ตอนที่ 10 พบพานขอทานเฒ่า
รุ่งเช้าฟ้าสางสว่างไสวแสงแรกแห่งอรุโณทัยค่อย ๆโผล่พ้นทิวเขาอันไกลโพ้นทางทิศตะวันออก ลำแสงสีทองอ่อน ๆทอดตัวฉาบไล้ต้นไม้ใบหญ้าและพื้นดินจนทั่วบริเวณ หมอกน้ำค้างค่อย ๆเจือจางระเหยสู่ชั้นอากาศ นกกาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วโบยบินออกหากิน ปล่อยให้ลูกน้อยในรวงรังส่งเสียงร้องจิบจิบ เฝ้ารออาหารจากพ่อแม่ของมัน ที่ทำหน้าที่ออกไปหาอาหารกลับมาป้อนลูกน้อย เพื่อให้เติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็งโบยบินออกหากินได้ด้วยตัวเอง
เช้านี้จ่านจือพร้อมกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซิน ทั้งสามตื่นสายกว่าปกติเนื่องจากเมื่อคืนนางทั้งสองต่างขะมักเขม้นช่วยกันตัดเย็บชุดใหม่ให้กับเขา ส่วนจ่านจือเองหลังจากออกไปเดินเล่นกลับมา เห็นพี่สาวทั้งสองยังคงนั่งเย็บชุดให้เขาโดยไม่หลับไม่นอน เขาเองจึงมิยอมเข้านอนเฉกเช่นเดียวกัน จึงนั่งเฝ้าพี่สาวทั้งสองตัดเย็บชุด จนกระทั่งผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ ทั้งสามต่างม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว อาจจะเป็นเพราะการเดินทางด้วยส่วนหนึ่งซึ่งเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
หลังจากตื่นนอนแล้วต่างรีบเร่งล้างหน้าล้างตา ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินรีบเข้าครัวปรุงอาหาร จ่านจือขณะที่รอพี่สาวทั้งสองเข้าครัวหุงหาข้าวปลาอาหาร เขาเดินออกมายังหน้าบ้านร่ายรำกระบวนท่าวิชาดาวดึงส์ ตั้งแต่เขาอาศัยอยู่ที่หุบเขาผีเสื้อมิเคยละเลยที่จะทบทวนวิชาฝ่ามือ ว่างจากงานที่อาจารย์สั่งคราใดเป็นต้องเห็นเขาออกกระบวนท่าอยู่เป็นประจำ เมื่อออกจากหุบเขาผีเสื้อแล้วเขายังไม่ลืมที่จะทบทวนฝึกฝนและโคจรพลังลมปราณอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามอยู่เสมอ
ในยามนี้ดูจ่านจือเคลื่อนไหวทั้งมือเท้าอย่างแคล่วคล่องว่องไว เห็นเพียงร่างกายเคลื่อนย้ายดุจหมอกควันยามเช้าเลือนราง เสียงทึบทึบ ปงปง หวืดหวือดังต่อเนื่องไม่ยั้งหยุด คลื่นพลังปราณฝ่ามือไร้สภาพครอบคลุมกินพื้นที่ไปหลายวา วิชาดาวดึงส์ที่ได้รับการถ่ายทอดมีทั้งหมดเก้าท่า ในแต่ละท่าผันแปรเปลี่ยนแปลงเป็นสิบสองกระบวนท่า รวมทั้งสิ้นสามารถพลิกแพลงได้ถึงร้อยแปดกระบวนท่าเลยทีเดียว ในเก้าท่ามีชื่อเรียกหาดังต่อไปนี้
ท่าที่หนึ่งดาวเย้ยเดือน
ท่าที่สองดาวเกลื่อนนภา
ท่าที่สามดาวเคลื่อนเดือนคล้อย
ท่าที่สี่ขยี้ดาวใต้แสงจันทร์
ท่าที่ห้าดาวทะยานฟ้า
ท่าที่หกดาวฉายแสง
ท่าที่เจ็ดสะกดจันทร์สุริยันอับแสง
ท่าที่แปดดาวล้อมเดือนเคลื่อนฟ้าย้ายดิน
ท่าที่เก้าย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล
ท่าที่แปดกับท่าที่เก้าถือว่าเป็นท่าที่พลิกแพลงได้พิสดารและมีอานุภาพรุนแรงแข็งกร้าวถึงที่สุด แต่ในความรุนแรงแข็งกร้าวแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นอยู่ในกระบวนท่าอย่างลงตัว วิชาดาวดึงส์นอกจากใช้ทำร้ายคู่ต่อสู้จนยากหลบหลีกและต้านทานได้แล้ว ยังสามารถใช้ทำลายอาวุธทุกชนิดให้หักสะบั้นเป็นเศษชิ้นได้โดยง่ายดาย โดยเฉพาะท่าที่แปดกับท่าที่เก้านอกจากทำลายอาวุธแล้ว ยังสามารถใช้บังคับเคลื่อนย้ายอาวุธและสรรพสิ่งรอบกายโดยมิต้องสัมผัสแตะต้อง เพียงแต่บังคับฝ่ามือใช้พลังลมปราณควบคุมอาวุธในระยะไกลได้ดั่งใจปรารถนา
ขณะที่จ่านจือกำลังเร่งเร้าพลังลมปราณถึงระดับขีดสุด ด้วยกระบวนท่าที่เก้านามย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่งพุ่งทะยานชำแรกผ่านเส้นสายของคลื่นพลังลมปราณเข้ามา เห็นเป็นเพียงเงาเคลื่อนย้ายเลือนรางเบาบางมิชัดเจน แต่ที่เห็นชัดเจนระหว่างเอวของเงาร่างนั้น เหน็บไม้เท้าเป็นปล้องไม้ไผ่สีเขียวด้ามหนึ่งสะดุดตา
เงาร่างนั้นเมื่อเคลื่อนย้ายเข้ามาโดยมินำพาต่อคลื่นพลังลมปราณอันมหาศาล ที่กำลังก่อกวนม้วนตลบคล้ายกับไม่มีพื้นที่ให้ชำแรกแทรกกายอยู่ได้ แต่ทว่าเงาร่างเบาบางสายนั้นกลับชำแรกแทรกผ่านเข้ามาโดยง่ายดาย พร้อมกับเปล่งเสียงหัวร่อนำมาก่อนจากนั้นส่งเสียงแหบพร่าดั่งคนชราใกล้อำลาโลกปานฉะนั้น
"ฮา ๆ เด็กน้อยเอ๋ยข้าเล่าฮั่ง(ชายชรา)กระดูกผุกร่อนไม่เจียมสังขาร ขอร่วมสนุกสนานกับเจ้าสักหลายกระบวนท่า อย่าได้ดูหมิ่นเห็นว่าข้าชราภาพออมมือถือว่าข้าแก่เป็นอันขาด นานมากแล้วที่เฒ่าชรามิเจอะเจอคู่มืออันร้ายกาจ เกรงว่าสนิมในข้อกระดูกคงจับเกาะเกรอะกรังแน่นหนา วันนี้ถือว่าโชคดีของเฒ่าชราอย่างข้า ได้สลัดสลายคราบสนิมในเส้นสายและไขกระดูกออกสักครา"
