บทที่ 3 ความในใจของท่านแม่ทัพ
ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน สั่งสมอำนาจบารมีจนเป็นจวนแม่ทัพอันดับหนึ่ง คุมกำลังทหารหลายสิบหมื่น กำลังพลเท่านี้ย่อมมีความเป็นไปได้ถึงสิบสองส่วน3 ที่ฮ่องเต้จะหวาดระแวง แต่หวาดระแวงก็ส่วนหวาดระแวง ในเมื่อเว่ยจิ้นเหอมีทั้งฝีมือและทำงานอย่างซื่อตรง คำว่าแม่ทัพไร้พ่ายนั้นย่อมมีความหมายตรงตัว ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู ความสามารถเป็นที่หนึ่ง ความดีไม่เป็นสอง ฮ่องเต้ย่อมไม่สามารถลดทอนกำลังของตระกูลเว่ยลงไปได้ ลดไม่ได้แต่กลับมิสามารถทำให้พระองค์คลายใจ หากอยากให้พระองค์มั่นใจ คงจะมีแต่ส่งบุตรสาวเข้าวัง และต้องลาออกจากราชการเท่านั้น จึงจะรักษาความรุ่งเรืองของตระกูลไว้ได้
ตระกูลเว่ยสายหลักนั้นเหลือแต่บิดาของนาง เดิมทีบิดาคงตั้งใจจะส่งลี่หลินเข้าวัง วางแผนว่าหลังเสร็จศึกนี้คงจะลาออกจากราชการ ส่งตราแม่ทัพคืนให้ฮ่องเต้เพื่อแสดงความภักดี ทั้งยังสามารถรักษาชีวิตและค้ำจุนคุณชายใหญ่ บุตรชายคนเดียวของจวนไว้ได้
ส่วนตระกูลเว่ยสายรองนั้น ท่านอาทั้งหลายมีแต่บุตรชายไม่มีบุตรสาว อีกทั้งรับราชการในตำแหน่งบุ๋น ส่วนคนที่เป็นขุนนางฝ่ายบู๊นั้นยังเยาว์วัย รั้งเพียงตำแหน่งนายกองหรือองครักษ์ขั้นต่ำ ย่อมไม่สามารถเป็นหนามตำพระหัตถ์ฮ่องเต้ได้
ไม่คิดว่าแผนที่บิดาวางไว้จะพังครืนเพราะบุตรสาวที่หมายมั่นทำเรื่องงามหน้า สตรีที่ไม่บริสุทธิ์แล้วจะส่งตัวเข้าวังได้อย่างไร ครั้นมองหาทั่วเรือนแล้วก็เหลือแต่นาง บุตรสาวที่เคยปล่อยปละละเลย เมื่อหยกมีตำหนิเสียแล้วก็จำต้องเลือกหินไร้ค่า แม้จะเทียบกันไม่ได้ แต่จะมากจะน้อย...นางก็ยังไม่แปดเปื้อน
“ข้าจะออกไปไหว้ท่านแม่” มี่อิงเอ่ยขึ้นหลังมื้ออาหารค่ำที่เพียงใช้ตะเกียบเขี่ยผัดผัก ซดน้ำแกงไปสองคำอย่างฝืดคอ
“แต่ตอนนี้ก็ย่ำค่ำแล้วนะเจ้าคะคุณหนู ไปพรุ่งนี้จะดีกว่า ไปไหว้ฮูหยินแล้วค่อยไปเยี่ยมท่านยาย” ป้าหยูเอ่ยด้วยความเป็นห่วง เห็นคุณหนูเอาแต่นั่งเหม่อลอย อาหารเย็นก็คีบกินสองสามคำ นางกลัวใจเหลือเกินว่าเด็กสาวจะล้มป่วย
“ไม่เป็นไร ข้าออกไปประเดี๋ยวเดียว เจ้าอย่าลืมสิว่าข้ามีวรยุทธ์” มี่อิงยิ้มบางๆ ให้คนแก่ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย เวลานี้แม้แต่วิชาการแสดงก้นหม้อของนางก็มิอาจงัดมาใช้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มแห้งๆ ส่งให้อีกฝ่าย
“เช่นนั้นก็ให้หนิงเจียวตามไปด้วยนะเจ้าคะ”
มี่อิงเพียงส่ายหน้า “อย่าเลย ข้าไปคนเดียวไวกว่า หนิงเจียว เจ้าออกไปเตรียมม้าไว้ที่ประตูหลัง ป้าหยูมาช่วยข้าเปลี่ยนชุดดีกว่า” สั่งจบนางก็เดินนำเข้าห้อง บ่าวทั้งสองจึงต้องรีบปฏิบัติตาม
สุสานของสกุลตั้งอยู่ไม่ไกลมาก หากขี่ม้าออกไปราวครึ่งชั่วยาม4 ก็ถึง เรือนประดับดาราของนางอยู่ท้ายจวน มีประตูเล็กด้านหลัง บิดาเป็นคนสร้างไว้ให้ มีบ่าวชายจากเรือนของนางคอยดูแลเพื่อสะดวกแก่บ่าวไพร่ไปหาซื้อข้าวของและยาสมุนไพรให้มารดา ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้าง ประตูนี้แท้จริงแล้วไว้ใช้สำหรับให้นางหลบออกไปหาท่านยายได้โดยไม่ต้องผ่านประตูหน้าจวน
