บทที่ 5 คำกล่าวอ้างที่เกินจริง
ไม่ผิดจากที่คาด หากกลับมาช้ากว่านี้ครึ่งเค่อ ป้าหยูคงส่งคนไปแจ้งท่านยาย นางเอ่ยโป้ปดกับบ่าวเล็กน้อย หันหลังสับเท้าเผ่นเข้าห้อง เคราะห์ดีที่คืนนี้เลือกแต่งชุดดำ บ่าวชราจึงไม่ทันสังเกตเห็นรอยเลือด เช่นนั้นอย่าหวังว่าคืนนี้จะได้นอน คงถูกซักฟอกจนตัวขาวซีดยันเช้า ทั้งวันเกิดแต่เรื่องยุ่งวุ่นวาย ทิ้งตัวลงเตียง ทั่วทั้งร่างเมื่อยล้าจนสุดประมาณ หัวถึงหมอนจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
มี่อิงตกใจตื่นอีกทียามแสงอาทิตย์แยงตา รีบกระวีกระวาดลุกขึ้น เรียกหาหนิงเจียวให้นำชุดเมื่อคืนไปเผาทำลายอย่าได้ให้ป้าหยูเห็น สั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมอาหารของแห้งเล็กน้อย จากนั้นจึงแต่งชุดบุรุษ แจ้งป้าหยูเสร็จสรรพว่าจะไปพบท่านยายและเข้าร้าน ไม่ทันรั้งรอฟังคำทักท้วงก็เร่งควบม้าออกไป ทิ้งเสียงบ่นของบ่าวชราไว้กับหนิงเจียวที่ได้แต่มองตามด้วยน้ำตาอาบแก้ม
‘โธ่...คุณหนู เหตุใดจึงทิ้งกันเยี่ยงนี้’
หนิงเจียวจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนฟังป้าหยูบ่นอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะหาทางหลบหนีได้ ขณะที่นายสาวได้แต่หัวเราะร่า ควบม้าไปทางวัดร้าง วัดตั้งอยู่ด้านเหนือของเมือง บริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นที่ของสกุลหนึ่ง แต่หลังจากทำผิดโดนโทษประหารทั้งตระกูล พื้นที่แถบนี้จึงถูกปล่อยรกร้าง วัดตั้งอยู่ตรงเนิน เหลือเพียงตัวอารามที่ไม่ผุพัง แผ่นกระเบื้องบนหลังคาหลุดล่อนออกมามาก หากเมื่อคืนฝนตก คาดว่าในตัวอารามอาจจะกลายเป็นหนองน้ำแทน
ประตูเก่าๆ หลุดออกจากบานพับ เอียงกระเท่เร่ เมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็พบรอยเลือดหยดลงบนพื้นเป็นดวงๆ ลากยาวไปจนถึงมุมหนึ่ง บนกองฟางนั้น ตอนนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของร่างหนา
‘เฮ้อ...ศักดิ์ศรีของท่าน ช่างสูงส่งจนมิอาจทิ้งไว้แม้แต่คำขอบคุณ’
นางส่ายหน้าเอ่ยประชดเขา ก่อนจะผินหน้าจากไป ในใจทั้งรู้สึกห่วงพะวงและหงุดหงิด ครึ่งหนึ่งก็กลัวว่าศัตรูนั้นจะตามมาจนพบที่ซ่อน อีกครึ่งหนึ่งก็หงุดหงิดที่เขาจากไปโดยไม่ล่ำลาสักคำ
จุดหมายต่อไปคือร้านเครื่องประดับนามมี่ฮวา เป็นดอกไม้งามลึกลับสมกับชื่อ ร้านนี้เริ่มขายเครื่องประดับมาเมื่อสองปีก่อน แม้จะเป็นร้านใหม่ และไม่รู้ว่าเจ้าของคือใคร แต่ด้วยความประณีตและลวดลายที่งดงาม เปิดร้านได้ไม่กี่เดือนก็ทะยานเป็นร้านอันดับต้นๆ ที่คุณหนูและฮูหยินพากันเข้ามาอุดหนุน ขนาดร่ำลือกันว่าเมื่อปักปิ่นที่ทำจากร้านมี่ฮวา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเหลียวมอง
มี่อิงได้แต่ยิ้มรับกับคำร่ำลือนั้น ชอบเหลือเกินกับข่าวลือเกินจริง ยิ่งแพร่สะพัดไปไกลเท่าไร ร้านของนางยิ่งขายดีเท่านั้น คาดว่าอีกไม่นานคงมีคำกล่าวที่ว่า...
