บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 คำขอร้องของคนเป็นพ่อ

“บ่าวว่าคุณหนูรีบไปพบนายท่านเถอะเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นคุณหนูยังคงเฉื่อยชา แม่นมหยูจึงต้องเอ่ยเร่ง

“อืม ข้ารู้แล้ว” เด็กสาวโบกมือ ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น “ไปก็เท่านั้น ยามนี้ท่านพ่อคงไม่ว่าง”

นางชินชากับความห่างเหินของบิดาเสียแล้ว ถึงแม้ไม่ไป บิดาก็คงไม่ถามหา บางทีอาจจะลืมเลือนนางและเรือนประดับดาราเสียแล้วก็เป็นได้

ชินชาก็ส่วนชินชา แต่ความเจ็บปวดนั้นยังมี ไม่ว่าจะชินชาเท่าใด ความเจ็บปวดกลับมิได้ลดลง

เดิมทีนางเป็นบุตรีที่บิดาโปรดปรานที่สุด เพราะบิดารักมารดามากกว่าฮูหยินคนอื่นๆ ตลอดชีวิตของมารดา นางไม่เคยเห็นบิดาย่างเท้าเข้าเรือนอื่นเลย ตอนเล็กๆ ที่นางยังอาศัยอยู่ในจวน บิดาจะมานอนค้างที่เรือนประดับดาราทุกคืน หากไม่ติดราชการที่ชายแดน

ในอดีตบิดาของนางสนใจแต่การศึกสงคราม ได้รับตำแหน่งแม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อย กว่าครึ่งชีวิตใช้เวลาอยู่ในสนามรบ ท่านย่าต้องรบเร้าอยู่นานให้ออกเรือน แต่ท่านเองยังมิเจอสตรีใดต้องใจให้ผูกสมัครรักใคร่ สุดท้ายท่านย่ายื่นคำขาด เป็นบุตรชายเช่นไรก็ต้องมีบุตรไว้สืบสกุล จึงยอมให้ท่านย่าแต่งฮูหยินใหญ่เข้ามา แต่งกันมาได้เกือบสามปีก็ไม่มีวี่แววว่านางจะคลอดทายาทให้ตระกูลเว่ย ท่านย่าทั้งร้อนใจทั้งจนใจเพราะบิดาก็ยังเอาแต่ออกไปชายแดน สุดท้ายจึงแต่งอนุเข้าบ้านมาอีกสอง ฮูหยินรองคลอดคุณหนูใหญ่ ส่วนฮูหยินสามคลอดพี่รองกับพี่สาม เพราะแต่ละคนคลอดบุตรี ยามบิดาแต่งมารดาของนางเข้ามาท่านย่าจึงไม่เอ่ยห้าม แม้จะมีฐานะเพียงบุตรีของคหบดีเท่านั้น

ยามมารดาตั้งท้องนางได้ไม่กี่เดือน ฮูหยินใหญ่ที่รอคอยมาหลายปี ในที่สุดก็ตั้งท้องเสียที หลังจากฮูหยินใหญ่คลอดเหวินเป่าบุตรชายคนโต ท่านย่าดีใจมาก จัดงานฉลองไปสามวันเจ็ดวัน สมใจท่านย่าเช่นนี้ บิดาจึงมีข้ออ้าง จากนั้นมาก็มิได้ย่างกรายเข้าเรือนใดอีกเลย ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาของนางเท่านั้น

ต่อมามารดาป่วยด้วยโรคประหลาด ไม่ว่าเรียกหมอใดมาตรวจก็พากันส่ายหน้า เมื่อได้ข่าวว่าที่ใดมีหมอเทวดา บิดาก็จะพานางกับมารดาตระเวนไปที่นั่นด้วย นางต้องระหกระเหินเดินทางตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบปี จนมารดาเกรงว่าเติบโตขึ้นมาบุตรสาวจะร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายเช่นตนเอง จึงได้ขอให้สามีผู้เป็นแม่ทัพพร่ำสอนวรยุทธ์ให้บุตรสาวตั้งแต่เด็ก ขณะที่คุณหนูบ้านอื่นเริ่มพูดได้เดินได้ก็เริ่มหยิบจับเข็มหัดปักผ้า แต่นางกลับเริ่มจับกระบี่ฝึกขี่ม้าตั้งแต่เด็ก เมื่อบิดาต้องย้ายไปประจำอยู่ค่ายที่ชายแดน และบังเอิญมีวาสนาได้พานพบกับหมอเทวดาผู้หนึ่ง นางและมารดาจึงได้ย้ายไปอาศัยในค่ายที่ชายแดนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ยามบิดาจากเมืองหลวงมิได้พาแต่นางและมารดาไป แต่ได้พาบุตรชายไปอาศัยอยู่ในกองทัพท่ามกลางการขัดค้านของฮูหยินใหญ่ เพราะบิดาต้องการจะฝึกให้เขาเป็นทหาร แม้ว่าตอนเด็กฮูหยินใหญ่จะพยายามสั่งสอนให้เป่าเอ๋อร์เกลียดพี่น้องต่างมารดา แต่เมื่อเป็นเด็กแค่สองคน ถ้าไม่นับรวมเชียนสุยซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่มารดาช่วยชีวิตไว้ และพากลับมาเลี้ยงดูที่ค่าย นางกับเป่าเอ๋อร์อย่างไรก็ต้องเล่นด้วยกัน สุดท้ายก็กลายเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว

นางได้กราบไหว้ท่านหมอเทวดาเป็นอาจารย์ตั้งแต่เด็ก เดิมทีนางเรียกท่านหมอเทวดาว่าท่านอามาโดยตลอด ยามกราบขอเป็นศิษย์จึงเรียกท่านว่าอาจารย์อา เรียนรู้วิชาการแพทย์ควบคู่กับวรยุทธ์ที่บิดาพร่ำสอน และสืบสานเสียงพิณจากมารดา น่าเสียดายที่มารดาถูกโรคร้ายคุกคามมาเป็นเวลานาน ดังนั้นแม้จะมีหมอเทวดาอยู่ข้างกาย ก็ทำได้เพียงยื้อเวลา ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สุดท้ายมารดาก็อยู่ไม่ทันชื่นชมยามนางปักปิ่น

มารดาจากไปท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบิดา นางย้ายกลับมาอยู่ที่จวนอีกครั้ง ยามนั้นบิดาไม่ได้กลับมาที่จวนอีกเลย อีกทั้งมีราชโองการจากฮ่องเต้ให้บิดายกทัพไปตีแคว้นต้าเซี่ย ท่านก็ยิ่งห่างเหินจากนางไปทุกขณะ ราวกับกลายเป็นคนแปลกหน้า สองปีแรกที่มารดาจากไป เด็กโง่อย่างนางพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะทำให้บิดาหันกลับมาสนใจนางดังเดิม ตั้งใจเรียนทั้งหมาก พิณ วาดภาพ แต่งกลอน ล้วนมีฝีมือเลิศล้ำ หรือแม้แต่ตำราพิชัยสงคราม มีเล่มใดบ้างไม่เคยผ่านตา ยามนั้นนางคิดว่าตัวเองฉลาดจึงได้แต่ทำตัวโง่ๆ เก่งกาจโดดเด่น แล้วเป็นอย่างไรเล่า นางที่ขาดหลักยึดอย่างมารดา ยิ่งโดดเด่นพี่น้องทุกคนยิ่งพากันอิจฉา หากเพียงอิจฉามิได้กลั่นแกล้งยังพอทำเนา กลั่นแกล้งแล้วบิดายังเข้าข้างอีกฝ่ายนางก็ยังพอทน แต่ไม่ทราบว่าเหตุใด ทนไปทนมากลับกลายเป็นความว่างเปล่า แววตาคู่นั้นมิได้เหลือบมามองนางอีกแล้ว ไม่มีที่เหลือให้แม้แต่เงาของบุตรสาวคนเล็ก สุดท้ายจึงทำใจยอมปล่อยวางลงได้

นางร้องห่มร้องไห้กับตักท่านยายเป็นครึ่งค่อนวัน ปากพร่ำร้องแต่ว่าไม่เอาแล้ว ฉลาดเฉลียวแล้วอย่างไร สุดท้ายบิดาก็ไม่รักนางอยู่ดี พี่น้องก็ยังคงกลั่นแกล้งนางอยู่ดี ท่านยายเพียงถามว่า แล้วหากเจ้าโง่งมเล่า ดังมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในความคิด ฉลาดเฉลียวย่อมมิใช่ทางออก โง่งมต่างหากที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้น ปีนั้นจึงแสร้งให้บ่าวไพร่ไปแจ้งเรือนใหญ่ว่านางลื่นล้มหัวฟาดพื้น ฮูหยินใหญ่ทำเพียงเชิญหมอคนหนึ่งมาตรวจ นั่งดูนอนดูอยู่ครึ่งค่อนวันนางยังหาความเป็นหมอในตัวคนผู้นั้นไม่พบสักเศษเสี้ยว สิ่งเดียวที่นางหาได้จากเขาคือโอกาส นางจึงสวมรอยแสร้งล้มป่วยอยู่หลายเดือน หลายเดือนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของญาติมิตรและหมอเถื่อน นอนป่วยจนคร้านจะนอนแล้วจึงลุกขึ้นมาทำตัวเฉื่อยแฉะโง่งม เดิมทีก็มิใคร่มีผู้ใดสนใจ ยิ่งบิดาที่อยู่ไกลถึงชายแดนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องใช้ความพยายามเพียงน้อยนางก็จืดจางเงียบหาย ถูกลืมเลือนอย่างหมดจดเกลี้ยงเกลาไปจากจวน