สุสานตระกูลเว่ยตั้งอยู่ด้านเหนือสุดของเมืองหลวง มีขนาดใหญ่กินบริเวณเนินเขาทั้งลูก ครอบคลุมพื้นที่หลายฉิ่ง5 บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคน หลุมศพของมารดานั้นตั้งอยู่ด้านหน้าสระบัว ด้านข้างมีเก๋งสีขาวสะอาดที่บิดาบรรจงสร้างไว้ รอบๆ ประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ แม้ว่าจะมีเพียงแสงจันทร์และแสงดาว แต่มี่อิงยังคงมองเห็นความสวยงามสะอาดเรียบร้อยของบริเวณนั้น ชัดเจนว่ามีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี
ขาเรียวสวยชะงักค้างเมื่อสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ไกลๆ วิชาตีนเท้าเบาของนางนั้นเป็นหนึ่ง ใช้คล่องแคล่วตั้งแต่ยามแอบหนีเรียน ดังนั้นแม้อีกฝ่ายเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ หากไม่ระแวดระวังตัวอย่างดี ย่อมไม่มีทางจับสังเกตได้
ผู้ใดกันที่มาเคารพหลุมศพท่านแม่
เพียงก้าวเข้าไปใกล้อีกนิด ทั่วทั้งร่างของนางถึงกับหยุดชะงัก หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะกระดอนออกจากอก ไหล่กว้าง แผ่นหลังองอาจที่นางคุ้นเคย บัดนี้กำลังงองุ้ม คุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณ
“เซียงเอ๋อร์...เจ้าอยู่บนสวรรค์ คิดถึงข้าบ้างหรือไม่” น้ำเสียงทุ้มของบิดาติดจะแหบพร่า แต่แฝงไว้ด้วยความคะนึงหาอย่างชัดเจน
“ศึกครานี้ติดพันเนิ่นนานมาถึงสามปี ในที่สุดข้าก็สามารถกำชัยชนะ รวมแคว้นต้าเซี่ยเข้ากับแคว้นเยว่ของเราได้ แต่จะมีประโยชน์อันใด หากข้าต้องสูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไป” แม่ทัพใหญ่เอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นป้ายวิญญาณตรงหน้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นเจือความห่วงหา รักใคร่ ทะนุถนอม
“เพื่อบ้านเมืองข้ายอมคว้านหัวใจตัวเอง ทิ้งขว้างอิงเอ๋อร์ไว้เบื้องหลัง ยอมทนให้ลูกรักเกลียดข้า แต่ข้าจะทำสิ่งใดได้ หากอิงเอ๋อร์โดดเด่น หากฮูหยินทั้งหลายไม่คลายใจในตัวลูกของเรา มีหรืออิงเอ๋อร์จะได้อยู่อย่างสงบสุข ข้าไม่สามารถอยู่ปกป้องนางได้ ข้าช่างเป็นพ่อที่สมควรถูกเกลียดชัง บุตรสาวของตัวเองแท้ๆ กลับต้องฝากฝังให้ผู้อื่นดูแล ท่านเลี่ยงเฟิงดูแลอิงเอ๋อร์ได้ดีนัก รักนางดั่งหลานสาวแท้ๆ เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก อิงเอ๋อร์ของเราเติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม นางกลายเป็นหญิงงามที่เก่งกาจและเข้มแข็ง ข้าภูมิใจในตัวบุตรสาวคนนี้เหลือเกิน”
ถ้อยคำย้ำชัดนั้นราวกับจะฝังตรึงอยู่ในจิตใจของเด็กสาว แต่ละคำที่เอ่ยออกมาคล้ายกรีดหัวใจของนางเพื่อสลักไปชั่วนิจนิรันดร์ ตอนนี้นางเข้าใจทุกสิ่งแล้ว ที่ทิ้งขว้างไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะรักมากต่างหากจึงต้องยอมสละ บิดาวางนางไว้กลางฝ่ามือ คอยอุ้มประคองอยู่ห่างๆ
“ครานี้ข้าผิดต่อเจ้าและลูกแล้ว ข้าทำเพื่อบ้านเมืองถึงเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ยอมละเว้นตระกูลเว่ย เป็นความผิดของข้าแต่ผู้เดียว หากข้าส่งคนคอยตามดูแลลี่หลินเหมือนอิงเอ๋อร์ เรื่องบัดสีเช่นนั้นคงไม่เกิด ไหนเลยจะปล่อยให้คราวเคราะห์ต้องมาตกแก่ลูกของเรา อิงเอ๋อร์นั้นรักสันโดษ ไม่ปรารถนาจะแก่งแย่ง นิสัยของนางไม่เหมาะกับสถานที่เช่นวังหลัง สถานที่เปลี่ยนคนเป็นผีเช่นนั้น ข้า...ข้ากลัวใจเหลือเกิน”
มี่อิงยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาปิดปากกลั้นสะอื้น บิดาเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เหตุใดนางจึงได้เฝ้าแต่คอยน้อยเนื้อต่ำใจ เหตุใดนางจึงยอมแพ้ง่ายดายเช่นนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ไม่ว่าบิดาจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร นางก็จะคอยอยู่เคียงข้าง คอยปรนนิบัติท่านไม่ยอมห่าง
“ลี่หลิน แม้จะมีนิสัยทะเยอทะยาน บุตรสาวเช่นนี้ ส่งนางเข้าสู่วังหลังนั้นนับว่าเสี่ยง แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นการฝืนใจนาง เมื่อข้าลาออกจากราชการแล้ว แม้นางจะพลั้งเผลออย่างไร คุณความดีของตระกูลเว่ยก็ยังคอยช่วยค้ำจุนไว้ได้บ้าง แต่อิงเอ๋อร์น้อยที่รักอิสระ ข้ากลัวใจเหลือเกิน กลัวว่านางจะเกลียดพ่อคนนี้จนไม่อยากเห็นหน้า”
บุตรสาวตัวน้อยที่เขาพูดถึงได้แต่ยืนสะอื้นไห้ แม้อยากเข้าไปปลุกปลอบบิดาเท่าไรนางก็ต้องฝืนใจรั้งไว้ ท่านคงจะอยากพูดอยากระบาย นางเพียงสูดลมหายใจลึก ยอมหันหลังกลับ ปล่อยให้บิดาได้ใช้เวลาอยู่กับมารดาเพียงลำพัง
สายลมพัดหวีดหวิวขณะที่ฮ้อม้าตะบึงออกไปอย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะใช้สายลมช่วยปลอบประโลมแผลใจ ยามออกนอกจวน มี่อิงมักจะแต่งตัวด้วยชุดบุรุษ มวยผมเกล้าสูง บนหัวสวมหมวกสานใบใหญ่มีผ้าโปร่งสำหรับปิดบังใบหน้า ควบม้าตรงไปยังเส้นทางลัดตัดป่าละเมาะ ตั้งใจว่าจะต้องถึงจวนก่อนจะเลยยามไฮ่6 เพราะเกรงว่าป้าหยูจะห่วงกังวลมากเกินไป
ควบม้าจะผ่านหัวโค้ง เสียงต่อสู้ก็ดังแว่วเข้าสู่โสตประสาท ไม่ทันไรเบื้องหน้าก็ปรากฏกลุ่มคนกำลังต่อสู้กัน นางคิดจะชักม้ากลับก็พลันเหลือบไปเห็นชายชุดดำประมาณสิบคน ฝีมือร้ายกาจกำลังรุมล้อมคนสองคน มี่อิงขมวดคิ้วย่นขณะชั่งใจ พวกคนชุดดำมองจากฝีมือและไอสังหารก็พอรับรู้ได้ว่าเป็นนักฆ่าเดนตาย คนพวกนี้วรยุทธ์ล้ำเลิศ ทั้งค่าตัวยังสูงลิ่ว คาดว่าคนที่ถูกหมายหัวต้องเป็นคนสำคัญเป็นแน่ ระหว่างที่กำลังตัดสินใจ พวกมันคนหนึ่งก็หันมาเจอนาง มันผู้นั้นรีบโผทะยานตัวมาทางนางทันที
‘คิดจะฆ่าคนปิดปากเรอะ...เฮอะ’
เด็กสาวดึงบังเหียนม้าหลบในวินาทีที่มันพุ่งตัวเข้าหา ชักกระบี่ที่คาดเอวออกมาต้านแรงดาบที่หนักหน่วง คนทั่วไปหากต้องรับแรงดาบที่ฟาดลงรุนแรงเช่นนี้ ไม่เข่าทรุด ก็ยากจะฝืนทนยืนได้ แต่นางคือบุตรีของแม่ทัพไร้พ่าย ยามเล็กมารดาดีดพิณ นางร่ายรำกระบี่ ฝึกวรยุทธ์ร่วมกับบิดา ผู้ที่ผ่านการประมือกับแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเยว่มานับครั้งไม่ถ้วนเช่นนาง ไอสังหารแค่นี้นับว่ายังห่างไกลจากบิดาของนางราวฟ้ากับเหว แม้นางจะยังเด็ก ทว่ายามบิดาพร่ำสอนวรยุทธ์ก็มิได้อ่อนข้อผ่อนปรนให้ ทหารในกองทัพต้องฝึกฝนเช่นไร นาง เป่าเอ๋อร์ และเชียนสุย ล้วนต้องฝึกตาม ถึงแม้หลายปีมานี้นางจะมิมีโอกาสได้ต่อสู้กับบิดา แต่ยามว่างเว้นนางก็มิเคยเกียจคร้านการฝึกฝน
‘ได้! ในเมื่อเจ้ายุ่งกับข้า ข้าก็จะชิงคนของเจ้า’