สวมเครื่องประดับจากร้านมี่ฮวา แม้แต่เง็กเซียนเห็นยังต้องตกตะลึง!
หากพวกฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือหอคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คาดว่าพวกนางคงแค้นจนกระอักเลือด ให้พวกนางเค้นสมองคิดทั้งชาติคงยังนึกไม่ถึงว่าผู้ออกแบบเครื่องประดับเหล่านี้จะนำแนวความคิดและคำชี้แนะจากหญิงคณิกาที่พวกนางนึกรังเกียจ เรื่องนี้พูดไปแล้วช่างน่าขันนัก
ร้านนี้นับเป็นสมบัติหนึ่งเดียวของนางยามนี้ เป็นแหล่งบ่อข้าวบ่อน้ำที่ใช้เลี้ยงคนในเรือน หาใช่เบี้ยหวัดจากบิดาที่ถูกมารดาเลี้ยงยึดไป แต่จะทำการค้าโดยอาศัยเพียงนางที่เป็นเด็กสาว มิต้องคาดหวัง ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือเป็นแน่แท้ จึงต้องให้ท่านยายช่วยออกหน้าจัดการให้ ด้วยความที่เห็นว่าหากขืนอาศัยในจวนด้วยสภาพที่ถูกรังแก ลิดรอนเบี้ยเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าจากคุณหนูคงจะกลายเป็นยาจก ทั้งถูกบิดาทอดทิ้ง ถูกมารดาเลี้ยงเมินเฉยกลั่นแกล้ง อายุย่างสิบเจ็ดยังไม่มีแม่สื่อมาทาบทาม อนาคตสาวแก่เทื้อคงหนีไม่พ้น หาทรัพย์สินไว้ประทังชีวิตยามแก่ย่อมจำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน
ความจริงแล้ววิชาการแพทย์ของนางนั้นนับว่าเหนือชั้นกว่าหมอเทวดาทั่วไป ยามว่างอาจารย์อาจะลงจากเขาแวะเวียนมาหา เอิ่ม...มาหนีบตัวนางติดรักแร้พาไปตรวจคนไข้ด้วย ได้เงินมาก็จ่ายค่าช่วยถือล่วมยา หาสมุนไพร ปรุงโอสถ แต่อาจารย์อามิได้อยู่กับนางตลอด อารมณ์ดีก็แวะมา อารมณ์เสียก็แวะมา อาจารย์อาคือบุรุษไร้อารมณ์ ดังนั้นนานๆ ทีท่านจึงจะลงจากเขาสักครั้ง อีกทั้งใช่ว่านางจะมีโอกาสแอบหนีออกจากจวนมาได้บ่อยๆ หากจะยึดเป็นอาชีพคงได้เพียงฝัน และที่สำคัญคงไม่มีคนไข้คนไหนอยากจะพาตัวมารักษากับเด็ก
หารือกับท่านยายแล้ว อาศัยทรัพย์สินเงินทองที่บิดาเคยมอบให้ตลอดสิบกว่าปีมาตั้งร้านนี้ สอบถามความชอบจากเหล่าเจี่ยเจียในหอคณิกา ฝีมือวาดภาพของนางนั้นล้ำเลิศอยู่แล้ว ยุ่งยากเพียงหาช่างฝีมือดี ซึ่งก็ไม่เกินฝีมือของท่านยาย สามเดือนหลังจากตัดสินใจลงมือ สุดท้ายร้านเครื่องประดับของนางก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา นางเพียงร่างแบบเครื่องประดับต่างๆ ออกมา ส่งให้หลงจู๊ช่วยดูแลกิจการ
กิจการของนางดีวันดีคืน เปิดเพียงครึ่งปีก็ได้ทุนค่าตั้งร้านคืนอย่างรวดเร็ว ปีนี้นางเองก็มีแผนจะขยายสาขาไปต่างเมือง คาดว่าคงทำกำไรได้อีกไม่น้อย สินเดิมของมารดาก็อาศัยขนมาไว้ในร้านชั่วคราว หาไม่แล้ว คาดว่าคงไม่พ้นมือแม่สามเป็นแน่ คิดแล้วก็น่าขำ แม่สามและคุณหนูสามของจวนแม่ทัพก็เป็นหนึ่งในลูกค้าชั้นดีของนาง ทำกำไรเข้ากระเป๋านางไม่น้อย