จ่านจือมองเห็นเงาร่างเบาบางสายนั้นพุ่งผ่านคลื่นพลังลมปราณอันแน่นหนาของเขาเข้ามา รู้แน่ว่านั่นเป็นยอดฝีมือสูงส่งท่านหนึ่งอย่างแน่นอน ฟังจากน้ำเสียงและสังเกตท่าร่างมิได้มีเจตนามุ่งร้าย เขาเองตอนนี้พลังลมปราณในร่างถูกเร่งเร้าจนถึงขีดสุด เกินกว่าจะรั้งดึงพลังกลับคืนมาได้ หากกระทำเช่นนั้นจริงถือว่าโง่เขลาอย่างที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ เพราะนั่นจะทำให้ลมปราณในร่างแตกซ่านถึงธาตุไฟเข้าแทรก น้อยบาดเจ็บสาหัส หนักอาจถึงแก่ชีวิต
จ่านจือจึงผลักฝ่ามือทั้งสองออกไป ก่อเกิดเป็นพลังลมปราณม้วนทะลักดั่งระลอกคลื่นโหมกระหน่ำกระหนาบรอบทิศทาง กดคุกคามเข้าใส่เงาร่างเบาบางซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสี่วา เงาร่างนั้นหาได้หลบหลีกร่ายรำกระบวนท่าฝ่ามือเข้าต้านทาน เมื่อเงาร่างนั้นผลักดันฝ่ามือทั้งสองออก เกิดเป็นสภาวะพลังอีกประเภทหนึ่งครอบคลุมคล้ายดั่งพลังสายนั้นหมุนวนอยู่รอบกายเงาร่างนั้นอยู่เที่ยวหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งทะยานเข้ามาปะทะกับพลังลมปราณของจ่านจือ
เมื่อคลื่นพลังลมปราณทั้งสองปะทะกัน เกิดเป็นประกายสีขาวคล้ายหมอกควัน แตกกระจายออกรอบทิศทาง พร้อมกับเสียงดั่งกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณ เงาร่างนั้นถอยร่นกลับหลังไปครึ่งก้าว จ่านจือเองกลับรู้สึกเหมือนมีวัตถุหนัก ๆมหึมาพุ่งชนด้วยความแรงอันมหาศาลสุดจะต้านทานไหว จนร่างของเขาถอยร่นกลับหลังไปถึงก้าวครึ่งจึงพยายามตั้งหลักมั่น
ร่างเบาบางสายนั้นถึงแม้จะถอยร่นไปครึ่งก้าว แต่กลับตั้งหลักมั่นหยัดยืนมิซวนเซเสียหลักแม้แต่น้อย ผิดแผกแตกต่างจากจ่านจือเมื่อถอยร่นไปก้าวครึ่งร่างเซถลาโอนเอนมิอาจฝืนกายให้ตั้งหลักมั่นในทันที เห็นท่าว่าจะต้องล้มครืนร่างฟาดพื้นอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่เขาจะล้มหงายหลังไปในชั่วพริบตานั้น เงาร่างของคนผู้นั้นเคลื่อนย้ายด้วยท่าร่างอันรวดเร็วดุจปีศาจภูติพรายไร้น้ำหนัก พุ่งตรงเข้าหาจ่านจือพร้อมกับยื่นมือทั้งสองออกแล้วคว้ารับร่างของเขาไว้ มิให้ล้มหงายไปตามสภาวะพลังที่ยังสลายมิหมดสิ้น
"ฮา ๆ สมใจ สมใจข้าเฒ่าชรานักเด็กน้อยเจ้ากลับรับกระบวนท่าของข้าได้ โดยที่เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บภายในเลยแม้แต่น้อย ร้ายกาจ ร้ายกาจนักอายุยังเยาว์กลับมีวิชาฝ่ามือแข็งแกร่งลมปราณลึกล้ำถึงเพียงนี้ ข้าเฒ่าชราดูออกว่าตอนที่เจ้าปล่อยพลังลมปราณออกมาแล้ว พอเห็นข้าเจ้าคิดจะรั้งดึงพลังบางส่วนกลับคืนไป ด้วยกลัวว่าจะทำร้ายเฒ่าชราเช่นข้าใช่หรือไม่? ดีที่เจ้ากระทำเช่นนั้นมิทันการ มิฉะนั้นบู๊ลิ้มนี้คงขาดจอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรมน้ำใจที่หายากยิ่งเช่นเจ้าไป น่าเสียดาย น่าเสียดาย"
เมื่อจ่านจือทรงกายมั่นหยัดยืนได้แล้ว เห็นว่าผู้ที่ใช้ท่าร่างอันรวดเร็วพุ่งกายเข้ามาประคองเขานั้น ที่แท้เป็นชายชรารูปร่างค่อนข้างท้วม แต่ทว่าช่วงลำตัวกลับมีความสูงราวเจ็ดถึงแปดเชี้ยะ ชายชราผู้นี้สวมเสื้อผ้าเก่า ๆมีร่องรอยการปะชุนเฉกเช่นเดียวกันกับชุดที่เขาสวมใส่อยู่มิมีผิด
ดูจากใบหน้าอายุน่าจะไม่ต่ำกว่าเก้าสิบถึงหนึ่งร้อยปี เค้าหน้าท่าทางใจดีบนใบหน้าเต็มใบด้วยร่องรอยเหี่ยวย่นของวัยชราแต่ทว่าสดใสเปล่งปลั่ง ผมเผ้าและคิ้วหนวดเคราล้วนสีขาวสนิทมิมีสีดำปะปนแม้แต่เศษเส้นเดียว ดวงตาเปล่งประกายลึกล้ำบ่งบอกถึงความแก่กล้าของพลังวิชากำลังภายใน
ชายชราผู้นั้นมือหนึ่งประคองร่างจ่านจือ อีกมือหนึ่งทาบทับลงบนแผ่นหลังต่ำลงมาจากท้ายทอยราวหนึ่งฝ่ามือของเขา พร้อมกับพุ่งพลังสายหนึ่งอุ่นสบายผ่านฝ่ามือของท่านชำแรกเข้าสู่ร่างของเขา จ่านจือเองมิได้เกร็งพลังลมปราณภายในขัดขืนแต่อย่างใด เพราะดูออกว่าชายชราผู้นี้มิได้ประสงค์ร้ายต่อตนเอง
เมื่อปล่อยพลังลมปราณสายนั้นเข้าสู่ร่างของจ่านจือชายชราหลับตาลง ในขณะนี้มีความรู้สึกว่าพลังอุ่นสบายสายนั้น วิ่งไปตามเส้นสายและจุดชีพจรต่าง ๆภายในร่างบางครั้งช้าบางคราเร็วสลับสับเปลี่ยน ผ่านไปไม่นานนักชายชราผู้นั้นถอนฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเขาพร้อมกับลืมตาขึ้นช้า ๆแล้วท่านกล่าววาจาพึมพำกับตัวเองว่า
"แปลก!! ช่างแปลกประหลาดนัก?"
จ่านจือเองไม่เข้าใจในคำพูดของชายชราผู้นั้น คำว่าแปลกที่ท่านกล่าวหมายความถึงเรื่องราวใด แต่หากให้คาดเดาคงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอยู่เก้าส่วน ดูท่านกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นว่าชายชราผู้นั้นมิกล่าววาจาใดออกมาเอาแต่ครุ่นคิด เขาจึงถอยร่างออกมาครึ่งก้าว พร้อมกับประสานมือทั้งสอง แล้วกล่าวแนะนำตัวเองว่า
"ข้าพเจ้ามีนามว่าจ้าวจ่านจือ ขอคารวะท่านอาวุโสสูงส่งและต้องขออภัยต่อท่านเป็นอย่างมากที่เสียมารยาทล่วงเกินท่านไปโดยมิได้ตั้งใจ อีกทั้งขอขอบพระคุณท่านอาวุโสยิ่งนักที่ท่านมีน้ำใจรีบเข้ามาประคองช่วยเหลือข้าพเจ้า อีกประการหนึ่งซึ่งต้องกล่าว จ่านจือขอขอบพระคุณท่านอาวุโสที่กรุณาออมมือต่อข้าพเจ้า มิฉะนั้นข้าพเจ้าคงต้องได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสเป็นแน่ หากท่านอาวุโสไม่ว่ากระไรข้าพเจ้าขอรับทราบนามสูงส่งของท่านจะได้หรือไม่?"
ชายชราผู้นั้นเห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตัว และความมีมารยาทของจ่านจือ ท่านยิ่งแสดงออกทางสีหน้าแสดงความพึงพอใจ พลางใช้ดวงตาภายใต้คิ้วขาวดุจไหมสำรวจเขาอีกเที่ยวหนึ่ง พร้อมกับเผยรอยยิ้มของท่านซึ่งมองเห็นฟันในปากหลงเหลือเพียงไม่กี่ซี่ กล่าววาจาตอบจ่านจือว่า
"เจ้ามีชื่อว่าจ่านจือหรอกรึ? ดูจากลักษณะแล้วข้าผู้เฒ่าท่องยุทธภพมาช้านาน ออกท่องเที่ยวเดินทางไปทั่วทุกแห่งหน คิดว่าข้าไม่เคยพบเจอกับเจ้ามาก่อน เจ้าไม่ต้องขออภัยและขอบคุณข้าผู้เฒ่าหรอกข้ารับรู้ว่าเจ้ามิมีเจตนาล่วงเกิน อีกอย่างข้าเองมิได้ออมมือให้เจ้าแต่ประการใด ก่อนตอบคำถามเจ้าว่าข้ามีนามเรียกหาว่ากระไร? ข้าผู้เฒ่าขอทราบนามอาจารย์ของเจ้าก่อนจะได้หรือไม่?"
จ่านจือได้ยินอาวุโสท่านนั้นกล่าวถามนามของอาจารย์ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งสั่งกำชับเขาเอาไว้ว่าก่อนถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ห้ามมิให้เขาบ่งบอกหรือแพร่งพรายต่อทุกคนเกี่ยวกับที่มาของอาจารย์ ดังนั้นจ่านจือจึงรักษาคำพูดที่ได้รับปากต่อเจ้าโอสถสายรุ้ง ว่าจะไม่บ่งบอกนามของท่านออกไปก่อนได้รับอนุญาต จึงกล่าวตอบอาวุโสตรงหน้าตามความสัตย์กลับไปว่า
"ข้าพเจ้าต้องขออภัยท่านอาวุโสอย่างใหญ่หลวง ที่ไม่สามารถบอกกล่าวชื่อเสียงที่มาของอาจารย์ผู้สอนสั่งให้กับท่านได้รับทราบ เนื่องจากข้าพเจ้าได้รับปากต่ออาจารย์เอาไว้ว่า จะไม่บอกกล่าวต่อผู้ใดก่อนได้รับอนุญาตจากท่านเสียก่อน คิดว่าท่านอาวุโสคงไม่ตำหนิข้าพเจ้าในเรื่องนี้"
ชายชราผมขาวคิ้วยาวท่านนั้นเมื่อได้ยินคำตอบของจ่านจือ นอกจากท่านไม่ว่ากระไรแล้วกลับแสดงสีหน้าพึงพอใจ แล้วกล่าวกับเขาว่า
"ข้าผู้เฒ่ามิตำหนิเจ้า ตรงกันข้ามข้ากลับต้องกล่าวชมเจ้าถึงถูกต้อง เจ้าไม่บอกกล่าวต่อข้าด้วยรับปากอาจารย์เอาไว้ใช่ความผิด นั่นกลับแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความซื่อสัตย์ต่อตัวเองและอาจารย์ของเจ้า เมื่อเจ้าได้รับปากอาจารย์ของเจ้าแล้วจงรักษาคำพูดอย่างเคร่งครัด คนเราหากมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเองแล้วย่อมต้องมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นเฉกเช่นเดียวกัน เจ้าถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวจากคนที่ข้าได้พบเจอมามากมาย เจ้านับว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำใจและความซื่อสัตย์น่ายกย่องส่งเสริม ข้าผู้เฒ่ายอมรับนับถือในตัวของเจ้าเป็นยิ่งนัก"
ขณะที่ทั้งสองจะกล่าววาจาใดต่อไป ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองกำลังทำอาหารอยู่ในครัว พอได้ยินเสียงปะทะกันระหว่างลมปราณของจ่านจือกับชายชราดังกึกก้อง นางทั้งสองรู้สึกตกใจเกรงว่าจ่านจือจะพบเจอเรื่องอันตราย นางจึงได้พากันวิ่งออกจากครัวมาดูว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น
เพื่อออกมาถึงพื้นโล่งหน้าบ้าน นอกจากจ่านจือแล้วนางทั้งสองยังพบเห็นชายชราผมขาวคิ้วขาวเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง จึงพากันรีบวิ่งเข้าไปหาจ่านจือพร้อมกับกระซิบกระซาบถามเขาว่า ท่านผู้เฒ่านั่นเป็นใคร? แต่นางทั้งสองมิกล้าเสียมารยาท รีบประสานมือทั้งสองคารวะต่ออาวุโสท่านนั้นก่อน ทั้งที่ยังไม่ทราบว่าท่านนั้นเป็นผู้ใด?
จ่านจือเห็นเช่นนั้นรีบกล่าวแนะนำพี่สาวทั้งสองของเขาต่อชายชราท่านนั้น ผู้เฒ่าคิ้วขาวท่านนั้นพยักหน้ารับทราบ พร้อมกับเพ่งมองซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินอย่างสนใจ
"เรียนท่านอาวุโส นางทั้งสองเป็นพี่สาวของข้าพเจ้า อันที่จริงจ่านจือกับนางทั้งสองมิได้เป็นพี่สาวน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกัน แต่เราทั้งสามต้องชะตามีวาสนาต่อกันเลยคบหากันดั่งพี่น้องร่วมอุทร ผู้นี้เป็นพี่สาวใหญ่นามซื่อเหมี่ยน ส่วนผู้นี้เป็นพี่สาวรองนามเอวี้ยอี้เซิน" เมื่อแนะนำพี่สาวทั้งสองให้อาวุโสได้รู้จักแล้ว จ่านจือหันมากล่าวต่อพี่สาวทั้งสองว่า
"พี่สาวทั้งสองของจ่านจือ อาวุโสท่านนี้เป็นผู้ใดเซี่ยวจือยังไม่ทราบนามสูงส่งเมื่อสักครู่ตอนที่ข้าพเจ้าฝึกซ้อมฝีมืออยู่ ท่านผู้เฒ่าได้เข้ามาร่วมสนุกด้วยมิมีเรื่องราวใดน่าตกใจ"
"เอาเถอะเจ้าทั้งสามอย่าได้เกรงใจ ข้าผู้เฒ่ารู้สึกสนใจพวกเจ้าทั้งสามขึ้นมาแล้วสิ ข้าว่าหาที่สำหรับนั่งพูดคุยกันจะดีหรือไม่?"
เมื่อได้ยินอาวุโสท่านนั้นกล่าวเช่นนั้น อี้เซินจึงรีบกล่าวตอบไปว่า
"เช่นนั้นเชิญอาวุโสเข้ามาพักผ่อนในบ้านก่อน ข้าพเจ้ากับศิษย์พี่กำลังปรุงอาหารใกล้แล้วเสร็จพอดี เผอิญได้ยินเสียงผิดปกติจึงรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น หากอาวุโสมิรังเกียจเชิญท่านร่วมรับประทานอาหารเช้ากับพวกเรา พร้อมกับสนทนากันไปด้วยจะดีหรือไม่?"
ชายชราท่านนั้นพยักหน้าเมื่อได้ยินอี้เซินเชื้อเชิญ ท่านเองกำลังหิวอยู่พอดี จึงรีบกล่าวตอบกลับไปว่า
"ก็เข้าท่าดีเหมือนกันพวกเจ้าทั้งสามมีอันใดน่ารังเกียจ ถ้าเช่นนั้นข้าผู้เฒ่าไม่กล้าขัดน้ำใจของพวกเจ้า ขอบใจต่อความมีน้ำใจของพวกเจ้าทั้งสามหลังจากกินข้าวอิ่มแล้วข้าผู้เฒ่าค่อยบ่งบอกต่อพวกเจ้าว่าข้าเป็นใคร? และข้าอาจต้องรบกวนสอบถามเรื่องราวจากพวกเจ้าอีกสักหลายเรื่อง"
ดังนั้นทั้งหมดจึงพากันเดินเข้าไปยังตัวบ้าน โดยมีซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเดินนำหน้า ส่วนจ่านจือเดินตามหลังท่านอาวุโสท่านนั้นไปไม่ห่างนัก เมื่อบรรลุถึงโต๊ะอาหารจ่านจือผายมือให้ท่านอาวุโสพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญ
"เชิญอาวุโสนั่งลงก่อน ข้าพเจ้าจะไปช่วยพี่สาวทั้งสองยกสำรับกับข้าวออกมารบกวนอาวุโสนั่งรอสักครู่"
ขณะทั้งสามรับประทานอาหารต่างไม่ได้สนทนาเรื่องราวกันเท่าใดนัก ทุกคนต่างคีบข้าวสวยพร้อมกับข้าวใส่ปาก อาวุโสท่านนั้นเมื่อรับประทานอาหารอิ่มหนำแล้ว จึงเดินออกมายังหน้าบ้านพร้อมกับจ่านจือ ปล่อยให้ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเก็บจานชามทำความสะอาดอยู่ภายในครัว
เมื่อออกมายังแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน หลังจากอาวุโสท่านนั้นนั่งลงบนแคร่แล้ว จ่านจือจึงนั่งลงบนม้านั่งอีกตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ต่ำกว่าแคร่เล็กน้อย หลังจากนั้นชายชราผมขาวท่านนั้นเอ่ยกล่าวกับเขาว่า
"หากข้าจดจำมิผิดแม่นางน้อยทั้งสองที่อยู่ด้านใน นางเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวใช่หรือไม่? ข้าเคยพบเจอนางทั้งสองเมื่อครั้งที่ข้าเดินทางผ่านหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวและได้แวะเยี่ยมเยียนเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า แต่นั่นผ่านมาเกือบสิบห้าปีแล้วคิดว่านางทั้งสองอาจจะจดจำข้ามิได้แล้ว ในตอนนั้นนางทั้งสองยังเด็กเล็กนัก"
จ่านจือได้ยินเช่นนั้นจึงตอบไปว่าถูกต้องท่านจดจำมิผิด นางทั้งสองเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ขณะที่เขากล่าวตอบซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินทั้งสองเก็บจานชามเรียบร้อยแล้ว จึงพากันเดินออกมาสมทบกับอาวุโสท่านนั้นกับจ่านจือ
เมื่อนางทั้งสองนั่งลงยังม้านั่งไม่ไกลจากจ่านจือมากนัก อาวุโสท่านท่านนั้นจึงกล่าววาจาต่อว่า
"เจ้าทั้งสองอาจจดจำข้าผู้เฒ่ามิได้ ตอนนั้นข้าแวะไปหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวของอาจารย์เจ้า เจ้าทั้งสองยังเป็นเด็กซุกซนไม่แน่ว่าจะจำความได้ เอาเถอะเมื่อเจ้าทั้งสามอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ข้าผู้เฒ่าจะบ่งบอกต่อเจ้าทั้งสามว่าข้าเป็นใคร?"
อาวุโสท่านนั้นหยุดวาจาเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อว่า
"ข้าผู้เฒ่าน้อยนักที่จะปรากฏกายให้ผู้คนได้พบเห็น ส่วนใหญ่จะไปมาไร้ร่องรอยอาศัยอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ชาวยุทธ์เพียงรู้จักแต่ชื่อของข้าเท่านั้น นี่ก็เกือบสิบห้าปีแล้วที่ข้าผู้เฒ่าเดินทางขึ้นเหนือ มิได้ย่างกรายเข้ามาเขตจงหยวนแม้แต่คราเดียว ดังนั้นระยะเวลาที่ผ่านมาจึงไม่มีชาวยุทธ์ผู้ใดเอ่ยถึงข้ามากนัก"
ซื่อเหมี่ยนได้ฟังเช่นนั้น เห็นท่านอาวุโสหยุดคำพูดไม่กล่าวต่อ จึงเอ่ยถามกลับไปว่า
"เรียนถามอาวุโส ฟังจากคำพูดของท่านที่กล่าวว่ามิได้เดินทางมาจงหยวนนานสิบห้าปี คราครั้งนี้ท่านมาจงหยวนมิทราบว่าเกี่ยวข้องกับการชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินใช่หรือไม่?"
อาวุโสท่านนั้นพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับกล่าวว่า
"ถูกต้องเจ้าคาดเดามิผิด ที่ข้าเดินทางลงมาจงหยวนในคราวนี้ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ซึ่งจัดขึ้นที่เส้าหลิน สาเหตุที่ข้าเดินทางผ่านมาหมู่บ้านแห่งนี้เนื่องจากหลายวันก่อน ข้าแอบได้ยินการสนทนาระหว่างแม่ชีสองนางว่า ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน นางได้จัดวางคนไว้เพื่อวางยาพิษลงในน้ำดื่ม ข้าเลยออกติดตามนางชีทั้งสองมา แต่เมื่อมาถึงเชิงเขาก่อนเข้าเขตอารามอเทวตานางชีทั้งสองพลันหายตัวไปไร้ร่องรอย ข้าจึงไม่อยากแสดงตัวกลัวว่านางชีทั้งสองจะรู้ตัว เมื่อคืนนี้ข้าแอบซุ่มอยู่บริเวณเชิงเขาไม่พบแม้แต่เงาของผู้ใด พอถึงเช้าจึงได้เดินทางผ่านมาเห็นเจ้าหนุ่มคนนี้กำลังฝึกซ้อมกระบวนท่าอยู่ เลยนึกสนุกกระโดดเข้าร่วมประกระบวนท่าด้วยนั่นเอง"
อาวุโสท่านนั้นกล่าววาจายืดยาวทั้งสามตั้งอกตั้งใจรับฟัง จ่านจือเมื่อได้ยินอาวุโสท่านนั้นกล่าวถึงนางชีสองนาง พลันนึกถึงคำพูดของมู่เหอกับไป่ชิงที่เคยเตือนเขาว่า หากพบเจอแม่ชีทั้งสองนางนี้ ให้หลบหนีไปให้ไกลอย่าได้ไปตอแยกับนาง เพราะว่านางฝีมือร้ายกาจนัก
ฟังอาวุโสท่านนั้นกล่าววาจามาเนิ่นนาน ทั้งสามยังไม่ทราบว่าอาวุโสท่านนั้นที่แท้เป็นใครกัน? อี้เซินจึงเอ่ยปากกล่าวถามท่านอาวุโสท่านนั้นไปว่า
"เรียนถามท่านอาวุโส มิทราบว่าท่านจะกรุณาบอกกล่าวต่อพวกข้าพเจ้าได้แล้วหรือไม่? ว่าท่านมีชื่อเรียกหาสูงส่งว่ากระไร? บางทีข้าพเจ้าอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาบ้างก็เป็นได้"
อาวุโสท่านนั้นส่งเสียงหัวร่อผ่านร่องฟันไม่กี่ซี่ ก่อนจะกล่าวตอบว่า
"ข้าผู้เฒ่ากำลังจะบอกกล่าวต่อเจ้าทั้งสาม พอดีโกวเนี้ย(คำเรียกสตรี)น้อยนางนี้เอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน ข้าผู้เฒ่ามีฉายามังกรล่องเมฆาเป็นขอทานพเนจรมีนามว่าหวงเกาฉือ ไม่ทราบว่าเจ้าทั้งสามเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่?"
ทั้งสามแสดงอาการตื่นเต้น พร้อมกับพยักหน้าแล้วตอบพร้อมกันว่า
"ที่แท้ท่านคืออาวุโสฉายามังกรล่องเมฆา หรือที่ชาวยุทธ์เรียกหาติดปากว่าขอทานพเนจร ได้พบกับท่านนับว่าเป็นวาสนาอันสูงส่ง น้อยคนนักจะได้พบพานกับท่านในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา"
อาวุโสท่านนั้นหัวร่อ ฮา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
"นึกไม่ถึงข้าผู้เฒ่าไม่ได้เดินทางมาจงหยวนนานสิบห้าปี กลับมีหนุ่มสาวเช่นเจ้าทั้งสามรู้จักข้าด้วย แถมยังรู้ว่าข้าคือขอทานพเนจร แสดงว่าผู้ที่เล่าให้พวกเจ้าทั้งสามฟังคงเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าสินะ?"
จ่านจือเงียบฟังอาวุโสท่านนั้นโดยมิได้ปริปากเนิ่นนานแล้ว จึงเอ่ยวาจาตอบกลับไปบ้างว่า
"ถูกแล้วที่อาวุโสกล่าวมามิผิดแม้แต่น้อย ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าเคยเล่าเกี่ยวกับตัวท่านให้ข้าพเจ้าฟัง แต่มิได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนัก เพียงแต่บ่งบอกว่าในแผ่นดินนี้ จอมยุทธ์ผู้ที่มิได้ก่อตั้งสำนักเป็นหลักแหล่ง อีกทั้งยังไปมาไร้ร่องรอยแต่นับว่ามีศิษย์อยู่มากมายทั่วแผ่นดิน อาจารย์บอกว่ายอดคนท่านนี้คือขอทานพเนจรหวงเกาฉือฉายามังกรล่องเมฆา และบอกว่าวิชาฝ่ามือมังกรท่องเมฆาแข็งแกร่งเกรียงไกรสยบไปทั่วสารทิศจนหาคู่มือทัดเทียมได้ยากยิ่ง พอได้ยินท่านเอ่ยแนะนำตัวทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นท่านมิผิดตัว"
ทางด้านซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองบ่งบอกทำนองเดียวกันกับจ่านจือ เมื่อสนทนากันอยู่อีกพักใหญ่ ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือบอกให้ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเข้าบ้านไปก่อน ท่านมีธุระจะพูดคุยกับจ่านจือโดยลำพัง นางทั้งสองจึงขอตัวกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้จ่านจืออยู่กับขอทานพเนจรหวงเกาฉือตามลำพัง
เมื่ออยู่สองต่อสอง ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเอ่ยกล่าวกับจ่านจือขึ้นว่า
"ถึงเจ้าไม่บอกต่อข้าว่าเจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใด? แต่ข้าพอคาดเดาได้ว่าเจ้าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักหนึ่งซึ่งล่มสลายไปเนิ่นนานแล้ว แต่ข้าขอทานเฒ่ามิอาจคาดเดาได้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของใครกัน? ในบรรดาศิษย์ห้าคนของสำนักแห่งนี้ แต่นั่นหาสำคัญต่อข้าขอทานเฒ่าคนนี้ไม่? กลับมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจและรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง"
เมื่อได้ยินขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวว่าท่านไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ทำให้จ่านจือลืมกล่าวถามเกี่ยวกับสำนักที่ล่มสลายที่ท่านกล่าวว่ามีส่วนใดเกี่ยวข้องกับเขา จ่านจือได้ยินว่าท่านสงสัยจึงรีบถามกลับไปว่า
"เป็นเรื่องใดที่ท่านอาวุโสข้องใจสงสัยอยากทราบ? หากไม่ลำบากเกินกำลังจ่านจือจะบอกกล่าวเล่าต่อท่านมิปิดบัง เว้นเสียแต่เรื่องฐานะอันแท้จริงของผู้เป็นอาจารย์ เรื่องอื่นข้าพเจ้าหามีเหตุผลไม่บอกความจริงกับท่านได้"
เมื่อได้ยินจ่านจือตอบมาเช่นนั้น ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ จึงเอ่ยกล่าวต่อจ่านจือว่า
"เจ้าหนุ่ม เจ้าจะรับปากเรื่องหนึ่งต่อข้าขอทานเฒ่าได้หรือไม่?"
จ่านจือได้ยินขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าววาจาด้วยสีหน้าจริงจัง จึงรีบกล่าวตอบไปโดยไม่ต้องนึกคิดว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือรับปากท่าน และจะรักษาคำสัตย์ยึดมั่นสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง หากเรื่องที่ท่านให้ข้าพเจ้ารับปากมิผิดต่อผู้ใด อีกทั้งมิขัดต่อคุณธรรมและศีลธรรมไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ข้าพเจ้าย่อมรับปากมิเพียงแต่เรื่องเดียว ต่อให้มากกว่านั้นข้าพเจ้าจ่านจือยินดีรับปากท่าน"
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือพยักหน้าพร้อมกับกล่าวกับจ่านจือ ดูท่าทางคล้ายกับว่าเรื่องที่ท่านจะกล่าว สร้างความลำบากใจต่อท่านอยู่ไม่น้อย
"ดูจากพลังวัตรของเจ้ากับกระบวนท่าที่เจ้าใช้ออกมา ผิวเผินแข็งแกร่งดุดันยากที่จะมีผู้ใดรับมือได้ นับว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวคนหนึ่งในบู้ลิ้มเลยทีเดียว แต่เมื่อครู่เจ้าใช้พลังออกมาข้ากลับสังเกตพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ยิ่งตอนที่ข้าทาบฝ่ามือกับแผ่นหลังของเจ้าพร้อมใช้กำลังภายในของข้าสำรวจเส้นสายจุดชีพจรของเจ้า กลับพบว่าจุดชีพจรของเจ้าในบางจุดคล้ายกับถูกปิดจนหมดสิ้น"
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วกล่าววาจาต่อว่า
"หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ตอนที่เจ้าใช้กำลังภายในต่อสู้จนถึงขีดสุด แล้วจุดชีพจรจุดอื่นของเจ้ากลับถูกปิดกะทันหัน หากคู่ต่อสู้ที่เจ้าประมือด้วยเป็นยอดฝีมือถือว่าย่ำแย่แล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าจดจำเคล็ดวิชาที่อาจารย์ของเจ้าถ่ายทอดได้ครบถ้วนมิตกหล่นท่อนหนึ่งท่อนใดใช่หรือไม่? อีกทั้งเจ้าเดินลมปราณตามทิศทางตำแหน่งโดยมิผิดพลาดใช่หรือไม่?"
จ่านจือเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศ แค่บอกกล่าวต่อเขาเพียงหนสองหน หรือในบางเรื่องเพียงบอกครั้งเดียวเขาจดจำได้ขึ้นใจ เป็นไปมิได้ที่เขาจะท่องจำเคล็ดวิชาตกหล่นท่อนหนึ่งท่อนใดไป จึงกล่าวตอบขอทานพเนจรกลับไปว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือยืนยันต่อท่านอาวุโสว่ามิมีท่อนหนึ่งท่อนใดตกหล่นแม้แต่ครึ่งคำ ตอนที่ท่านอาจารย์ท่องเคล็ดวิชาให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งอกตั้งใจรับฟังโดยที่ไม่มีประโยคหนึ่งประโยคใดตกหล่นหรือคลาดเคลื่อน จึงเป็นไปมิได้ที่จะเป็นดั่งเช่นที่ท่านกล่าวเมื่อครู่"
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือแสดงสีหน้าใช้ความคิด เมื่อเห็นจ่านจือยืนยันเช่นนั้น จากนั้นท่านจึงกล่าวกับจ่านจือสืบต่อว่า
"หากเป็นเช่นเจ้าว่าก็น่าแปลก ข้าขอถามเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผ่านมาเจ้ามีความรู้สึกว่าตอนโคจรพลังลมปราณแล้วเกิดติดขัดไม่ลื่นไหลบ้างหรือไม่?"
จ่านจือกล่าวตอบว่า
"ไฉนท่านอาวุโสคาดเดาได้ถูกต้อง เป็นดั่งเช่นที่ท่านว่าจริง ข้าพเจ้าเองยังมิพบหน้าอาจารย์จึงยังมิได้สักถามเกี่ยวปัญหาข้อนี้"
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงรับปากต่อข้า ว่าเรื่องที่เราสนทนากันในวันนี้และเรื่องที่ข้าจะกระทำต่อจากนี้ เจ้าอย่าได้ปริปากบอกกล่าวต่อผู้ใดเป็นอันขาด แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ห้ามบอกออกไปเป็นอันขาด ส่วนเรื่องที่เจ้าจะกล่าวถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอให้เปลี่ยนความตั้งใจก่อน จะด้วยเหตุผลกลใดในภายภาคหน้าเจ้าย่อมเข้าใจเอง เจ้าจะรับปากต่อข้าได้หรือไม่?"
จ่านจือเห็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าววาจาจริงจัง พร้อมกับกำชับเขาอย่างมั่นเหมาะ จึงคิดว่าเรื่องที่ท่านให้เขารับปากเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องของเขา มิได้เกี่ยวพันถึงบุคคลอื่น ดังนั้นคงมิได้ส่งผลร้ายหรือกระทำให้ผู้ใดเดือดร้อน จึงรับปากท่านขอทานพเนจรไปว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือรับปากต่อท่านอาวุโส จะมิแพร่งพรายเรื่องที่สนทนาในวันนี้กับผู้ใดแม้แต่อาจารย์ หากผิดคำพูดขอให้ฟ้าดินลงโทษ"
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงอืมม์ในลำคอ พร้อมกับเรียกให้จ่านจือลุกขึ้นมานั่งบนแคร่ตัวเดียวกันกับท่าน แล้วบอกให้เขารวบรวมสมาธิอย่าได้วอกแวก ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าได้เคลื่อนไหวหรือต่อต้านเป็นอันขาด
หลังจากนั้นขอทานพเนจรหวงเกาฉือทาบฝ่ามือขวาของท่านลงบนกระหม่อมของจ่านจือ สักพักหนึ่งเกิดเป็นกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากศีรษะของเขา ต่อจากนั้นท่านผู้เฒ่าเลื่อนฝ่ามือทั้งสองมายังบริเวณท้ายทอยแล้วไล่ไปตามจุดชีพจรต่าง ๆบนแผ่นหลัง เมื่อครบหนึ่งเที่ยวแล้วท่านผลักฝ่ามือตบใส่บริเวณหัวไหล่ขวาของเขา ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มหมุนคว้างดั่งลูกข่าง พอร่างของเขาหยุดหมุนจนแน่นิ่งบัดนี้ใบหน้าของจ่านจือหันประจันหน้ากับขอทานพเนจรหวงเกาฉือ
สังเกตใบหน้าของจ่านจือในยามนี้ปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาจากรูขุมขนจนทั่วใบหน้า ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นใช้นิ้วชี้กับนี้วกลางแทน ท่านใช้สองนิ้วจี้ไล่ตั้งแต่บริเวณลำคอ หน้าอกไปจนถึงปลายนิ้วมือทั้งสองข้างของเขา แล้วไล่ตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงมาเรื่อย ๆจนสุดปลายเท้าทั้งสองข้าง
ผ่านไปสองชั่วยามบัดนี้ท่านอาวุโสหวงเกาฉือ ทาบฝ่ามือทั้งสองของท่านกับสองฝ่ามือของจ่านจือแขนของทั้งคู่เหยียดตรง ใบหน้าของจ่านจือยังคงปรากฏหยาดเหงื่อเม็ดโตอยู่ทั่วใบหน้า ผ่านมาอีกราวครึ่งชั่วยามขอทานพเนจรหวงเกาฉือค่อยถอนสองฝ่ามือออกจากฝ่ามือของเขา ใบหน้าท่านปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจพร้อมกับกล่าวขึ้นกับจ่านจือว่า
"เอาละเจ้าหนุ่มลืมตาได้แล้ว ข้าได้ใช้พลังวัตรของข้ากรุยจุดชีพจรของเจ้าจนเปิดหมดสิ้นแล้ว พร้อมกันนั้นยังเปลี่ยนเส้นทางการเดินพลังลมปราณของเจ้าใหม่ด้วย เจ้าต้องกำหนดสมาธิแล้วใช้พลังวัตรของเจ้าสำรวจจุดชีพจรในร่างของเจ้า ว่ามีจุดเส้นชีพจรตำแหน่งไหนเปลี่ยนไป นี่คงเป็นสวรรค์กำหนดต่อจากนี้หากเจ้าไม่บอกออกไป จะไม่มีผู้ใดทราบตำแหน่งจุดชีพจรที่แท้จริงของเจ้าได้ ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องห่วงเวลาที่เจ้าเร่งเร้ากำลังภายในถึงขีดสุดแล้วจุดชีพจรของเจ้าจะถูกปิดอีกต่อไป มิเพียงเท่านี้ต่อไปพลังวัตรของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว"
จ่านจือเมื่อได้ยินท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวเช่นนั้น จึงรู้ว่าท่านช่วยทะลวงเปิดจุดชีพจรบางจุดที่ปิดให้กับตน แล้วทำการเคลื่อนย้ายจุดชีพจรของเขาเสียใหม่พร้อมกับถ่ายทอดพลังลมปราณของท่านส่วนหนึ่งเข้าสู่ร่างของเขาอีกด้วย แค่เพียงส่วนหนึ่งของพลังวัตรที่ท่านผู้เฒ่าสะสมมาตลอดชีวิต สามารถเปลี่ยนจ่านจือให้มีฝีมือรุดหน้าข้ามขั้นตอนของคนฝึกยุทธ์ปกติทั่วไป พลังวัตรที่จ่านจือได้รับจากอาวุโสหวงเกาฉือในครั้งนี้ เท่ากับคนทั่วไปใช้เวลาฝึกปรือถึงยี่สิบปี จ่านจือสำนึกในบุญคุณครั้งนี้ของท่านยิ่งนัก เขามีความรู้สึกว่าตั้งแต่ออกจากหุบเขาผีเสื้อมา นอกจากพบเจอพี่สาวแสนดีทั้งสองแล้ว เขายังมีวาสนาได้พบพานขอทานเฒ่าที่ชาวยุทธ์หลายคนอยากพบเห็นอีกด้วย
หรือจะเป็นวาสนาในคราเคราะห์ ตั้งแต่สิ้นมารดาบุญธรรมไปเขาล้วนพบพานกับคนที่ดีต่อเขายิ่งนัก ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือทั้งที่ท่านกับเขามิเคยได้รู้จักกันมาก่อน หรือแม้แต่เป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่ท่านกลับช่วยเหลือเขามากมายถึงปานนี้ จ่านจือกระทำสิ่งใดมิถูกกล่าววาจามิออกรีบคุกเข่าทั้งสองลงกับพื้น โขกศีรษะแนบชิดติดพื้นเมื่อเงยหน้าขึ้นเขากล่าวกับท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ด้วยความสำนึกในพระคุณของท่านครั้งนี้ว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือสำนึกในพระคุณของท่านอาวุโสเป็นยิ่งนัก จนจ่านจือมิสามารถสรรหาคำพูดใดออกมากล่าวนอกจากคำขอบคุณ หากว่าท่านอาวุโสมีสิ่งใดให้ข้าพเจ้าจ่านจือกระทำจงบ่งบอกต่อจ่านจือ แม้บุกน้ำลุยไฟจือน้อยผู้นี้มิมีเกี่ยงแม้เพียงครึ่งคำ"
"เจ้าลุกขึ้นเถอะเซี่ยวจือ ได้ช่วยเหลือเจ้าถือว่าเราทั้งสองมีวาสนาต่อกัน อีกอย่างข้าเองแก่ชรามากแล้วไม่รู้จะอยู่ดูโลกได้อีกนานเท่าใด? ยุทธภพในภายภาคหน้าจำเป็นต้องพึ่งพาเด็กรุ่นหลังเช่นเจ้า มีเรื่องราวมากมายในยุทธภพนี้ที่เจ้าจะต้องเรียนรู้อีกมากหลาย ไม่ทราบว่าก่อนวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินพวกเจ้าทั้งสามคิดจะเดินทางไปที่ใด? สะดวกบอกกล่าวต่อข้าได้หรือไม่?"
จ่านจือรีบลุกขึ้นหลังจากท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉืออนุญาต ต่อจากนั้นเขาได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมูชิวป้าให้ท่านฟัง และบอกกล่าวกับท่านไปว่าตนทั้งสามคิดจะเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิวกับสำนักเมฆฟ้าพิรุณ เพื่อส่งข่าวของท่านเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ให้หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงกับเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ได้รับทราบ
เมื่อขอทานหวงเกาฉือได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของจ่านจือ ท่านจึงคาดการณ์ว่าป่านนี้คนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าคงกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหน หากเขาและพี่สาวทั้งสองเดินทางออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ เพื่อไปยังพรรคไผ่หลิวกับสำนักเมฆฟ้าพิรุณ คิดว่าคงไม่อาจหลุดรอดหูตาคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าไปเป็นแน่ ดังนั้นท่านจึงกล่าวกับจ่านจือว่า
"เช่นนี้ก็แล้วกัน เรื่องของเจ้าหุบเขามู่ข้าขอทานเฒ่าจะรับเป็นธุระไปส่งข่าวให้และสืบข่าวของเจ้าหุบเขามู่ให้เอง แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะรบกวนเจ้าและพี่สาวทั้งสองของเจ้าไปกระทำแทนข้าจะได้หรือไม่?"
จ่านจือได้ยินท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวเช่นนั้น ไม่รอปรึกษากับพี่สาวทั้งสองของเขา รีบเอ่ยปากรับคำต่อท่านไปว่า
"ได้สิท่านอาวุโส ท่านมีเรื่องราวใดให้ข้าพเจ้าทั้งสามไปกระทำ ข้าพเจ้าจ่านจือและพี่สาวทั้งสองย่อมยินดีขอเพียงท่านเอ่ยปาก แม้ลำบากแค่ไหนข้าพเจ้าจะไม่เกี่ยงเป็นอันขาด ไม่ทราบว่าอาวุโสมีเรื่องราวใดให้ไปกระทำขอรีบกล่าวมา"
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือได้ยินจ่านจือรับปากเป็นมั่นเหมาะ จึงบอกให้จ่านจือไปตามศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมา ท่านจะได้บอกกล่าวให้ทั้งสามรับรู้พร้อม ๆกัน จ่านจือมิรอช้ารีบก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน พร้อมกับส่งเสียงเรียกพี่สาวทั้งสองออกมา
ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนั่งรอจ่านจืออยู่ในบ้านเป็นเวลาหลายชั่วยาม ต่างรู้สึกกระสับกระส่ายด้วยไม่รู้ว่าท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือคุยธุระใดกับจ่านจือ ถึงได้ใช้เวลาเนิ่นนานปานนี้ พอได้ยินจ่านจือส่งเสียงเรียกนางทั้งสองจึงรีบวิ่งออกมาตามเสียงเรียกของเขาในทันที
เมื่อทั้งสามออกมาพร้อมหน้ากัน หลังจากนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอทานพเนจรหวงเกาฉือจึงกล่าวกับทั้งสามว่า
"เรื่องที่ข้าจะไหว้วานพวกเจ้าทั้งสาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับขอทานทั้งหลายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของข้า และมีส่วนเกี่ยวข้องกับยุทธภพด้วยส่วนหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าทั้งสามปลอมตัวเป็นขอทานแล้วเดินทางไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนดอยตะวันทางทิศตะวันออกของเมืองลั่วหยาง อีกห้าวันศิษย์ทั้งหลายของข้าในจงหยวนจะนัดรวมตัวกันที่นั่นเพื่อรอต้อนรับข้าขอทานเฒ่า"
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการมาของท่านว่า หลังจากศิษย์ของท่านในภาคกลางได้รับข่าวว่าท่านจะเดินทางลงมาจงหยวน เพื่อร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ดังนั้นศิษย์ทั้งหลายจึงนัดชุมนุมกันที่ดอยตะวัน ก่อนหน้านั้นท่านจึงได้ส่งผู้เฒ่าลำดับแปดกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดพร้อมศิษย์ติดตามอีกผู้หนึ่ง ให้เดินทางล่วงหน้ามาก่อนท่านเมื่อราวอาทิตย์ก่อน
แต่ปรากฏว่าคนทั้งสามที่ล่วงหน้ามาก่อน ได้ถูกฆ่าตายก่อนจะเดินทางเข้าเขตจงหยวนได้ไม่ไกลนัก แต่ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นศพของคนทั้งสามเลยยังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าใด จากการสันนิษฐานของท่านคิดว่าอาจมีคนทราบว่าท่านส่งศิษย์ล่วงหน้ามาก่อน เลยลงมือฆ่าศิษย์ของท่านแล้วปลอมตัวเป็นศิษย์ของท่าน ลอบเข้าไปก่อกวนภายในงานชุมนุมขอทานบนดอยตะวันย่อมเป็นได้
หรือไม่อาจจะมีแผนการอื่นชั่วร้ายมากไปกว่านั้น ท่านไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงยังไม่ต้องการเดินทางไปปรากฏตัว เมื่อเห็นว่าทั้งสามเดินทางไปพรรคไผ่หลิวกับสำนักเมฆฟ้าพิรุณอาจถูกคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าตามล่าได้ เพื่อเป็นการตบตาคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าจึงให้ทั้งสามปลอมตัวเป็นขอทานเดินทาง คนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าจะได้ไม่สงสัย และให้ทั้งสามเข้าไปสืบข่าวหาไส้ศึกบนดอยตะวันให้กับท่านด้วย
เมื่อทั้งสามรับปากขอทานพเนจร ท่านจึงบอกรายละเอียดภายในหมู่ขอทานด้วยกันว่ามีผู้ใดบ้างที่มีอาวุโส ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารักษากฎของขอทานในภาคกลาง และได้บอกเล่าเกี่ยวกับการส่งสัญญาณการสื่อสารภายในหมู่ขอทานให้ทั้งสามได้จดจำ ทั้งสามต่างสักถามรายละเอียดต่าง ๆจนเข้าใจดีแล้ว จึงกำหนดแผนการปลอมตัวเมื่อปลอมเป็นขอทานนับว่าไม่ยากสำหรับจ่านจือ เพราะในเวลานี้สารรูปของเขามิต่างอะไรจากขอทานมากนัก ดังนั้นทั้งสามลงมือช่วยกันนำเศษผ้าที่เหลือจากการตัดชุดให้จ่านจือมาตบแต่งชุดให้ดูเก่ามีรอยขาดรอบตัวสำหรับพี่สาวทั้งสอง พร้อมกับใช้ผงขี้เถ้าจากเตาถ่านภายในครัว มาทาจนทั่วทั้งชุดเท่านี้ดูเป็นขอทานมากยิ่งขึ้นทันที
ส่วนจ่านจือเพียงแต่ตบแต่งใบหน้าให้ดูมอมแมมสกปรก พร้อมกับปล่อยผมบนศีรษะให้ดูรกรุงรังเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำสระผมมาเป็นแรมเดือน
ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเองต้องปลอมเป็นขอทานที่เป็นบุรุษเช่นกัน เพื่อจะได้สะดวกในการเดินทาง และไม่เป็นที่สงสัยของขอทานคนอื่น ๆนางทั้งสองเก็บสิ่งของและกระบี่ไว้ที่บ้านของจ่านจือ พร้อมกับห่อสัมภาระและชุดของจ่านจือที่เพิ่งเย็บเสร็จ เมื่อเสร็จงานที่ดอยตะวันแล้วค่อยย้อนกลับมานำติดตัวไปก่อนเดินทางไปวัดเส้าหลิน
เมื่อทั้งสามจัดหาลำไม้ไผ่สำหรับใช้เป็นอาวุธแทนกระบี่แล้ว จึงเตรียมตัวออกเดินทาง ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเมื่อทั้งสามอำลาท่านแล้ว ท่านก็พลิ้วร่างจากไปดุจหมอกควันกลุ่มหนึ่ง ทั้งสามไม่รอช้าออกเดินทางสู่ดอยตะวันทันที สถานที่ซึ่งขอทานในภาคกลางใช้เป็นสถานที่ชุมนุมขอทานนั่นเอง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร