บทที่ 4 พี่ชาย...ท่านวางศักดิ์ศรีลงหน่อยไหม
มี่อิงเอนตัวนอนราบกับหลังม้าขณะที่มันหันมากระโจนใส่อีกครั้ง กระบี่ในมือพลิกมาต้านรับ จากนั้นจึงใช้ขาถีบม้าพุ่งทะยานไปด้านหน้า ทิ้งชายชุดดำไว้เบื้องหลัง ขณะที่ตัวนางมุ่งเข้าสู่วงล้อม
เมื่อเห็นคล้ายมีคนเข้ามาช่วย หนึ่งในนั้นจึงตะโกนร้องเรียก “จอมยุทธ์ โปรดช่วยคุณชายของข้าด้วย”
ชายหนุ่มท่าทางปราดเปรียวผู้นี้ดูท่าวรยุทธ์จะแข็งแกร่ง แต่แขนด้านซ้ายของเขามีรอยถูกดาบฟัน ท่าทางกำลังที่ถดถอย คาดว่าน่าจะโดนพิษ มิเช่นนั้นคงไม่ตกเป็นรองเช่นนี้
เมื่อเหลือบมองชายหนุ่มอีกคน มี่อิงก็ถึงกับร้องอุทานในใจ คนผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลสำคัญ ท่าทางสง่าองอาจผ่าเผยนั้น แม้ตัวเองจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังมิอาจลดทอนความน่ายำเกรง ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ที่ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกว่าต่ำต้อยราวกับมดปลวก แต่นางไม่มีเวลาพิจารณามากกว่านี้เมื่อคนชุดดำสองคนพุ่งเข้ามาหา
เด็กสาวซัดมีดบินในมือปักไหล่ขวาชายชุดดำคนหนึ่งขณะยกกระบี่ขึ้นรับการจู่โจมของอีกคน การต่อสู้บนหลังม้าเช่นนี้นางฝึกฝนกับทหารของบิดามาแต่เด็กย่อมได้เปรียบ นางรับดาบของมันอยู่สามสี่กระบวนท่า ก่อนจะได้จังหวะเสือกแทงกระบี่ใส่ท้องของมัน แล้วหันกลับมาสำรวจคุณชายผู้นั้น แม้เขาจะบาดเจ็บ และดูท่าว่าอาจจะโดนพิษ แต่ท่าทางของเขาไม่ได้ลดทอนความสง่าลงเลยแม้แต่น้อย
“ขึ้นมา” นางกระตุกม้าพุ่งไปพร้อมส่งมือให้เขา ชายหนุ่มเอื้อมจับมือนางแล้วจึงโหนตัวขึ้นม้า ร่างสูงโอบประคองจากด้านหลัง กลิ่นกายของบุรุษเพศเข้มข้นจนทำให้เด็กสาวหน้าแดงระเรื่อ
“รับไป” นางโยนยาแก้พิษให้บ่าวผู้นั้น ยานี้นางมักพกติดตัวเสมอ จวนแม่ทัพนั้นเปรียบเหมือนรังงู เผลอยามใดเป็นถูกงูฉก งูที่ว่านี้ไม่ใช่งูจากที่ใด แต่เป็นบรรดาแม่ๆ ทั้งหลาย ว่างเว้นจากงานเป็นต้องส่งยาพิษมาให้นางแก้เบื่อเล่น ไม่เข้าใจเหตุใดมิรู้จักเบื่อหน่าย ส่งมาถึงสี่ห้าครั้งยังไม่ประสบผลสำเร็จ น่านับถือความพยายามของพวกนางยิ่ง การงานอันเป็นประโยชน์กลับไม่พยายามเท่าหาทางฆ่าลูกเลี้ยง ช่างมีความอดทนเหลือจะกล่าว ยาแก้พิษที่นางพกนับว่าเป็นยาชั้นเลิศ สามารถแก้พิษได้มากกว่าแปดสิบชนิด แม้บางชนิดจะแก้ไม่ได้ แต่ก็พอบรรเทาได้
“รอข้า” เสียงทรงพลังของบุรุษด้านหลังเอ่ยเฉียบขาดกับบ่าวขณะที่นางควบม้าพุ่งทะยานฝ่าวงล้อมออกไป
เป็นดังคาด พวกมันทิ้งคนไว้สู้กับบ่าวคนนั้นแค่สองคน ส่วนคนที่เหลือรีบพุ่งทะยานตามมาอย่างไม่ลดละ
“ท่านมีแรงควบม้าหรือไม่” นางเอ่ยขณะเงยหน้าขึ้นถาม แม้จะอยู่ในความมืด แต่นางก็ยังพอมองเห็นเสี้ยวหน้าคม จมูกโด่งเป็นสันของบุรุษผู้นี้ มืดเช่นนี้ยังมองออกว่าเป็นคุณชายรูปงาม
“อืม” เขารับคำขณะสองแขนแกร่งโอบรอบตัวนาง เอื้อมมือมาชักบังเหียน มี่อิงขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด นางไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษเช่นนี้มาก่อนย่อมรู้สึกไม่สะดวกใจ แต่ในสถานการณ์เป็นตายเท่ากัน ถือศักดิ์ศรีไปก็มีแต่จะตายเปล่า
เปลี่ยนเขาเป็นผู้ควบม้า มือหนึ่งของนางยึดกับลำแขนแกร่งไว้ ส่วนอีกมือก็ล้วงเอามีดบินออกมา แม้พวกมันจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ แต่ก็ใช่จะทุกคนที่มีวิชาตัวเบาสูงล้ำขนาดที่จะตามฝีเท้าม้าทัน ไม่นานก็สลัดหลุดจากคนกลุ่มใหญ่ เหลือเพียงแค่สองคนที่ตามมาไม่ห่าง นางอาศัยจังหวะและความแม่นยำซัดมีดบินใส่พวกมันทั้งสองร่วงลงไปนอนกับพื้น
“ห่างจากนี้สามสิบลี้7 มีวัดร้าง” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยบอก หญิงสาวเพียงพยักหน้ารับ แล้วคว้าบังเหียนมาถือเอง เบี่ยงตัวออกจากท่าทางใกล้ชิดที่ชวนกระอักกระอ่วนใจ ยิ่งเขาเข้าใกล้ กลิ่นอำพันเข้มข้นก็ยิ่งอบอวลในอากาศ ชวนให้หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างประหลาด
ชายหนุ่มด้านหลังเองก็เช่นกัน หัวคิ้วของเขาย่นเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเครื่องหอม กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ทว่าทำให้รู้สึกสดชื่น มีแต่สตรีท่าทางอ่อนหวานเท่านั้นที่ใช้ ไหนเลยจะเป็นจอมยุทธ์ผู้หนึ่งเช่นนี้ อีกทั้งร่างบางตรงหน้าที่เพิ่งโอบประคองก็ช่างอ้อนแอ้นอรชรราวกับสตรีในห้องหอ หาใช่บุรุษที่ท่องอยู่ในยุทธภพ
ควบม้ามาราวหนึ่งเค่อ8 เงาตะคุ่มของวัดร้างที่ตั้งอยู่บนเนินพลันปรากฏในครรลองสายตา ย่ำเข้าไปถึงก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ทั้งเปล่าเปลี่ยวและเงียบสงัด เมื่อดึงบังเหียนม้าให้หยุดลง นางจึงเป็นฝ่ายเอี้ยวตัวลงก่อน ขณะที่กำลังจะส่งมือให้เขา ชายหนุ่มกลับโหนตัวลงมาเอง แม้จะเห็นว่าร่างหนาตรงหน้าเซถอยหลัง แต่กลับไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ยืนตัวตรงสองมือไพล่หลัง กลิ่นอายของความสูงศักดิ์แผ่จางๆ รอบตัว
นางกลอกตามอง ถอนหายใจสองครั้งให้แก่ท่าทางหยิ่งยโสนั้น
‘เฮอะ...ทำหยิ่งไปเถอะ เกิดแผลฉีกขาด พิษกำเริบขึ้นมา ข้าจะไม่เปลืองแรงฝังท่านเลย’
หันไปหยิบถุงใส่น้ำที่ห้อยคอม้าแล้วจึงเดินตามร่างสูงที่แม้จะมีร่องรอยของอาการบาดเจ็บ แต่ฝีเท้ากลับเป็นระเบียบมั่นคงยิ่ง เดินด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยยิ่ง มิรู้ว่าเขาจะอดทนไปทำไม ในเมื่อมีแค่เขากับนางอยู่ในนี้ หาใช่ท่ามกลางธารกำนัลไม่ ได้แต่ส่ายหน้าระอา จำใจเดินเข้าไปช่วยประคอง ไม่รู้ตัวเลยว่าเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้สูดดมกลิ่นหอมจากกาย ริมฝีปากที่มักเป็นเส้นตรงยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายพึงใจ มี่อิงพาเขาไปนั่งตรงกองฟางแห้ง ล้วงหายาแก้พิษออกมาจากในเสื้อ
“ท่านรีบกินเข้าไปก่อน ยานี้แม้ไม่สามารถรักษาพิษในตัวท่านได้ แต่อย่างน้อยก็อาจจะบรรเทาลงได้บ้าง” ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าแล้วรับยาและน้ำจากนางมา
เขาเพียงนั่งนิ่งๆ มองนาง ดวงตาดำขลับแวววาวอยู่ในความมืด ถูกเขาจ้องเช่นนี้ นางก็จ้องเขากลับไปผ่านม่านบางๆ ที่กั้น เห็นเพียงเบ้าหน้าของเขาอย่างเลือนราง มองไปมองมาครู่หนึ่งก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างไรชอบกล แสร้งเสมองไปสำรวจรอบๆ ทำทีเป็นยกมือขึ้นกอดอกเลียนแบบคุณชายเจ้าสำราญจึงพบว่ามือตัวเองเปื้อนไปด้วยเลือด
“ท่าน...บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้” พูดไม่ทันจบ คนที่เคยนั่งหลังตรงคอแข็งก็ฟุบหน้าหมดสติไปแล้ว
กระโดดทีเดียวก็ไปถึงตัวเขาอย่างร้อนรน มือลูบผ่านแผ่นหลังของเขาพบว่ามันชุ่มโชกไปด้วยเลือดข้นเหนียว
‘เจ็บหนักขนาดนี้ ท่านยังไม่ร้องสักคำ ไม่รู้ว่าขาเหยียบแดนปรโลกแล้ว ท่านยังจะหอบศักดิ์ศรีไปด้วยหรือไม่’
มี่อิงได้แต่ส่ายหน้าระอาพลางถอดหมวกสานผ้าคลุมหน้าออก หันไปฉีกเสื้อผ้าเขา รอยดาบกรีดลงเนื้อเป็นทางยาวปรากฏแก่สายตา รอยแผลค่อนข้างลึกและเป็นรอยเขียวคล้ำ บ่งบอกว่าโดนพิษ นางค่อยๆ ใช้น้ำในถุงล้างเลือดรอบๆ ล้วงยาห้ามเลือดออกมาทา จากนั้นจึงผละไปเอาห่อผ้าที่แขวนกับม้า ในนั้นมีอุปกรณ์ที่นางพกพาหลายสิ่งรวมทั้งเข็มกับด้าย
“ขอโทษนะพี่ชาย ฝีมือเย็บของข้าอาจจะไม่สวย แต่รับรองได้ว่าไม่ขี้ริ้ว ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร เกรงว่าตามหมอมาอาจจะร้ายมากกว่าดี”
สลบไปเช่นนี้ก็ดี ตอนนางเย็บแผลจะได้ไม่ต้องร้องโวยวายเสียงดัง
กล่าวขออภัยเขาแล้ว นางก็ลงมือเย็บแผลให้เขาด้วยตัวเอง อาศัยแสงสว่างจากพระจันทร์เต็มดวงที่ลอดมาทางหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเมื่อเห็นรอยเย็บแล้วพี่ชายตรงหน้าจะหัวเราะหรือร่ำไห้
ปกติอาจารย์อาสอนแต่เรื่องการฝังเข็มและปรุงโอสถ เนื่องจากรู้สึกอเนจอนาถใจกับฝีเข็มของนาง ทักษะด้านการเย็บแผลจึงค่อนข้างต่ำ เอิ่ม...ต่ำที่สุดถ้าเทียบกับอย่างอื่น แต่นางก็เคยเรียนรู้มาบ้าง อาจารย์อาเคยสอนนางเย็บแผล เอ่อ...วัวบ้าง ม้าบ้าง ส่วนคนนั้น ยินดีด้วยพี่ชาย ท่านเป็นคนแรกที่ข้าลงมือ นับเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงแก่วงศ์ตระกูลของท่าน
‘เสียดาย หากข้าหน้าหนากว่านี้อีกสักหน่อย คงพิจารณาจะสลักชื่อตัวเองลงไปด้วย’
เมื่อเย็บแผลเสร็จก็หันมองซ้ายขวา เสื้อผ้าบนตัวเขานั้นโชกไปด้วยเลือด จำใจต้องฉีกเอาชายเสื้อคลุมยาวของตัวเองบางส่วนออกมาพันแผลห้ามเลือด ส่วนเสื้อผ้าของเขาที่ถูกทิ้งขว้างไว้ เมื่อพิจารณาเนื้อผ้าสีเขียวเข้มนั้นนิ่มลื่น บ่งบอกว่าเป็นของชั้นดี ช่วยยืนยันความคิดของนางว่าบุรุษผู้นี้คงมีฐานะไม่ธรรมดา นางจัดการให้เขาได้นอนพัก แล้วจึงทิ้งถุงน้ำและผลไม้ที่ป้าหยูเตรียมมาให้
ก้มหน้าพิจารณาชายหนุ่มในความมืด เห็นเพียงเงารางๆ จากแสงจันทร์ที่ยามนี้หลบไปอยู่หลังก้อนเมฆใหญ่ ในใจรู้สึกเสียดายยิ่งนัก มนุษย์คนแรกที่ได้รับเกียรติรับการรักษา เอิ่ม...รับการเย็บแผลจากนาง แต่นางกลับเห็นหน้าเขาไม่ชัดเสียอย่างนั้น น่าเสียดายโดยแท้ คิดวนไปมาก็ได้ข้อสรุปว่า เขาช่างเป็นบุรุษที่พร้อมมูลไปด้วยโชค หากไปเจอะเจอคนอื่นป่านนี้ขาข้างหนึ่งคงก้าวข้ามสะพานแม่น้ำลืมเลือน9 มิได้มานอนหายใจสม่ำเสมอเช่นยามนี้
แต่พี่ชายผู้นี้ก็แปลกพิลึก ขนาดหมดสติยังนอนตัวตรงเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง เสียงหายใจแม้แผ่วเบาทว่ายังสม่ำเสมอยิ่ง
มี่อิงส่ายหน้าให้แก่ชายประหลาดผู้นี้พลางผละออกมา
“หวังว่าพรรคพวกที่ท่านตามตัวจะหาท่านพบโดยเร็ว”
นางกล่าวกับเขาสั้นๆ แล้วจึงหันหลัง ตอนควบม้าเข้ามาถึงวัด นางรับรู้ได้ว่าเขาส่งสัญญาณบางอย่างตามพรรคพวกให้มาช่วย จึงจากมาอย่างวางใจ คาดว่าอีกไม่ช้าคนพวกนั้นคงตามมาทัน นางไม่อาจรั้งนานกว่านี้ มิเช่นนั้นป้าหยูอาจจะเป็นห่วงจนส่งคนไปแจ้งท่านยาย
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะแวะมาดูท่านอีกครั้งก็แล้วกัน”
เด็กสาวเอ่ยทิ้งท้ายกับสายลมแล้วจึงควบม้าจากไปในความมืด