หนึ่งปีบิดาจะกลับจวนสักครั้งเดียว แต่ละครั้งก็ไม่เคยอยากพบนาง เช่นนั้นอย่าถามถึงการเรียกตัวเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเหมือนพี่น้องคนอื่นเลย ปีก่อนหน้านู้นบิดากลับมาร่วมงานแต่งคุณหนูใหญ่ นางถูกฮูหยินรองสั่งกักบริเวณอยู่แต่ในเรือน แม้แต่ชายกระโปรงยังมิได้เฉียดเข้าไปใกล้งาน บิดาก็มิได้ถามถึง ส่วนปีที่แล้วเป็นงานแต่งของคุณหนูรอง นางถูกฮูหยินสามกักบริเวณเช่นเคย บิดาก็ยังไม่ถามไถ่ ปีนี้ถึงคราวแต่งคุณหนูสาม ท่านพ่อก็คงลืมเลือนไปแล้วว่ามีบุตรสาวอีกคน

มี่อิงเดินเลียบไปทางเรือนใหญ่ บ่าวไพร่ที่เดินผ่านไปมายามเห็นนางเป็นต้องหยุดชะงัก จ้องอย่างตกตะลึงพรึงเพริด จ้องจนอ้าปากค้างเป็นครึ่งวันกว่าจะได้สติ เมื่อได้สติก็จะหลบสายตา หลีกตัวออกห่างราวกับนางเป็นตัวเชื้อโรค นางชาชินเกินกว่าจะหยุดฝีเท้าสนใจ เพียงเดินต่อไปเรื่อยๆ คล้ายกำลังเดินชมสวนดอกไม้อย่างรื่นรมย์

เมื่อเข้าใกล้ตัวเรือนก็แลเห็นบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่หมอบคลานกันอยู่ด้านหน้า คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้น มุมปากยกยิ้มยามเห็นบ่าวคนสนิทของฮูหยินทั้งสามรวมกลุ่มกัน มิใช่ว่าบิดาก็นิยมเที่ยวหอคณิกาด้วยหรือ ถึงได้ทราบข่าวเรื่องคุณหนูสามไวเพียงนี้

แลดูว่าพายุใหญ่กำลังตั้งเค้า ทางที่ดีควรหนีเอาตัวรอดก่อน คิดได้ดังนั้นนางก็ตั้งใจจะหมุนตัวกลับ ไม่คาดว่าจะได้ยินเสียงตะโกนของบิดาดังลอดออกมา

“นังลูกไม่รักดี ทำงามหน้าแล้วยังไม่สำนึก”

เสียงบิดายามสั่งการในกองทัพครั้งหนึ่งยังดังไกลไปเป็นลี้ ประโยคที่ตะโกนเมื่อกี้มิใช่เบา ป่านนี้คงได้ยินกันไปทั่วทั้งจวนแล้วกระมัง

แต่เสียงตวาดที่ว่าดังยังไม่เท่าเสียงเผียะที่ได้ยิน นางชักเท้ากลับ กำลังจะเผ่นหนี ก็พอดีกับที่ประตูเรือนเปิดออก ร่างบางของคุณหนูสามถลาพุ่งออกมาดังศรหลุดจากคันธนู บ่าวไพร่ที่เฝ้าอยู่จึงรีบเบี่ยงตัวหลบเพราะกลัวจะโดนลูกหลง

ลี่หลินพุ่งตัวออกมาชนเข้ากับคนที่กำลังจะลี้ภัยพอดี

“โอ๊ย” คุณหนูสามเงยหน้าเปื้อนน้ำตามองหาต้นเหตุด้วยดวงตาวาวโรจน์

“เจ้า...เจ้า เฮอะ คงสมใจเจ้าแล้วสิ อย่าคิดนะว่าโชคนั้นจะเป็นของเจ้า ข้าจะไม่มีวันยอมให้มันตกเป็นของเจ้า” เด็กสาวซึ่งมือหนึ่งกุมใบหน้าที่เริ่มแดงเรื่อเพราะรอยฝ่ามือ อีกมือชี้หน้าน้องสาวร่วมบิดา