ทุกสิบวันนางจะต้องออกมาตรวจดูบัญชีของร้าน สอบถามความคืบหน้าของเครื่องประดับชุดใหม่ รายละเอียดต่างๆ ในร้าน รวมถึงลวดลายใหม่ๆ ว่ามีชุดใดบ้างที่ได้รับความนิยมมากหรือน้อย ปิดท้ายด้วยการตกรางวัลหลงจู๊ที่สามารถเพิ่มยอดขายในสามเดือนที่ผ่านมา เถ้าแก่ตัวปลอมยิ้มรับหน้าบาน ค้อมตัวเคารพคุณชายตรงหน้าด้วยความซื่อสัตย์
งานดีเงินงามเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตายไปอีกกี่ชาติถึงจะหาได้
วุ่นวายปวดหัวตั้งแต่เช้า กว่าจะถึงหอคณิกาฟางซินก็ล่วงเข้ายามบ่าย มี่อิงในนามคุณชายซือซือได้รับการต้อนรับอย่างดีจากสาวงาม พวกนางล้อมหน้าล้อมหลังชวนคุยไปตลอดทาง จวบจนขึ้นชั้นสองสุดปลายทางหน้าประตูบานใหญ่ คุณชายเจ้าสำราญจึงควักสินน้ำใจแจกจ่ายสาวงาม
ฐานะแท้จริงของนางนั้นมีเพียงไม่กี่คนในหอแห่งนี้ที่ได้รู้ ใจคนยากแท้หยั่งถึง หากความลับเรื่องคุณหนูสี่แห่งตระกูลเว่ยแวะเวียนมาหอคณิกาเป็นประจำ คาดว่าบิดาคงต้องเอาถังคลุมหัวยามออกรบเสียแล้ว
“ท่านแม่...คุณชายซือซือขอพบเจ้าค่ะ”
“เชิญคุณชาย พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
เสียงทรงอำนาจดังขึ้นหลังบานประตู ไม่นานเด็กสาวหลายคนก็เปิดประตูออกมา ยอบกายคารวะนางอย่างอ่อนช้อยแล้วก้าวจากไป ทิ้งไว้เพียงหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเชื้อเชิญนาง
ก้าวพ้นประตูเข้าไปจะพบห้องขนาดใหญ่ที่ประดับประดาอย่างสวยงาม ภายในห้องกินบริเวณค่อนข้างกว้าง ด้านหน้าจดประตูเป็นทางเดินยาว ด้านข้างสองฝั่งมีตั่งขนาดใหญ่ที่วางเครื่องดนตรีหลายชนิด สุดปลายทางเดินนั้นมีร่างร่างหนึ่งนั่งพิงหมอนด้วยท่าทางเกียจคร้านทว่าดูทรงอำนาจเย้ายวน
“คิดถึงท่านยายเหลือเกิน” มี่อิงในคราบคุณชายซือซือทิ้งตัวลงบนตั่งข้างกายนายหญิงใหญ่ของหอ ซุกหัวเล็กๆ ลงบนตัก ถูไปถูมาราวกับลูกแมวน้อย
“ฮึ อย่ามาทำปากหวาน หายหน้าหายตาไปหลายวัน นี่หากข้าไม่ส่งจดหมายไป มีรึจะได้พบหน้าเจ้า”
“โธ่ ท่านยายเจ้าคะ ท่านพูดเช่นนี้มี่อิงน้อยใจนะเจ้าคะ” ว่าแล้วนางก็เริ่มบีบน้ำตา
“พอๆ อย่ามาแสดงละครต่อหน้าข้า เก็บกลับไปใช้ในจวนเจ้านู่น” แม้ปากจะบ่น แต่มือขาวที่เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาลูบหัวคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู หัวใจอ่อนละลายยามได้ยินถ้อยคำออดอ้อน สาวน้อยในอ้อมกอดจึงแอบเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยกมือขึ้นถูแก้มเนียนของตนอย่างรักใคร่
ท่านยายไม่เคยใจแข็งกับลูกอ้อนของนางสักที
“ได้ข่าวว่าพ่อของเจ้ากลับมาแล้วรึ”
“หากท่านยายรับราชการเป็นเจ้ากรมข่าว ข้าว่า...โอ๊ย” พูดยังไม่ทันจบ เด็กสาวก็ต้องยกมือขึ้นลูบแขนป้อยๆ แสร้งทำหน้ายับยู่เมื่อถูกท่านยายหยิก
“อย่ามาแสร้งทำเป็นร่าเริง นึกว่ายายไม่รู้รึ มีเรื่องทุกข์ใจอันใด” คนแก่ดุนางเสียงขรึมพลางเชยคางมน
