บทที่ 1.2
ชายชราหนวดขาวท่าทางสูงส่งนั่งมองคันฉ่องเบื้องหน้า ท่ามกลางคันฉ่องอีกนับพันนับหมื่นแผ่น เสียงร้องของสตรีผู้นั้นดังโหยหวนราวกับต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรม เวลาในโลกมนุษย์กับสวรรค์นั้นต่างกันไกลโข เพียงหนึ่งชั่วยามของสวรรค์ชั้นฟ้าก็เท่ากับหนึ่งปีในโลกมนุษย์ ตัวเขาเป็นถึงมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ ชีวิตส่วนใหญ่คือเข้าญาณซึ่งชาวสวรรค์มักเรียกว่านั่งหลับ จะทำงานก็ต่อเมื่อต้องนำทัพใหญ่ต่อสู้กับเหล่ามารร้าย ทว่าผ่านมาหลายพันหลายหมื่นปีมิมีศึกใหญ่ใด ยิ่งแม่ทัพใหญ่ในกองทัพของเขานั้นมากความสามารถ มหาเทพจึงแทบไม่ได้ลุกขึ้นมาจับดาบ
ในเมื่อว่างแสนว่างจนไม่รู้จะทำสิ่งใด จึงนึกครึ้มอกครึ้มใจมานั่งมองคันฉ่องกัลป์กาลที่สะท้อนเรื่องราวของมนุษย์นับพันหมื่นตรงหน้าราวกับนั่งชมงิ้วเรื่องหนึ่ง บางแผ่นแสดงฉากสู้รบ ขณะที่บางแผ่นเป็นภาพของตึกสูงหลายสิบชั้น บนท้องฟ้ามีเรือบินร่อนไปร่อนมามากมาย แตกต่างจากบางแผ่นที่แสดงให้เห็นถึงขบวนม้าศึก เหล่าทหารใส่ชุดเกราะถือโล่ควงดาบ สายตาเหลือบไปมองคันฉ่องที่อยู่ริมสุด สามสตรีสะคราญโฉมซึ่งว่างงานนักหนากำลังต่อล้อต่อเถียงกัน
“คารวะท่านมหาเทพพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงแสดงความเคารพเอ่ยขึ้น เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นร่างผอมบางในชุดสีน้ำเงินเข้มก้มคุกเข่าอยู่บนพื้น
“เทพซือมิ่ง6 ลุกขึ้นเถอะ” เขาเพียงโบกมือแล้วหันไปสนใจสิ่งตรงหน้าต่อ
เทพชะตาเหลือบตามองท่านมหาเทพผู้อยู่เหนือเทพทั้งปวงจ้องมองคันฉ่องเบื้องหน้า เป็นที่รู้กันว่าท่านมหาเทพนั้นแสนว่าง วันๆ มิทำการงานใดเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากเป็นที่ปรึกษากองทัพสวรรค์และงานรบทัพจับศึกซึ่งจะมีงานแค่ยามออกศึก กระนั้นศึกเล็กใหญ่ทั่วไปก็หาได้คณนามือหยวนจวินซ่างเสินแม่ทัพใหญ่ของพระองค์ เช่นนี้แล้วพระองค์จะยังจำเป็นต้องเปลืองเรี่ยวแรงอีกหรือ “บนโลกมนุษย์มีปัญหาหรือพ่ะย่ะค่ะ” เทพซือมิ่งอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ยากนักที่จะเห็นมหาเทพทรงให้ความสนใจกับสิ่งใดในสามโลก
“ไม่...” น้ำเสียงเฉยชาตอบกลับ ทว่าแววตายังจดจ้องภาพเบื้องหน้า
เทพซือมิ่งย่นคิ้ว ในเมื่อไม่มีปัญหา แล้วเหตุใดท่านมหาเทพจึงให้ความสนใจนัก แม้คิดว่าเป็นการละลาบละล้วง แต่ในเมื่อหนอนแห่งความอยากรู้ชอนไชอยู่ในท้อง ผู้ใดจะฝืนทนต่อความคันได้
เมื่อท่านมหาเทพไม่ได้เหลือบแลเขา หันมองซ้ายขวาก็ไร้เงาผู้คน จึงถือโอกาสแอบเสียกิริยาชะโงกหน้าไปมอง
ครืดๆ ครืดๆ
เสียงโทรศัพท์รุ่นเก่าสั่นประท้วง ลัลลินีล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่ หรือที่เจ้าเด็กไอทีโต๊ะข้างๆ ค่อนขอดว่ามันคือถุงกระสอบ ควานหาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนรุ่นดึกดำบรรพ์ออกมาดู เมื่อเห็นชื่อโชว์ที่หน้าจอก็แทบอยากจะปาทิ้ง ห้าทุ่มครึ่ง ถ้าไม่เร่งด่วนจริงๆ คนปกติที่ไหนจะโทร. มา
เธอถอนหายใจ กลอกตา กัดฟัน แล้วกดรับ
“ค่ะ”
“หลินเหรอ”
‘ป้าแกมั้ง’ เธอคิดค่อนขอดในใจ
“ค่ะพี่”
“หลิน พอดีพี่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า...”
พี่แกก็เพิ่งนึกได้ทั้งชาติปะวะ... เจ้หลินได้แต่นึกสรรเสริญเจริญพรอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
“พรุ่งนี้มีงานด่วนแทรกตอนเช้านิดหนึ่ง หลินช่วยเช็กชื่อตำแหน่งของพนักงานแผนกคัดเลือกสินค้าที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่และเช็กชื่อพนักงานที่ได้รับการโปรโมตไปในไฟล์โพรโมชันซึ่งยังไม่ได้อัปเดต เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลุยกันอีกทีว่ามีตกหล่นอีกไหม แต่ไม่เป็นไรไม่ต้องเครียดนะ พรุ่งนี้มาเริ่มกันใหม่ พี่รบกวนน้องหลินแค่นี้นะครับ”
อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ขณะที่เธอยืนตากฝนนับหนึ่งถึงสิบ
พ่องงง... ไม่เป็นไร ไม่รีบ แล้วคุณมึงจะโทร. มาห้าทุ่มครึ่งให้คนเขากังวลเพื่อ!
ลัลลินีถอนหายใจฟืดฟาดด้วยความหงุดหงิด หัวหน้าฝ่ายธุรการ ชายวัยสี่สิบปีที่ขี้กังวล จะทำอะไรเป็นต้องโทร. มาถามทุกครั้ง จนเธอเผลอนึกเล่นๆ ว่า หากได้รู้จักกันก่อนอีกฝ่ายแต่งงาน ตอนเข้าหอพ่อคุณจะโทร. มาถามเธอไหมนะ
หลิน... พี่ควรแก้ผ้าตัวเองหรือเมียก่อน พี่ควรนอนฝั่งซ้ายหรือขวา พี่กลัวเมียจะ... โอ๊ย สารพัดที่คนธรรมดาไม่กังวล แต่หัวหน้าฝ่ายธุรการกลับคิดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
เวลาประชุมทีไรเธอมักจะนึกประโยคนี้ในใจเสมอ
อย่า...อย่า พี่คะ อย่าสบตาหนู ยามมีงานที่ยังไม่รู้จะโยนให้แผนกไหนรับผิดชอบ หัวหน้าฝ่ายก็มักจะพยายามสบสายตากับเธอเสียทุกครา ชีวิต... หากเผลอไปสบตากับเขาเมื่อไร ก็เท่ากับเอวัง งานนั้นหล่นใส่หัวทันที
ถ้าถึงวันลาออกเธอจะขอร้องเพลงใส่อีกฝ่าย “เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย”
อดทน! หลิน... เธอต้องอดทน เหนื่อยสายตัวแทบขาด คติประจำใจที่เธอเคยยึดมั่นปลิวหายตั้งแต่เริ่มทำงาน
Work-Life Balance โธ่... ห้าทุ่มครึ่งยังไม่ได้กลับบ้าน บาลานซ์มากค่า
นึกๆ แล้วก็อยากลาตาย แต่ชีวิตคนเรายังมีค่า... ค่าผ่อนคอนโดมิเนียม ค่าเทอมน้อง ค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายของมารดา ค่าจิปาถะอีกมากมายก่ายกอง...เฮ้อ เงินเดือนน้อยเหมือนเงินทอน เธอได้แต่ถอนหายใจ
คิดจะพัก คิดถึง...ภาระค่ะ