“ข้า...ข้า” เห็นสภาพอเนจอนาถของอีกฝ่าย มี่อิงแทบจะลืมสิ้นเรื่องการแสดงละคร ยั้งปากไว้ได้ทัน ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมา “ข้าไม่เข้าใจที่พี่สามพูด”

“โง่อย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร คนโง่อย่างเจ้าอย่าคิดว่าจะมาแทนที่ข้า” นางชี้หน้าน้องสาวด้วยมือที่สั่นเทา ตัวสั่นเร่าๆ หันไปตวาดบ่าวไพร่

“ใครใช้ให้พวกเจ้ามาแอบฟังอยู่แถวนี้ ออกไปนะ ออกไปให้หมด ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ข้าจะสั่งโบยมันผู้นั้นให้ตาย” ได้ฟังคำนั้นบ่าวไพร่ทั้งหลายรีบหดหัวหุบหาง พากันแยกย้ายกระซ่านกระเซ็น

เห็นทุกคนหนีเอาตัวรอด นางเองจะรั้งอยู่ไย

“มี่อิง เจ้าเข้ามาคุยกับพ่อก่อน ส่วนพวกเจ้าออกไปให้หมด” เสียงประกาศิตของบิดาดังออกมาจากในห้อง ทำให้ร่างบางถึงกับหยุดชะงัก เสียงทุ้มทรงพลังที่เรียกชื่อนางเช่นนี้ ไม่ได้ยินมานานหลายปีเต็มที นานจนแทบจะจำไม่ได้ว่าได้ยินครั้งสุดท้ายเมื่อใด แต่ในใจกลับมิเคยลืมเลือน

“แต่ท่านพี่เจ้าคะ...” ฮูหยินรองกำลังจะเอ่ยท้วง

“ไม่ต้องพูด หากพวกเจ้ายังเห็นแก่ตระกูลเว่ยก็ควรจะหุบปากเก็บคำ”

“แต่...”

“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมด มี่อิงเข้ามา” บิดาเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า มี่อิงจึงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าเรือน ขณะที่ฮูหยินสามเดินสวนออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด มองนางด้วยแววตาคั่งแค้น

เว่ยจิ้นเหอคือแม่ทัพไร้พ่ายแห่งแคว้นเยว่ ปีนี้เขามีอายุย่างห้าสิบปี ร่องรอยแห่งวัยกลับมิอาจลดทอนความน่าเกรงขามของเขาลงได้ มีแต่จะช่วยส่งเสริมให้ดูสง่า ทั้งองอาจและห้าวหาญ จอนผมสีขาวแซมดำยิ่งขับให้ใบหน้าคมดูน่ายำเกรง ทั่วทั้งร่างแผ่ไอสังหารจางๆ หากมิเพ่งมองก็แทบจะไม่สังเกตเห็นถึงความอ่อนล้าในดวงตาคู่นั้น

“มี่อิงคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางย่อกายลงพลางก้มหน้างุด บิดาที่นางโหยหามาตลอดหลายปี ในที่สุดก็มายืนอยู่ตรงนี้ เบื้องหน้าของนางนี่เอง

“เงยหน้าให้พ่อดูซิ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ยามนางค่อยๆ เงยหน้า ทั่วสรรพางค์กายพลันสั่นสะท้าน น้ำใสๆ เอ่อท้นท่วมขอบตา มือเล็กรีบยกขึ้นเช็ดอย่างลวกๆ กลัวเหลือเกินว่าสิ่งนั้นจะทำให้นางเห็นบิดาได้ไม่ชัดเจน

เมื่อเห็นบุตรสาวค่อยๆ เงยหน้า แม่ทัพที่จ้องมองอยู่ถึงกับเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว หลายปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าบุตรสาว เป็นดังคาด ยิ่งนางเติบใหญ่ก็ยิ่งงดงามเหมือนมารดา

“เจ้า...ปีนี้อายุย่างสิบเจ็ด สมควรแก่เวลาที่ต้องออกเรือนแล้วสินะ”

“เจ้าค่ะ” นางรับคำอย่างหวาดหวั่น เป็นความหวาดกลัวที่มาจากจิตใจที่แท้จริง มิใช่การเสแสร้ง หากไม่มีเรื่องนี้ เช่นไรชาตินี้บิดาคงไม่มีทางเรียกหานาง

‘ขออย่าให้เป็น...เช่นที่ข้าคิดไว้เลย’

“เจ้าถูกใจหรือชอบพอกับผู้ใดบ้าง”

“ไม่มีเจ้าค่ะ” เด็กสาวกัดริมฝีปาก เผลอตอบสิ่งที่ไม่ควร เพราะมึนงงสับสนจนไม่ทันได้คิด

“เฮ้อ” คนเป็นพ่อถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “เช่นนั้นก็ดี ในเดือนหน้าจะมีการคัดเลือกสาวงาม”

“ท่านพ่อ” มี่อิงตกใจจนเผลอตัว ลืมสิ้นที่จะสำรวจกิริยา “ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเข้าไปในนั้น แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนของตระกูลเว่ย”

“ลูก...ลูกเกรงว่า...”