“ท่านยายทราบใช่ไหมเจ้าคะว่าเหตุใดท่านพ่อจะต้องแสร้งทำเช่นนั้นกับข้า” นางหลุบตามองมือของตัวเองที่กำเสื้อท่านยายแน่น มือของนางสั่นน้อยๆ รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่คอ
“อืม ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจ”
“ข้าควรจะเชื่อท่านยายแต่แรก ไม่ควรทำตัวปั้นปึ่งกับท่านพ่อเลย”
“หลานยาย เจ้าเองก็เป็นมนุษย์ พ่อของเจ้าก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ไม่มีใครจะสละรัก โลภ โกรธ หลงได้หรอก เฮ้อ...ตัวเจ้าเองก็อย่าได้คิดมาก” มือที่เริ่มเหี่ยวย่นลูบหลังหลานรักอย่างปลอบประโลม หยดน้ำกลิ้งกลอกในดวงตาหงส์ทำให้หัวใจของคนแก่เจ็บแปลบ ชีวิตนี้นางรักคนเพียงสองคน แต่ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่ง...หนึ่งเดียวที่นางพยายามประคองไว้กลางฝ่ามืออย่างปกป้อง
“พ่อของเจ้าไม่อยากให้ข้าบอกเจ้า เขากลัวว่าหากได้พบเจ้า ได้กอดเจ้า จะตัดใจทิ้งเจ้าไว้ในจวนไม่ลง ได้แต่ฝากฝั่งเจ้าไว้กับข้า และส่งคนคอยคุ้มกันเจ้าทุกย่างก้าวยามออกเรือน จงภูมิใจเถอะ บิดาของเจ้ามั่นใจในตัวเจ้ายิ่งนักว่าต้องเติบโตขึ้นมาเป็นคนฉลาดเฉลียว สามารถเอาตัวรอดจากเรื่องเลวร้ายในจวนได้”
“ข้าเข้าใจในสิ่งที่ท่านพ่อทำแล้ว แต่อย่างน้อยท่านพ่อก็น่าจะพาข้าติดตามไปชายแดนด้วย”
“เจ้าเด็กโง่” มือขาวที่เริ่มเหี่ยวย่นเคาะลงบนศีรษะน้อยๆ อย่างเอ็นดู “ตอนนั้นอายุเจ้าก็ย่างสิบสี่ ไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อน จะปล่อยเจ้าไว้ในค่ายทหารได้อย่างไร เรื่องนี้หากหลุดออกไปภายนอก จะรักษาชื่อเสียงอันดีงามของเจ้าได้เยี่ยงไร” และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือความเป็นความตาย หากวันหนึ่งทัพใหญ่ถูกตีแตกพ่าย ใครเล่าจะรับประกันชีวิตน้อยๆ ของนางได้
“ถูกทิ้งอยู่ท้ายจวน ชื่อเสียงของข้าก็ป่นปี้ไปไม่น้อยเจ้าค่ะ” นางทำปากยื่น
“เจ้าเด็กคนนี้ เถียงข้างๆ คูๆ ไม่โตสักที”
“ก็ข้าอยากอยู่กับท่านพ่อ อยากปรนนิบัติท่านยายไปจนแก่เฒ่า”
“บางเรื่อง...เราเองก็ไม่สามารถเลือกได้ แม้แต่ฮ่องเต้เอง บางครายังมิสามารถตามใจตัวเองได้”
“เฮอะ แต่พระองค์ก็เลือกที่จะปล่อยตระกูลเว่ยไปได้นี่เจ้าคะ เสียทีที่ข้าเคยชื่อชมในพระอัจฉริยภาพ ที่ไหนได้ ก็แค่คนหนุ่มเลอะเลือน”
“เจ้านี่...ต่อไปอย่าได้กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าผู้ใดอีกเชียวนะ”
“เจ้าค่ะ” นางแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างแง่งอน ขณะเช็ดน้ำตา จมูกแดงเรื่อราวกับกระต่าย คนมองหัวใจอ่อนยวบอย่างสงสาร
“แล้วนี่เจ้าคงหาทางออกเรื่องการคัดตัวเข้าวังหลวงไว้แล้วสิ ถึงได้ไม่เศร้าสร้อย”
“สมองน้อยๆ ของข้าจะคิดสิ่งใดได้ ก็ได้แต่หวังพึ่งท่านยายผู้เฉลียวฉลาดของข้าเท่านั้น”
“อย่ามาทำเป็นปากหวาน ไหน...เล่าแผนของเจ้ามาสิ ข้าจะได้ช่วยคิดอ่าน”