน บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับซึ่งเคยปรากฏตัวอยู่หลายครั้ง แท้จริงเป็นสตรีหาใช่บุรุษไม่ นางเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ นามว่าเหยาเยี่ยนผิง มีฐานะเป็นนายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์แห่งนี้ เป็นบุตรีของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนนั้นเอง
ส่วนอีกผู้หนึ่งซึ่งเคยปลอมเป็นแม่ชีนิรนาม ร่วมกับนางมารเยือกเย็น นางมีนามว่าอั้งเซี๊ยะเปา เป็นผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นกุนซือของสำนักมารสวรรค์ เป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเจ้าสำนักมารสวรรค์แห่งนี้ นางมารเยือกเย็นรักใคร่ ในตัวอั้งเซี๊ยะเปาดุจน้องสาว ส่วนนายน้อยเหยาเยี่ยนผิง นับถือนางเป็นดั่งน้าสาวเช่นกัน
วันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อยู่ในชุดยาวสดใสสีแสดแถบม่วง สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเพลิง ร่างสูงระหงองเอวได้สัดส่วนดูมีสง่าราศี แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นไร้เรื่องราว อายุประมาณสี่สิบเศษ แต่ทว่ายังดูเปล่งปลั่งผิวพรรณยังเต่งตึงมิหย่อนยาน แสดงว่านางมารเยือกเย็นคงดูแลตนเองเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ฝึกวิชามารจนทำให้ผิวหนังเต่งตึงไม่เหี่ยวหย่อนยาน
ส่วนอั้งเซี๊ยะเปานางแต่งชุดสีเทาเข้ม อายุราวสี่สิบปี วันนี้ทั้งคู่สลัดคราบนางชีออกจนหมดสิ้น เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือน จะถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ดังนั้นทั้งสองจึงกลับมายังที่ตั้งของสำนักมารสวรรค์ เพื่อมากำหนดแผนการกันอีกที
ก่อนหน้านั้น ทั้งคู่ปลอมเป็นแม่ชีออกไปก่อกวนยุทธภพด้วยกัน ทำให้ชาวยุทธ์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนของอารามอเทวตา จนมีบรรดาชาวยุทธ์มากมาย บุกรุกขึ้นไปยังอารามอเทวตา แต่ไม่สามารถบุกขึ้นไปได้ ล้วนถูกนางชีในอารามสกัดขัดขวาง สืบเนื่องด้วยแม่ชีทุกนาง ต่างมีฝีมืออันร้ายกาจน่ากลัว จนผู้บุกรุกไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่ปลายขน
ชาวยุทธ์ทุกคนที่บุกขึ้นไป ล้วนพบแต่เพียงแม่ชีแปดนางเท่านั้น หาได้พบกับนางชีเทวราชชิ้วโส่วเจ้าสำนักไม่ สาเหตุที่นางชีเทวราชชิ้วโส่วมิได้ออกมา เนื่องจากนางเก็บตัวอยู่ในอาราม ซึ่งเป็นห้องลับฝึกวิชาเก้าชโลทรขั้นสุดท้าย เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือน นางจะฝึกสำเร็จขั้นสูงสุดแล้ว คิดว่าก่อนถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน นางชีเทวราชชิ้วโส่ว นางต้องออกมาตอบโต้ชาวยุทธ์อย่างแน่นอน
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมบุด้วยขนเตียวนุ่มนิ่มสีขาว โดยมีเหยาเยี่ยนผิงนั่งอยู่ไม่ห่าง ด้านข้างยืนอยู่ด้วยอั้งเซี๊ยะเปา ด้านหน้าห่างออกไปราวห้าหกวา ยืนอยู่ด้วยผู้คนสิบกว่าคน ล้วนแล้วแต่เป็นมือดีของสำนักมารสวรรค์ สิบห้าปีที่ผ่านมานี้ แม้สำนักมารสวรรค์ จะไม่เคยปรากฏตัวต่อยุทธภพ แต่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยีน ได้วางคนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ และส่งข่าวคราวกลับมาจากทั่วสารทิศทุกอย่างล้วนเป็นความลับสุดยอด
ส่วนนายน้อยเหยาเยี่ยนผิง วันนี้อยู่ในชุดรัดกุมสีขาวสลับดำ รวบผมตึงสวมรัดเกล้าสีเงินไว้กึ่งกลางศีรษะ ถึงแม้จะเป็นสตรี แต่นางชื่นชอบการแต่งกายเช่นบุรุษมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่นางออกท่องเที่ยวยุทธภพ มิเคยแต่งกายเช่นสตรีแม้แต่ครั้งเดียว
ด้านนิสัยใจคอ เหยาเยี่ยนผิงได้ความเยือกเย็นเจ้าเล่ห์ มาจากนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แต่อีกด้านหนึ่งนางกลับมีความคิดเป็นของตนเอง และกระทำการใดโดยมิยอมให้ผู้ใดขัดใจบงการ แม้แต่มารดาของนางเองก็ตาม
เหยาเยี่ยนผิงด้านรูปโฉมโนมพรรณของนาง หากนางแต่งกายเป็นสตรีแล้ว คิดว่าในใต้หล้ายากหาผู้ใดงามเทียบเปรียบได้ ความงามของนางดุจดั่งเทพธิดาเหินลงมาจากสรวงสวรรค์มิปาน รูปร่างของนางอ้อนแอ้นอรชรดูระหง ผิวขาวนวลเนียนผุดผ่องอมชมพูเปล่งปลั่ง ทรวดทรงองค์เอวได้สัดส่วน ส่วนไหนควรเว้าก็เว้า ส่วนไหนควรนูนก็นูนไร้ที่ติ วงพักตร์เรียวรีดั่งไข่หงส์ ขนงวงคิ้วเรียวก่งโค้งปานวงจันทร์เดือนเสี้ยว สองเนตรกลมโตดำขลับดุจนิล ภายใต้แผงขนตาหนางอนอย่างตั้งใจ จมูกเรียวโด่งรับกับริมฝีปากบางอวบอิ่มระเรื่อ ยามแย้มยิ้มพรายเผยเห็นฟันซี่ขาวดั่งไข่มุก เรียงร้อยอย่างเป็นระเบียบ แต่ด้านพลังฝีมือนับว่าร้ายกาจนัก
บางครั้งนางเกิดมีความเห็นขัดแย้ง กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แต่ได้อั้งเซี๊ยะเปาคอยไกล่เกลี่ยให้ระหว่างแม่ลูก เหยาเยี่ยนผิงนางจะขัดคำสั่งของมารดา หากคำสั่งนั้นนางเห็นว่าไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังไม่ถูกใจนาง แต่ถึงเช่นไรเหยาเยี่ยนผิง นางเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ เรื่องราวที่นางออกไปกระทำ ล้วนส่งผลดีให้กับสำนักมารสวรรค์แห่งนี้
ครั้งก่อนนางได้รับคำสั่งจากมารดา ให้ติดตามสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แต่เมื่อนางติดตามไปถึงหุบเขาสายรุ้ง นางกลับหาเส้นทางเข้าหุบเขาสายรุ้งเขาไม่เจอ จึงได้ล่าถอยกลับมา บัดนี้ล่วงเลยผ่านไปห้าปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่นางออกไปก่อกวนชาวยุทธ์
เหตุผลหนึ่งที่นางออกไปสร้างเรื่องราวมากมาย ให้ยุทธภพปั่นป่วนวุ่นวาย ด้านหนึ่งนางกลับเสาะหาคนผู้หนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาไร้วรยุทธ์ นางเองยังไม่ทราบเช่นกันว่า นางต้องการเสาะหาเขาเพื่ออะไร คิดแต่เพียงเหตุผลเดียว นางอยากทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ที่ใด ทำสิ่งใดอยู่ในเวลานี้ หรือว่าถูกสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ฆ่าตายไปแล้วก็อาจจะเป็นไปได้
บางครั้งนางยังพึมพำกับตนเองว่า
“เจ้าทึ่ม หรือว่าเจ้าตายไปแล้วจริง ๆ โง่งมเช่นท่าน แถมยังมิเอาไหนปานนั้น หากมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ นับเป็นเรื่องราวอันแปลกประหลาดไปแล้ว”
เมื่อครั้งที่เหยาเยี่ยนผิง พร้อมกับมารดา พร้อมทั้งอั้งเซี๊ยะเปากลับจากกังหนำ พอกลับมาถึงสำนักมารสวรรค์ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยีน ได้สอบถามเรื่องราวกับนางว่า ครั้งก่อนที่ให้นางออกติดตามร่องรอย ของพี่น้องแซ่เฟิ่นได้เบาะแสอะไรบ้าง
เหยาเยี่ยนผิงตอบกลับไปว่า
“ข้าพเจ้าไล่ติดตามไปไม่ห่าง แต่มิทราบว่าพวกมันทั้งสอง ใช้เส้นทางอันใดวกวน ข้าพเจ้าจึงคลาดจากพวกมันทั้งสองไป ร่องรอยของพวกมันทั้งสองหายไปบริเวณหุบเขาสายรุ้ง”
ข่าวที่นางทราบมา ล้วนไม่อาจรอดพ้นหูตาของนางมารเยือกเย็น เหยาเยี๊ยะเหยียน ดังนั้นนางจึงได้แต่กล่าวว่า ส่วนใหญ่นางจะออกไปหาความสำราญสนุกสนานเสียมากกว่า ครั้งแรกเข้าไปในงานอวยพรของหลิวซุ่นกงกง โดยมิได้รับเทียบเชิญ บังเอิญคืนนั้นเกิดมีคนถูกฆ่าตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวซุ่นกงกง
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวถามว่า
“ค่ำคืนนั้นในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเกิดเรื่องราวใดขึ้น?”
ค่ำคืนนั้นก่อนที่นางจะเร้นกายออกมาจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า นางพบเห็นคนชุดดำผู้หนึ่ง ปิดหน้าปิดตามิดชิด มิได้พกพาอาวุธ เห็นมันผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในซอกมือมุมหนึ่ง ซึ่งลับสายตาผู้คน ด้วยนางกลัวฐานะที่แท้จริงของนาง จะถูกผู้คนพบเห็นเช่นกัน ดังนั้นจึงมิได้ใส่ใจคนลึกลับผู้นั้น นางรีบเร้นกายจากมา ภายหลังถึงทราบข่าวว่ามีคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า จึงคิดว่าคนชุดดำผู้นั้น ต้องเป็นคนลงมือแน่นอน
“ข้าพเจ้าเห็นคนชุดดำผู้หนึ่ง แถมยังคลุมหน้ามิดชิด แอบหลบซ่อนในมุมมืดซอกหนึ่ง ค่ำคืนนั้นมีคนตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ส่วนรายละเอียดเป็นเช่นไรนั้น ข้าพเจ้าจึงมิได้อยู่สืบสาว ด้วยเกรงว่าฐานะของข้าพเจ้าจะถูกเปิดเผย”
เมื่อนางเล่าเรื่องราว ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนชุดดำ ที่หลบซ่อนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ให้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กับอั้งเซี๊ยะเปาฟัง นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สันนิษฐานว่าอาจเป็นบุคคลเดียวกับที่นางพบเจอ ยังเนินเสือดาวก็เป็นได้ กระทั่งบัดนี้ นางให้คนออกสืบข่าวหาคนผู้นี้ แต่ยังไร้วี่แววเบาะแสกลับมา
หลังจากออกจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เหยาเยี่ยนผิงเดินทางไปยังหมู่บ้านเย้ยอรุณ ตามคำสั่งของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางปลอมตัวเป็นบุรุษชุดดำ ไปพบกับชุดดำอีกผู้หนึ่ง ซึ่งเคยมาพบกับมารดาของนาง ที่สำนักมารสวรรค์อยู่หลายครั้ง แต่กระทั่งบัดนี้ เหยาเยี่ยนผิงกลับไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง ของบุคคลชุดดำผู้นี้แม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากทุกครั้งที่เจอกับคนผู้นี้ มันล้วนปิดบังใบหน้าอำพรางตลอดเวลานั้นเอง
นางเคยสอบถามมารดา ว่าชุดดำลึกลับมันเป็นผู้ใด แต่คำตอบที่ได้กลับมา บอกแต่เพียงว่าสักวันนางจะทราบกระจ่างเอง
“เจ้ามิต้องทราบประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ กระทั่งมารดาร่วมมือกับมันมาหลายปี เราเองยังไม่ทราบเช่นกันว่า มันที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่?”
นางมารเยือกเย็นบอกกล่าวกับนางเช่นนี้ทุกครั้ง มิว่านางจะเอ่ยถามความเป็นมาของคนผู้นี้กี่ครั้งก็ตาม
เหยาเยี่ยนผิงทราบแต่เพียงว่า มันเป็นคนที่ร่วมแผนการยึดครองยุทธภพ ร่วมกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจึงไม่ซักถามหาคำตอบอีก
ค่ำคืนที่นางไปพบกับคนชุดดำผู้นี้ บริเวณท้ายหมู่บ้านเย้ยอรุณ ขณะกำลังสนทนา นางพบเห็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ดังนั้นนางกับชุดดำผู้นั้นจึงสะกดรอยติดตามไป จากนั้นลอบฟังการสนทนาของทั้งคู่ หลังจากนั้นมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งมุ่งหน้ามา จึงพากันแยกย้ายกับคนชุดดำผู้นี้ จากนั้นเดินทางกลับมายังสำนักมารสวรรค์ เขาหมางซาน
คนชุดดำลึกลับผู้นั้น แม้แต่ชื่อแซ่ของมัน เหยาเยี่ยนผิงยังมิทราบ มารดาของนางได้แต่ให้เรียกหาว่า ท่านอาวุโสก็เพียงพอ ดังนั้นนางจึงเรียกเช่นนี้เรื่อยมา กระทั่งเมื่อสองเดือนก่อน คนผู้นี้ได้เดินทางมายังสำนักมารสวรรค์อีก มันมาเพื่อพบกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อีกทั้งยังสนทนากันอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน
ส่วนเรื่องราวของยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งนางได้รับคำสั่งจากมารดา ให้ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไปนั้น นางเพียงเล่าเรื่องราวให้กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนทราบ ถึงแม้นว่าจะบอกเล่าโดยละเอียดเพียงใด แต่นางจงใจและปกปิด โดยข้ามเรื่องราวหนึ่งไป
เรื่องราวที่นางกล่าวข้าม เป็นเรื่องราวซึ่งนางได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเอาไว้นั้นเอง นางเห็นว่าไม่มีสาระสำคัญอะไร อีกทั้งนางและมารดามิเห็นจะต้องเสียเวลา กับคนไร้หัวนอนปลายเท้าชั้นปลายแถวผู้หนึ่ง
เด็กหนุ่มซอมซ่อแถมไร้วรยุทธ์ผู้หนึ่ง คงมิส่งผลกระทบถึงแผนยึดครองยุทธภพไปได้ ที่จริงแล้ว นางมิได้ตั้งใจช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะนางต้องการก่อกวน สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งนั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม นางกลับมิเข้าใจตนเองเช่นกัน บ่อยครั้งที่นางกลับนึกถึงใบหน้าทึ่มเซ่อ ของเด็กหนุ่มซอมซ่อผู้นีขึ้นมามิได้
อีกสองเดือนหลังจากนี้ การชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน กำลังจะมาถึง ดังนั้นวันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จึงเรียกระดมหัวหน้าสาขาต่าง ๆ เข้ามาพบ จุดประสงค์เพื่อชี้แจงรายละเอียด แผนการต่าง ๆที่ได้วางเอาไว้ สำหรับก่อกวนงานชุมนุมชาวยุทธ์ การคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ มิได้มีข้อห้ามแต่ประการใด ว่ามิให้สำนักมารอธรรมทั้งหลาย เข้าร่วมงานชุมนุม เมื่อเป็นเช่นนี้ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จึงเตรียมการ สำหรับเดินทางไปเส้าหลินในครั้งนี้นั้นเอง
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางเองต้องการทราบเบาะแสของผู้ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับฆ่าคนเช่นกัน แม้การลงมือของคนลึกลับผู้นี้ จะส่งผลดีต่อนางอยู่บ้างก็ตาม มังกรพยัคฆ์ห้ำหั่นกัน เพียงยืนชมอยู่บนภู คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง เช่นนี้จะได้มิต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง
ในเมื่อฝ่ามือลึกลับผู้นั้น มันลงมือเข่นฆ่าบรรดาชาวยุทธ์ โดยที่นางมิต้องลงมือเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นางยังต้องการทราบ ว่าเจ้าของฝ่ามือลึกลับนันเป็นผู้ใด ใช่นางจะใช้สอยประโยชน์จากมันได้หรือไม่ หรือว่ามันจะเป็นก้างชิ้นใหญ่ คอยขัดขวางแผนการของนางกันแน่
ที่ผ่านมาชาวยุทธ์ต่างยกย่อง ให้เจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลิน ดำรงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ชั่วคราว แต่อีกเพียงสองเดือนข้างหน้านี้ จะมีการชุมนุมชาวยุทธจักร พร้อมกับจัดให้มีการคัดเลือกประมุขยุทธภพอีกด้วย โดยกติกาเงื่อนไขในการคัดเลือกนั้น จะหารือและหาข้อยุติกันในวันชุมนุม เมื่อถึงวันนั้น จะได้ทราบว่าผู้ใด มีคุณสมบัติเป็นผู้นำชาวยุทธ์คนต่อไป
ถึงแม้ว่าชาวยุทธ์ และราชสำนัก ต่างร่วมมือกันสืบหาฝ่ามือลึกลับก็ตาม กระทั่งบัดนี้ยังมืดดำบอดสนิท มิมีสิ่งใดคืบหน้า แต่ทว่ายังดีที่ว่าช่วงระยะเวลานี้ คนลึกลับผู้นี้ มันมิได้ลงมือเข่นฆ่าผู้ใดอีก
วันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เรียกสายของนางมาสอบถาม ซึ่งเป็นสายที่นางวางไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ นางส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ได้เบาะแสอันใดหรือไม่? ฝ่ามือลึกลับผู้นั้น มันไม่ปรากฏตัวสักระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าก่อนวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน มันคงก่อกวนสร้างเรื่องราวสะเทือนขวัญอย่างแน่นอน”
สายของนางผู้หนึ่งมีนามว่าอาโต่ว ส่งเสียงกล่าวตอบกับนางว่า
“พวกเราออกหาข่าวแกะร่องรอยมิได้เว้น คล้ายดั่งคำท่านกล่าว ฝ่ามือลึกลับผู้นี้ เก็บตัวซ่อนร่องรอยมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงยังมิได้เบาะแสอันใด? เกี่ยวข้องกับมันแม้แต่น้อย”
เมื่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สอบถามสายคนอื่น ๆ ว่าได้เบาะแสของผู้ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับนี้หรือไม่ คำตอบที่ได้ ทุกคนต่างตอบตรงกันว่า มิได้เบาะแสเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นี้ ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับสังหารชาวยุทธ์แม้แต่เบาะแสเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จึงให้ทุกคนออกไปจากห้องโถง โดยกล่าวว่าก่อนพลบค่ำ นางค่อยเรียกพบอีกครั้งหนึ่ง ที่หลงเหลือภายในห้องโถง มีเพียงสองคนเท่านั้น สองคนที่ว่าคือเหยาเยี่ยนผิง กับอั้งเซี๊ยะเปา นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวกับพวกนางทั้งสองว่า
“มันเป็นผู้ใดกันแน่? ที่ใช้ฝ่ามือนี้ ซึ่งความจริง ๆ แล้ว วิชาฝ่ามือนี้ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพ เนิ่นนานหลายปีแล้ว คิดมิถึงกลับมีคนนำมาใช้ วิชาฝ่ามือนี้กลับมาฆ่าคนได้อีก เรายิ่งขบคิดยังคิดไม่ออก หากยังไม่ทราบชัด ว่าที่แท้มันเป็นใคร? เราไม่อาจนิ่งนอนใจได้เด็ดขาด”
อั้งเซี๊ยะเปา ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง นางได้ยินนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวถึงฝ่ามือลึกลับว่า วิชาฝ่ามือนี้ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงคาดเดาได้ทันทีว่า นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน คิดบอกเล่าเรื่องราวที่มา ของวิชาฝ่ามือนี้ ให้เหยาเยี่ยนผิงได้รับทราบนั้นเอง ส่วนนางนั้นเคยได้ฟังมาคราหนึ่งแล้ว จากการบอกเล่าของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เมื่อครั้งที่ทั้งสองปลอมเป็นนางชี ริมทะเลสาบต้งถิง
ดังนั้นอั้งเซี๊ยะเปาจึงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยา ท่านกล่าวถึงฝ่ามือนี้อีกแล้ว นอกจากท่านแล้ว ยังมีผู้ใดเคยพบเห็นวิชาฝ่ามือนี้อีกหรือไม่? เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอย่าได้ปิดบังอำพราง เวลานี้นายน้อยเยี่ยนผิงอยู่พร้อมหน้าด้วย เช่นนั้นท่านควรบอกเล่าความเป็นมา ของวิชาฝ่ามือนี้ ให้กับนางได้รับทราบด้วย นางจะได้ระมัดระวังตัว ด้วยกลัวว่าสักวันหนึ่ง พวกเราอาจจะได้ประมือกับคนผู้นี้”
เหยาเยี่ยนผิง นางเองกำลังจะเอ่ยถามมารดาเช่นกัน พอดีอั้งเซี๊ยะเปาเอ่ยถามขึ้นก่อน นางตั้งใจจะสอบถามมารดาอยู่หลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ พอมีโอกาสในครั้งนี้ จึงหันไปทางมารดา พร้อมกับส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ถูกต้องของท่านน้า มารดาต้องบอกเล่าออกมาแล้ว ไม่เพียงแต่ท่านน้าที่อยากทราบ ข้าพเจ้าเองต้องการทราบเช่นกัน ว่าฝ่ามือลึกลับนี้มีที่มาเช่นไร? ถึงได้ร้ายกาจน่ากลัวยิ่ง วิชานี้ฆ่าคนตายภายในฝ่ามือเดียว โดยไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผล แต่ทว่าอวัยวะภายใน กลับแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน หันหน้ามาทางอั้งเซี๊ยะเปากับเหยาเยี่ยนผิง พร้อมกับเอ่ยถามเหยาเยี่ยนผิงว่า
“เยี่ยนผิง วิชาฝ่ามือนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทกลอนประโยคหนึ่ง ซึ่งมารดาชอบท่องออกมา ให้เจ้าฟังอยู่บ่อย ๆ เจ้ายังพอจดจำได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินมารดากล่าวถาม ถึงบทกลอนประโยคหนึ่ง เหยาเยี่ยนผิงจึงนึกขึ้นมาได้ในทันที เป็นเพราะว่า นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน มักจะท่องบทกลอนประโยคนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ทุกครั้งที่นางท่องบทกลอนประโยคนี้ มักจะมีท่าทีโกรธเกรี้ยว คล้ายเกลียดแค้นชิงชัง ต่อผู้หนึ่งผู้ใดอยู่มิปาน จึงรีบกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าย่อมจดจำได้ มารดาท่านชอบร่ายกลอนบทนี้ ให้ข้าพเจ้าฟังอยู่บ่อย ๆ เยี่ยนผิงจะท่องออกมา ให้มารดารับฟังว่าถูกต้องหรือไม่?”
กล่าวจบคำ เหยาเยี่ยนผิง ท่องบทกลอนบทหนึ่งออกมา ให้แก่มารดา กับอั้งเซี๊ยะเปาได้รับฟัง นางท่องว่า
“ขุนเขาสูงหยั่งฟ้า สมุทรธาราลึกหยั่งดิน หยินหยางสร้างสรรพสิ่ง อัคคีสายลมสมดุล ดารากลาดเกลื่อนเคลื่อนคล้อย กำเนิดหมื่นเทพเซียนสวรรค์”
เหยาเยี่ยนผิงท่องบทกลอนออกไป จดจำได้ว่ายามใดที่มารดาท่องบทกลอนนี้ นางจะมีอารมณ์แปรปรวน หวนนึกถึงความหลัง คล้ายกับเจ็บช้ำน้ำใจ เคืองแค้นชิงชังผู้หนึ่งผู้ใดอยู่มิคลายกระนั้น เหยาเยี่ยนผิงนางเองเคยสอบถามมารดาอยู่หลายครั้ง ถึงที่มาของบทกลอนนี้ ที่แท้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ใด นางไม่เคยตอบคำถามนี้ ได้แต่ทอดถอนใจ แล้วสั่งห้ามว่าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
“ผู้ใดกันแน่? ผู้ซึ่งเป็นที่มาของฝ่ามือลึกลับนี้ หากข้าพเจ้าคาดเดามิผิด คงเป็นยอดคนผู้หนึ่งถูกต้องหรือไม่?”
เหยาเยี่ยนผิงกล่าววาจาคาดเดา นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเยียนเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าววาจาตอบว่า
“เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง ย่อมเป็นยอดคนผู้หนึ่ง? เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในยุคนั้น แต่ทว่าได้เกิดเรื่องราวมากมาย มารดาไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึง ยอดคนผู้นี้ท่านได้อำลาโลกนี้ไปเนิ่นนานสิบกว่าปีแล้ว แต่ทว่าครั้งที่ท่านยังมีชีวิต มิยอมถ่ายทอดวิชาฝ่ามือนี้ให้กับผู้ใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ทอประกายสายตาเย็นชา ซ่อนเร้นความเคียดแค้นแน่นอก ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“แม้กระทั่งศิษย์ของตนเองทั้งห้าคน ท่านยังไม่ยกเว้น ปล่อยให้วิชาฝ่ามือนี้สาบสูญไปสิบกว่าปี พอมีคนถูกสังหารตายภายใต้วิชาฝ่ามือนี้ คิดแล้วมารดาเอง ยังมืดแปดด้านเช่นกันว่าเป็นผู้ใดกันแน่? ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาฝ่ามือร้ายกาจนี้”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แสดงท่าทีโกรธขึ้งขึ้นมา เมื่อเอ่ยถึงยอดคนผู้นี้ นางหยุดวาจาครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า
“ยอดคนผู้นี้เพียงบอกกับศิษย์ทั้งห้าว่า กระบวนท่าวิชาฝ่ามือนี้โหดเหี้ยมอำมหิต ยิ่งฝึกยิ่งเพิ่มพูนไอเย็นแห่งความชั่วร้าย หากผู้ฝึกปราศจากจิตสำนึก ไร้ซึ่งคุณธรรม เมื่อฝึกแล้วอาจจะกลายเป็นมารได้ จึงมิยอมถ่ายทอดให้กับศิษย์ผู้ใด เพียงแต่บันทึกไว้บนจีวรผืนหนึ่ง ซึ่งห่มอยู่บนร่างของหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน แต่ทว่ามันได้สูญหายไปเนิ่นนานแล้วพร้อมกับร่างของหลวงจีนท่านนั้น ภายใต้หน้าผาเทพนิรันดร์ เขาหมื่นเซียน นึกมิถึงเลขจริง ๆ ล่วงเลยมากระทั่งบัดนี้ กลับมีคนตายภายใต้กระบวนท่าวิชาฝ่ามือนี้ มารดานึกมิออกว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าววาจาเพียงเท่านี้ มิได้เล่ารายละเอียดเพิ่มเติมอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น คนทั้งสองไม่อยากซักถาม เพราะเห็นสีหน้าของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เริ่มแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมา คนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา เพื่อมิให้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนโกรธแค้นมากไปกว่านี้ ปล่อยให้นางใจเย็นลงแล้วค่อยสอบถามรายละเอียดดูอีกทีในภายหลัง
เมื่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สงบจิตใจเป็นปกติแล้ว นางกล่าวกับเหยาเยี่ยนผิงว่า
“นับไปจากวันนี้ เหลือเวลาอีกเพียงหกเดือนเท่านั้น การชุมนุมชาวยุทธ์จะจัดขึ้นที่เส้าหลิน ครั้งนี้มารดาคิดว่า จะต้องมีบรรดาชาวยุทธ์มากมายทั่วสารทิศ ต่างเดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เยี่ยนผิงเจ้าเองเพิ่งออกท่องเที่ยวยุทธภพได้ไม่นานนัก ทางด้านสติปัญญากับวรยุทธ์ มารดาไม่ค่อยห่วงเจ้าเท่าใดนัก”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ทอดสายตามองเยี่ยนผิงเที่ยวหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“เกรงแต่เจ้าจะหลงกลฝ่ายธัมมะ ซึ่งพวกมันร่วมมือกัน ถึงเวลานั้นเจ้าอาจเพลี่ยงพล้ำเสียทีพวกมันได้ ในยุทธภพไม่มีผู้ใดรู้จักเจ้ามาก่อน อีกทั้งยังมิทราบ ว่าที่แท้เจ้าเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ มารดาจึงต้องการให้เจ้า ออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้า แล้วค่อยพบกันในวันชุมนุมเจ้าจะได้หาประสบการณ์ยุทธจักรในเวลาที่เหลือนี้ พร้อมกับสืบข่าวไปด้วยว่า แต่ละสำนักมีการเคลื่อนไหวไปมากน้อยเพียงใด?”
เหยาเยี่ยนผิง นางเองชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพังอยู่แล้ว เมื่อได้ยินมารดาบอกให้ตนเดินทางล่วงหน้าไปก่อนย่อมประเสริฐ นางจะได้ท่องเที่ยวให้สนุกสนานสร้างเรื่องราวตามที่นางต้องการ เพราะตั้งแต่เด็กกระทั่งบัดนี้ นางถูกมารดากักตัวอยู่กับสำนักเสียส่วนใหญ่
มารดานางเองเก็บตัวไม่ออกไปสู่ยุทธจักรเช่นกัน จวบจนกระทั่งเหยาเยี่ยนผิง มีอายุย่างเข้าสิบห้าปี นางจึงอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยว บัดนี้เหยาเยี่ยนผิง อายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นางออกไป จะต้องทำงานด้วยทุกครั้งให้สำเร็จ
เหยาเยี่ยนผิง เป็นคนเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์ มักทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จด้วยระยะเวลาอันสั้น จึงมีเวลาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ถึงแม้นางจะมีนิสัยดุร้ายคล้ายบุรุษ แต่แท้จริงแล้วนางยังมิเคยลงมือฆ่าคนจริง ๆ แม้แต่คนเดียว ครั้งก่อนนั้น นางเพียงแค่ข่มขู่จ่านจือไปว่า ผู้ใดก็ตามที่รู้จักชื่อนาง ล้วนต้องตาย ความจริงยังมิมีผู้ใด ตายภายใต้น้ำมือนางมาก่อน
เหยาเยี่ยนผิง จึงรับปากกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กับอั้งเซี๊ยะเปา ส่งเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเยี่ยนผิง รับปากท่านแม่กับท่านน้า ไว้ข้าพเจ้าจะคอยต้อนรับท่านแม่กับท่านน้า ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอล่วงหน้าไปก่อน เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีเรื่องหนึ่ง ที่มีความจำเป็นที่จะขอต่อมารดา ไม่ทราบว่าท่านจะยินยอมรับปากหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เจ้าจะร้องขอสิ่งใดต่อมารดา? ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยร้องขอสิ่งใด? จากมารดามาก่อน หากเจ้าต้องการสิ่งใดจริง ๆ มีหรือที่มารดาจะกล้าปฏิเสธเจ้า”
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าจริงจังหนักแน่น ส่งเสียงกล่าวว่า
“ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอคนจากท่านแม่ เพียงแค่สามคนเท่านั้นจะได้หรือไม่?
นางมารเยือกเย็นเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขอคนเพียงแค่สามคน ทุกครั้งเจ้ามักเดินทางลำพัง ไฉนครั้งนี้จึงอยากได้คนร่วมเดินทางขึ้นมา หรือว่าเจ้ามีแผนการใดอยู่ในใจ? เอาเถิดมารดาจะไม่ถามรายละเอียด ว่าเจ้าจะนำคนไปเพื่อการใด คนในสำนักมารสวรรค์มีอยู่มากมายล้วนเป็นมือดี เยี่ยนผิงเจ้าต้องการผู้ใด? ร่วมทางไปกับเจ้า”
เหยาเยี่ยนผิง คล้ายกับมีรายชื่ออยู่ในใจแล้ว ไม่ต้องขบคิดรีบกล่าวตอบมารดาไปว่า
“ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการสามคนนั้น เป็นมารนภาต้าเอ่อคา กับมารธุลีหม่าจิ้งเถา หรือที่พวกท่านเรียกพวกมันทั้งสองว่า สองมารฟ้าดิน อีกผู้หนึ่งเป็นเฉาลู่ฟาง มารดาจะอนุญาตมอบพวกมันทั้งสาม ให้กับข้าพเจ้าได้หรือไม่?”
“สามคนที่เจ้ากล่าวมาล้วนเป็นมือดี แต่เอาเถิด สามคนที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครู่ ล้วนเป็นคนที่มารดาไว้วางใจ อีกทั้งเป็นคนที่เจ้าให้ความสนิทสนม มากกว่าทุกคนในสำนัก ในเมื่อเจ้าต้องการสามคนนี้ มารดาจะอนุญาตให้เจ้า แล้วมิทราบว่าเจ้า จะออกเดินทางเมื่อใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวว่าสามคนที่เยี่ยนผิงต้องการ พวกมันล้วนเป็นมือดีและนางไว้วางใจ ดังนั้นนางจึงอนุญาต พร้อมกับกล่าวถามเยี่ยนผิงว่า นางจะออกเดินทางเมื่อใด
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายินดี รีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ในวันพรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าพเจ้าจะออกเดินทางเลย ส่วนพวกมันสามคนนั้น ข้าพเจ้าจะเป็นคนไปบอกกล่าวกับพวกมันเอง เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวไปตระเตรียมข้าวของ พร้อมกับสัมภาระก่อน มารดากับท่านน้าอยู่ทางนี้โปรดถนอมตัวด้วย แล้วค่อยพบกันในงานวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน”
กล่าวจบเดินออกจากห้องโถงไป พอกลับเข้าห้องพัก รีบตระเตรียมข้าวของสัมภาระที่จำเป็น รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก งานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน หากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมาร่วมงาน บางทีอาจได้ข่าวคราวของคนที่นางต้องการเสาะหา แต่ทว่าความคิดหนึ่งนั้น นางกลับคิดว่าจะเสาะหาเขาไปเพื่ออะไร เขาจะเป็นตายร้ายดี ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับนางสักหน่อย
บุรุษชาวบ้านทึ่ม ๆ เซ่อ ๆ แถมวิทยายุทธ์ยังไม่มีติดตัวอีกด้วย แม้นได้เจอกับเขาจริง ๆ นางอาจจะช่วยสอนยุทธ์ให้ท่าสองท่าก็เป็นได้ เอาไว้หลอกตบตาผู้คน ยามคับขันอันตรายจะได้เอาตัวรอด คิดไปคิดมา เหยาเยี่ยนผิง นางรู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก นางเป็นอะไรไปแล้ว เหยาเยี่ยนผิงผู้แข็งแกร่งห้าวหาญเยี่ยงบุรุษ ไฉนเมื่อนึกถึงใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ซึ่งมีสภาพดั่งยาจกขอทานผู้หนึ่งมิปาน ไฉนจึงทำให้นางสับสนวุ่นวายใจถึงเพียงนี้
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
เครดิต : บทกลอนสามวรรคแรกโดย คุณ Ratchanee
ด้วยจิตคารวะ