“สกุลเว่ยเหลือแต่เจ้าแล้ว ถือว่าพ่อขอร้อง” เสียงคุกเข่าดังตึงฉุดรั้งสติของนางอีกครั้ง

มี่อิงตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบผวาเข้าไปประคองบิดา “ท่านพ่อ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย ข้าขอร้อง”

นางพยายามจะฉุดรั้งร่างสูงใหญ่ของคนเป็นพ่อขึ้น แต่ทำเช่นไรก็เหมือนเอากำลังไปงัดภูผา ท่านไม่ยอมขยับกาย ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า

“ข้ายอมแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะเข้าไป ข้าจะเข้าไปในนั้น” นางร้องตะโกนออกมาทั้งน้ำตา รู้สึกสับสนปนเปอัดอั้น นางผู้ซึ่งบิดาไม่เคยเหลียวแล นางผู้ซึ่งไม่ควรจะต้องเป็นตัวแทนสกุลเว่ย หน้าที่อันทรงเกียรตินี้ที่พี่สาวของนางต่างพากันแย่งชิง

ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หัวสมองของนางหนืดข้นดังข้าวต้มเหลว ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดบิดาถึงได้คุกเข่าขอร้องนาง บุตรสาวที่เขาไม่รัก เพียงแค่ท่านออกคำสั่ง บุตรสาวเช่นนางหรือจะกล้าขัด

“ลูกจะไป ท่านพ่อ ลูกจะไป” เด็กสาวร่ำไห้โผเข้ากอดบิดา แม่ทัพที่นางเคยคิดว่าห้าวหาญ เหตุใดวันนี้จึงดูอ่อนแอและแก่ชราลงไปถึงเพียงนี้

อ้อมกอดนี้นางแทบจะจำไม่ได้แล้ว จำได้รางๆ ว่ามันแข็งแกร่งและอบอุ่น มือใหญ่หยาบกร้านนั้นลูบหัวนางคล้ายจะประกาศกร้าวว่าพร้อมปกป้อง มี่อิงร่ำไห้อยู่กับอกบิดาเป็นนาน ร้องไห้จนเสียงแหบแห้งดวงตาบวมเป่ง กว่าจะสะโหลสะเหลเดินกลับเรือน

“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะคุณหนู” ป้าหยูที่ยืนคอยอยู่รีบเดินเข้ามาประคอง

“ข้า...ข้าหาทางออกไม่ทันแล้ว” เสียงของนางแหบแห้งสิ้นหวัง

“หรือจะเกี่ยวกับเรื่องในจดหมายหรือเจ้าคะ” หนิงเจียวเอ่ยถามขณะรินน้ำชาร้อนๆ ส่งให้เจ้านายด้วยความเป็นห่วง

“อืม ข้ากำลังคิดจะไปปรึกษาท่านยายวันพรุ่งนี้ ไม่คาดว่าท่านพ่อจะกลับมาเสียก่อน”

“นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะคุณหนู” บ่าวชราทนไม่ไหวจึงรีบเอ่ยถาม คุณหนูของนางมักเข้มแข็งเสมอ หลังจากงานศพมารดา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคุณหนูร้องไห้หนักหนาถึงเพียงนี้

“วันนี้ท่านพ่อคุกเข่าขอร้องข้า”

“นายท่าน!” บ่าวสองคนตกใจร้องเสียงหลง

“อืม เพราะลี่หลิงเจี่ยเจีย2 ทำเรื่องงามหน้า ดังนั้นจึงเหลือเพียงข้าแค่คนเดียวที่จะต้องเข้าวัง”

“โธ่ คุณหนู”

หากเป็นเด็กสาวบ้านอื่นคงจะดีใจ บ่าวไพร่เองก็พลอยได้หน้า แต่คนในเรือนประดับดารากลับรู้สึกราวกับถูกฟ้าดินลงโทษ สถานที่กลืนกินผู้คนเช่นนั้น มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่อยากจะเข้าไป

“ไม่เข้า...ไม่ได้หรือเจ้าคะ”

เด็กสาวเพียงส่ายหน้าน้อยๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel