บทที่ 2.1 ขอเวลาพักบ้างได้ไหม
ป้ายรถประจำทางยามนี้มีเพียงเธอกับนักเรียนมัธยมคนหนึ่ง ลัลลินีเหลือบตามองเด็กสาววัยใสหน้าตาหม่นหมอง เสื้อผ้าเปียกไปเกินครึ่งจนคนแก่ทนไม่ไหว รื้อค้นในกระเป๋ากระสอบเจอเสื้อคลุมแขนยาวตัวหนึ่งจึงเอ่ยถาม
“น้องคะ...” อีกฝ่ายหันมามองอย่างหวาดระแวง ดวงตาบวมเป่ง จมูกแดงเรื่อ หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านโศกนาฏกรรมโกโบริกับอังศุมาลินในเรื่องคู่กรรมมา
“เอ่อ... เห็นเสื้อนักเรียนน้องเปียก...“เอาเสื้อพี่ไปใส่คลุมเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ดึกๆ แบบนี้ไม่ค่อยปลอดภัย” เธอพยายามยิ้มแทนการแยกเขี้ยวใส่เมื่อเด็กคนนั้นมองเธอราวกับคุณป้าจอมเสือก
“ขอบคุณค่ะพี่” เด็กสาวเอ่ยง่ายๆ แต่ไม่ยอมยื่นมือมารับ
ลัลลินีเพียงไหวไหล่ ในเมื่อเธอยื่นน้ำใจให้ จะรับหรือไม่ก็แล้วแต่บุญกรรมที่ทำมาละกัน
เดิมทีครอบครัวของเธอมีฐานะปานกลาง พ่อเป็นคนไทยที่รับราชการ ส่วนแม่เป็นลูกคนจีนที่ทำมาค้าขาย เมื่อก่อนตอนพ่อเป็นครู แม่ก็เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในโรงเรียน จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ปีนั้น แม่ได้เงินก้อนจึงพาเธอกับน้องชายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ เพราะไม่สามารถอาศัยที่บ้านพักครูได้แล้ว จึงใช้เงินก้อนสุดท้ายซื้อบ้านหลังเล็กๆ แถวๆ บ้านเดิมที่แม่เคยอยู่ขายข้าวแกงหาเงินส่งลูกสองคนเรียน
แต่จะเรียกว่าส่งสองคนเรียนก็ไม่ถูกนัก ในเมื่อความเป็นจริงแม่ส่งเสียเพียงแค่น้องชาย ซึ่งลูกเทพคนนั้นก็ใช้เงินเก่งยิ่งกว่าลูกเศรษฐี เพราะแบบนี้เธอเลยค่อนข้างเกลียดความคิดแบบคนจีนที่เห็นลูกชายเป็นพระเจ้า แม่ของเธอสืบทอดความคิดนี้มาเต็มเปี่ยม เธอโตมากแล้วตอนแม่คลอดน้องชาย จำได้ว่าแม่ดีใจแค่ไหน เอาอกเอาใจประเคนให้เจ้าหลงทุกอย่างยังไง เธอจำได้ไม่เคยลืม ตอนน้องชายเธอเข้าเรียนอนุบาล ยังได้เงินไปโรงเรียนมากกว่าที่เธอเรียนชั้นมัธยมด้วยซ้ำ
บ้านหลังเล็กๆ มีเพียงสองห้องนอน เมื่อก่อนเธอเคยได้ครอบครองหนึ่งห้อง จวบจนเจ้าหลงเริ่มรู้ความ เธอก็ต้องสละเตียงเล็กๆ ให้แล้วลงมานอนพื้น ด้วยเรื่องที่ว่าเขาเป็นผู้ชายจะให้นอนพื้นได้อย่างไร นั่นคือเหตุผลที่แม่ของเธอยกมาอ้าง ต่อมาเมื่อน้องสุดที่รักของเธอเริ่มจะแตกเนื้อหนุ่ม จากที่เคยใช้ห้องร่วมกันก็เฉดหัวพี่สาวกลับไปนอนกับแม่ นี่ยังไม่แย่เท่าเรื่องจิปาถะอีกมากมาย เช่น น้องเป็นผู้ชายจะให้ทำงานบ้านของผู้หญิงได้ยังไง แม้แต่กางเกงในยังต้องซักให้พ่อคุณ เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือไม่ให้ใช้กะละมังร่วมกัน เพราะแม่บอกว่าประจำเดือนของผู้หญิงเป็นของสกปรก กะละมังที่บ้านจึงแยกสีสำหรับของคุณชายท่าน ในหัวของแม่ถูกปลูกฝังมาอย่างชาวจีนเต็มขั้น จนเธอเคยสาบดสาบานไว้ว่า ชาตินี้จะไม่แต่งเข้าบ้านที่มีเชื้อจีนเด็ดขาด แค่ตาขีดเดียวที่ทำให้ต้องนั่งกรีดอายไลเนอร์ทุกเช้าก็ลำบากจนแทบกระอักเลือด หากต้องมานั่งปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมยิบย่อยพวกนี้อีก เธอคงขอลาตายวันละหลายๆ รอบ
ความหวังถูกฝากไว้กับอนาคตอันรางเลือนของน้องชาย แม่ยังมีความเชื่อว่าลูกสาวแต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้ง จะฝากผีฝากไข้ไม่ได้อีก ท่านจึงวาดหวังทุกอย่างไว้กับบุตรชายคนเดียว หวังเหลือเกินว่าไอ้หลงจะเรียนจบออกไปมีหน้าที่การงานที่ดี หาเงินมาจุนเจือครอบครัวเลี้ยงแม่ยามแก่ เธออยากจะตะโกนถามเหลือเกินว่าไอ้หลงจะหางานดีๆ ได้ยังไงในเมื่อแค่เรียนผ่านเกณฑ์ไม่ต้องคาบเส้นยาแดงยังทำไม่ได้ คนปกติเขาใช้เวลาร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยกันแค่สี่ปี นี่น้องชายของเธอจะเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หรือไง หกปีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบ ค่าเทอมมหาวิทยาลัยเอกชนก็ใช่จะถูก ลำพังเงินที่ได้จากการขายข้าวแกงของแม่หรือจะพอ ไหนจะค่าอุปกรณ์การเรียนที่เธอรู้อยู่เต็มอกว่าน้องชายโกหกแต่จะพูดอะไรได้ เพราะถ้าเธอไม่จ่าย น้องชายก็ต้องไปรบเร้าเอากับแม่ นี่ถ้าเธอปลอมตัวเข้าสอบแทนได้คงไม่รีรอเพื่อให้น้องชายรีบๆ จบ จะได้ไม่รบกวนเงินเธออีก
เธอทำขนาดนี้แล้วแต่แม่กลับไม่เคยมองเห็นคุณค่า
เออหนา... คนหนอคน เกิดมาไม่ใช่ยังไงเขาก็ไม่รัก
ครืดๆ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าร้องเตือนอีกครั้ง ลัลลินีแทบจะล้วงออกมาปาทิ้ง นี่พี่เขานกเขาไม่ขันหรือไง จะเที่ยงคืนแล้วยังโทร. มาหาอีก
“ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง
“หลิน นี่เอ็งยังไม่กลับบ้านเหรอ” ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“อือแม่ หนูเพิ่งเลิกงาน แม่มีไร”
“นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว เอ็งยังทำงานอยู่อีกเหรอ ไอ้บริษัทนี่ก็ยังไง ใช้งานยังกับเอ็งเป็นทาส...” เสียงของแม่ยังคงบ่นต่อยืดยาว ขณะที่เธอนึกค้านในใจ ตัวเธอตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ทาสของบริษัท แต่เป็นทาสของทั้งแม่และน้องชาย นี่โทร. มาดึกขนาดนี้คงไม่แคล้วเรื่องไอ้หลง น้องชายตัวดี
“เอ็งฟังที่แม่พูดไหม”
“อ้อ... แม่ว่าไงนะ พอดีฝนตก สัญญาณมันไม่ค่อยดีน่ะ”
“แหม พอพูดเรื่องเงินนี่สัญญาณหายเลยนะเอ็งนี่” บุตรสาวถอนหายใจยาวเหยียด พ้นจากที่เธอพูดไหม สงสัยต่อไปคงต้องหางานเสริมอีกสักทาง รายจ่ายของคนอื่นมันมากเหลือเกิน
“เอ็งโอนมาให้แม่สามหมื่นก่อน หลงมันรีบใช้”
“มันจะใช้ทำอะไรอีกแม่ โพรเจกต์จบอะไรมันใช้เงินขนาดนั้น ตอนหนูเรียน...”
“เอ๊ะ นังนี่ เอ็งมันเรียนอะไร แล้วน้องเรียนอะไร น้องมันเรียนวิศวะ จะประดิษฐ์นั่นสร้างนี่ก็ต้องใช้เงิน” หญิงสาวกลอกตาพ่นลมหายใจ ก็แค่ทำวิทยานิพนธ์จบ จะใช้เงินสักกี่บาทกัน เครื่องมืออุปกรณ์ก็ของมหาวิทยาลัย
“มันบอกว่าจะจบแน่แล้วใช่ไหมแม่”
“เอ่อ... น้องเอ็งมันฉลาด ไม่ได้...”
“ก้อนสุดท้ายนะแม่” เธอรีบตัดบทก่อนจะนึกได้แล้วเอ่ยต่อ “ค่าชุดรับปริญญามันอีก ค่าจ้างช่างภาพวันงานอีก จบแล้วให้มันหางานจ่ายเองนะ”