บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 คุณหนู่สี่แห่งจวนแม่ทัพ

“มี่อิงคารวะแม่สามเจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายอ่อนช้อยงดงาม กิริยานุ่มนวลอ่อนหวาน ทว่าแฝงด้วยความสง่างาม ยากที่ใครจะเบนสายตาออกห่างได้ หากจะมีสักคน คนผู้นั้นคงหนีไม่พ้นคนตรงหน้า

ผู้สูงวัยปรายตามองเด็กสาวแล้วจึงเบนหนี คล้ายไม่อยากมองให้ระคายตา ไม่มองไม่พอ ใบหน้ายังเชิดขึ้นอีกสองส่วน ลำคอตั้งตรงจนไม่สามารถตรงกว่านี้ได้อีก หากมากกว่านี้อีกนิด คาดว่าคงต้องหักแล้วกระมัง

“แม่นมเสวี่ยนแจ้งข้าว่าเจ้ามิยินยอมมอบกุญแจให้ข้าดูแล นางบอกว่าเจ้าอ้างว่าข้าคิดจะยึดทรัพย์มารดาเจ้าเช่นนั้นรึ”

“หามิได้เจ้าค่ะแม่สาม มี่อิงย่อมมิกล้ากล่าวเช่นนั้น” เด็กสาวเอ่ยด้วยเสียงหวาดกลัว ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ไหล่บางสั่นไหวราวกับกลั้นสะอื้น น่าสงสารราวกับลูกนกหลงฝูง

“เอาเถอะ ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน ที่ข้ามาเอากุญแจก็เพราะเจ้ายังเด็กนัก หากขืนปล่อยให้ดูแลทรัพย์สินเองเช่นนี้ ข้ากลัวว่าคนโง่...เอ่อ คนซื่ออย่างเจ้าจะโดนบ่าวพวกนี้หลอกเอาสมบัติไป ให้ข้าดูแลไว้จะดีกว่า”

“มี่อิงขอบพระคุณแม่สามเจ้าค่ะ ป้าหยู รีบส่งกุญแจให้แม่สามสิ”

“แต่คุณหนูเจ้าคะ...” หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำท่าจะห้ามปราม

“บ่าวคนนี้นี่ยังไง นายพูดกลับไม่ฟัง หรือเจ้าคิดจะยักยอกเงินไว้เสียเอง อย่างนี้คงต้องสั่งสอน”

“เอ่อ...แม่สาม อย่าลงโทษแม่นมเลยนะเจ้าคะ” เด็กสาวผวารีบไปหยิบกุญแจในมือบ่าวส่งให้แม่สามราวกับของร้อน

“ฮึ ข้าจะเห็นแก่เจ้าสักครั้ง” ฮูหยินสามปรายตามองบ่าวแก่ที่ขัดหูขัดตา เชิดหน้าขึ้นอีกนิด แล้วสั่งเสียงเฉียบขาด “นำทาง”

ร่างบางเดินนำทางอี้เหยี้ยน ฮูหยินสามแห่งจวนแม่ทัพเข้าไปในเรือนท้ายจวน แต่ละก้าวแช่มช้าราวกับกำลังเข้าสู่ประตูปรโลก เรือนประดับดาราแห่งนี้เดิมทีเป็นที่พักของฮูหยินสี่ เป็นเรือนขนาดใหญ่ที่ตั้งแยกออกมาอยู่ด้านหลังจวน แม้ห่างไกลทว่ากว้างใหญ่และเงียบสงบ ไม่มีผู้คนเข้ามารบกวน หลังจากเจ้าของเรือนสิ้นแล้ว อี้เหยี้ยนก็พยายามจะขอย้ายมาอยู่เรือนนี้ ไม่ว่าจะขอเท่าไร ยกเหตุผลใดมาอ้าง ท้ายสุดก็ทำได้เพียงยืนมอง แต่ไม่มีสิทธิ์เข้าครอบครอง

เรื่องนี้ว่าเลวร้ายแล้ว แต่สามีกลับทำเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า เขาออกคำสั่งให้คนในเรือนดูแลกันเองภายใต้การปกครองของคุณหนูสี่ผู้อ่อนแอ นางร่ำไห้ประท้วงอยู่สามวัน ขอร้องให้ฮูหยินใหญ่ออกหน้าอยู่ครึ่งเดือน ไม่เพียงไม่ได้ผล ยังถูกสามีทำโทษกักบริเวณอีกสามวัน แต่นางเป็นคนมีความพยายาม โดยเฉพาะเรื่องฉกฉวยผลประโยชน์ของผู้อื่นนั้นเก่งเป็นที่หนึ่ง สบโอกาสสามีออกรบ ปั้นหน้าเศร้าเข้าไปฟ้องแม่สามี ลงทุนลงแรงไปถึงเพียงนี้ ใช้เวลาไปถึงครึ่งปี ท้ายที่สุดก็ยังทำได้เพียงแค่ยืนมอง มิสามารถเข้าครอบครองได้

นั่งคับแค้นใจอยู่หลายเดือน หันซ้ายมองขวาแล้วให้อึดอัดขัดใจ หากกล่าวว่านางเป็นหนึ่งเรื่องฉกฉวยผลประโยชน์ การกลั่นแกล้งลูกเลี้ยงย่อมไม่เป็นสองรองใคร แม้เด็กน้อยแทบจะไม่ยอมย่างเท้าออกจากเรือน นางก็ยังเก่งกล้าล้ำเลิศ สามารถยื่นมือเข้าไปบีบคั้นได้บางครา อย่างเช่นเรื่องในครานี้

“ห้องนี้เจ้าค่ะแม่สาม” เด็กน้อยเอ่ยขึ้น นางเพียงพยักหน้าให้บ่าวของตนเดินไปไขกุญแจ ด้านหน้าเป็นห้องขนาดเล็กที่ค่อนข้างมืด แต่แสงรำไรที่ส่องเข้ามาก็ยังพอให้เห็นว่ามีชั้นหนังสือหลายชั้น และหีบใส่ของหลายหีบวางอยู่

“แม่นม ไปตรวจดูของ” แม้จะแย่งชิงของผู้อื่น แต่อย่างไรก็ต้องวางท่าสงวนกิริยา

“เจ้าค่ะฮูหยิน” นายบ่าวไม่ต่างกัน สตรีสูงวัยร่างท้วมเชิดหน้าเอาอย่างนายเดินเบียดคุณหนูสี่อย่างไม่เกรงใจเข้าไปในห้อง ใช้กุญแจไขหีบสมบัติแต่ละหีบ ไขไปไขมา รอยยิ้มที่เคยประดับริมฝีปากกลับจางลงๆ ใบหน้าซีดเผือดไร้สีสัน

“ฮู...ฮูหยินเจ้าคะ แทบจะไม่มีสมบัติเลยเจ้าค่ะ”

“ว่าอย่างไรนะ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินสามถึงกับรีบก้าวตามเข้าไป ลืมสิ้นท่าทีสง่าผ่าเผยไว้ตัว นางกวาดตามองหีบต่างๆ ด้วยร่างสั่นเทิ้ม

“นี่มันอะไรกันมี่อิง เหตุใดทรัพย์สินมารดาของเจ้าถึงไม่มีเหลือ” เสียงตวาดดังสะท้อนในห้องเล็ก ทั้งเจือด้วยความกรุ่นโกรธและสิ้นหวัง

หมดกัน...สมบัติที่นางเฝ้าฝันมาเนิ่นนาน เช่นนี้จะทำอย่างไรดี

“เอ่อ...คือว่า...คือ...เพราะสองปีมานี้ข้าถูกท่านแม่ใหญ่ และ...เอ่อ...พวกท่านลงโทษตัดเบี้ยหวัดทั้งของข้าและบ่าวไพร่ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร จึงให้แม่นมนำสมบัติไปขายแลกเป็นเงินเจ้าค่ะ”

“เจ้า...เจ้า” ฮูหยินสามรู้สึกเหมือนยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง เจ็บปวดใจจนใบหน้าบิดเบี้ยว สีหน้าซีดเซียวยืนโงนเงนคล้ายจะเป็นลม จนบ่าวไพร่ต้องรีบเข้ามาประคอง

“ถึงจะอย่างนั้น แต่ทรัพย์สินมีตั้งหลายหีบ หรือเป็นเจ้าที่ยักยอกสมบัตินาย” แม่นมเสวี่ยนปรายตามองคนเก่าแก่ของเรือนประดับดารา แล้วเริ่มยุแยงนายของตน

“ไม่ใช่นะ แต่เดิม...เอ่อ...แต่เดิม” เด็กสาวอ้าปากจะเถียง แต่ก็คล้ายนึกอะไรได้ เลยเอาแต่ก้มหน้านิ่ง สองมือกำกระโปรงแน่น

“แต่เดิมอะไรเล่า เป็นบุญกรรมอะไรของตระกูลเว่ย จึงได้มีเด็กโง่เง่าเช่นเจ้า” อี้เหยี้ยนตวาดอย่างรำคาญ

“แต่เดิมมันก็ไม่มีสมบัติอยู่แล้วเจ้าค่ะ เป็นหีบเปล่า ท่านแม่สามก็รู้ว่าท่านแม่ของข้าร่างกายอ่อนแอ หยูกยาที่ใช้ก็ราคาแพง คราใดที่ท่านพ่อออกตรวจกองทัพหลายเดือน พวกเราก็ต้องซื้อหาโอสถเอง สมบัติที่มีจึงต้องนำออกมาขาย ทั้ง...ทั้ง...” เด็กสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “แต่เดิมท่านแม่ก็มิได้ร่ำรวย ของหลายหีบจึงมีแต่จำนวน ไม่มีมูลค่า คราจะนำไปแลกเป็นเงินจึงต้องแลกเกือบทั้งหีบถึงจะพอค่ายา ท่านแม่ก็ป่วยมาหลายปีแล้ว” นางกล่าวไปน้ำตาก็เอ่อท้น ก้มหน้าไหล่สั่นไหว ยิ่งอี้เหยี้ยนเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด ร่ำๆ จะจับเด็กบ้าคนนี้มาตีให้หายแค้น

“พอๆ ข้าขี้เกียจฟัง”

“ฮูหยินเจ้าคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!” จู่ๆ บ่าวอีกคนก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา “นายท่านเจ้าค่ะ นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

“ท่านพี่กลับมาแล้วรึ เหตุใดจึงไวนัก ไม่ใช่ว่าอีกครึ่งเดือนหรอกหรือ” ได้ยินดังนั้นนางก็เริ่มใจคอไม่ดี ได้แต่โอดครวญในใจ สามีของนาง ยามอยากให้มาไม่เคยโผล่หน้า ยามไม่อยากถามหากลับโผล่มา

“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ นายท่านกลับมาคนเดียว ไม่ได้มาพร้อมกองทัพ หน้าตาดูท่าอารมณ์ไม่ดี ตอนนี้กำลังเรียกหาท่านเจ้าค่ะ ท่านรีบไปเถอะ ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองเองก็ออกไปต้อนรับแล้วเจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้ไว้ข้าจะกลับมาสะสาง” อี้เหยี้ยนพูดจบก็สะบัดหน้ารีบเร่งจากไป ทิ้งให้บ่าวกับนายยืนงง มาไวไปไวราวกับพายุหมุน

ชายกระโปรงแม่เลี้ยงเพิ่งพ้นประตูเรือน เสียงหัวเราะเริงร่าคล้ายเมื่อครู่มิได้มีบทโศกเกิดขึ้น

“ฮ่าๆๆ ป้าหยูทันเห็นหน้านางตอนเห็นหีบเปล่านั่นไหม ตกใจจนหน้าซีดเผือด ดวงตาปูดโปน ข้าแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว ปวดท้องจนน้ำตาซึม” เด็กสาวปาดหยดน้ำข้างหางตา ร่างปวดร้าวระบมเพราะข่มกลั้น คาดว่าอวัยวะภายในคงบอบช้ำไปหมดแล้ว

“พวกเขาไปหมดแล้วรึเจ้าคะคุณหนู” บ่าวรุ่นราวคราวเดียวกับนางเดินเข้ามาหาพร้อมยื่นจดหมายให้

“ไปหมดแล้ว เรียกว่าเผ่นแน่บจะถูกกว่า ฮ่าๆ เสียดายเจ้าไม่ได้เห็นหน้าฮูหยินสามที่ตกใจเหมือนเห็นผี”

“นางคงหวังไว้มากน่ะเจ้าค่ะ” บ่าวเก่าแก่กล่าวเสริมพลางกลั้นยิ้ม

“นั่นสินะ ความรู้สึกคงไม่ต่างจากถูกถีบตกเหว เฮ้อ...ข้าคงต้องหาของขวัญชิ้นใหญ่ไปขอบคุณท่านยายเสียแล้ว” นางกล่าวพลางเดินนำไปยังห้องหนังสือ

“เหตุใดบ่าวเห็นว่าการแสดงของคุณหนูนับวันจะยิ่งพัฒนาขึ้นนะเจ้าคะ”

“เจ้าเองก็ไม่ต่าง อยู่ในเรือนนี้เหมือนนั่งอยู่ในโรงงิ้ว ข้าก็ศึกษามาจากท่านแม่ๆ ทั้งหลายนั่นละ”

แม่เลี้ยงทั้งหลายนั้นเชี่ยวชาญชำนาญทั้งโคลง ฉันท์ หมาก พิณ ทุกสิ่งล้วนถ่ายทอดแก่บุตรของตน มิเคยตกมาถึงนาง จะมีก็เพียงการแสดงที่สอนนางได้ดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นแม่ใหญ่ แม่รอง หรือแม่สาม แต่ละคนล้วนมีฝีมือการแสดงชั้นครู ต่อหน้าท่านพ่ออย่างหนึ่ง ท่านย่าเป็นอีกอย่าง แต่เวลาอยู่ต่อหน้านางกลับแสดงสันดานที่แท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วตัวนางจึงต้องเป็นฝ่ายแสดงละครบ้าง

“ต้องขอบคุณท่านเลี่ยงเฟิงนะเจ้าคะ หากไม่ได้คำเตือนเรื่องสกุลหนานของฮูหยินกำลังอับจน ขัดสนเงินทอง แถมติดหนี้สินมากมาย ไหนจะเรื่องที่คุณหนูสามลอบมีสัมพันธ์กับคุณชายเฉิน คุณหนูคงเตรียมการไม่ทัน”

“ท่านยายของข้านั้นความสามารถเป็นเลิศ การหาข่าวนั้นนับว่าเลิศล้ำที่สุด ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แต่งสนม ขุนนางแต่งอนุ ท่านแม่ทัพรับบุตรบุญธรรม เรื่องราวเร้นลับของชาวบ้านยันฮ่องเต้ ทุกสิ่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับตัว ท่านยายของข้าล้วนกระจ่างแจ้งกว่าผู้ใด พรุ่งนี้ข้าจะหาทางออกไปเยี่ยมท่านยายเสียหน่อย อีกอย่าง คงต้องแวะเข้าไปดูกิจการที่ร้านเสียบ้าง” เด็กสาวว่าพลางเอนตัวลงนั่ง เปิดจดหมายออกอ่าน จากนั้นคิ้วเรียวสวยก็เริ่มขมวดมุ่น เคาะนิ้วกับตั่งพลางครุ่นคิด

“มีปัญหาหรือเจ้าคะ” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม

“อืม นั่นสินะ เกรงว่าจะเป็นปัญหาใหญ่” กล่าวจบนางก็ยื่นจดหมายให้อย่างเลื่อนลอย ท่วงท่าทีเล่นทีจริงเมื่อครู่เลือนหาย บ่าวรับใช้รีบรับกลับไป และใช้เทียนไขจุดไฟเผาในกระถาง

มี่อิงจ้องมองเปลวเทียนที่สั่นไหวแล้วทอดถอนใจ

ปีนี้นางอายุสิบหก จะย่างสิบเจ็ดในเดือนหน้า ว่ากันตามจริง หญิงสาวอายุเท่านี้สมควรแก่เวลาออกเรือน สตรีแม้จะหน้าตาธรรมดาดาษดื่นยังมีแม่สื่อมาทาบทาม แล้วนับประสาอะไรกับนางที่มีใบหน้างดงามปานล่มเมือง ประตูเรือนที่ควรถูกคนย่ำจนสึกกลับเงียบเหงาราวกับวัดร้าง แม่สื่อสักคนก็มิเคยโผล่มาให้เห็น

หากว่านางพิกลพิการคงไม่แปลก จะแปลกก็เพราะนางมีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายสมบูรณ์ กำพร้าเพียงมารดา เพิ่มเติมอีกหน่อยคือบิดาไม่เคยเหลียวแล ไม่เหลียวแลยังมิว่า แต่ถึงขนาดลืมเลือนนี่สิคือปัญหา สองสามปีที่ผ่านมา บิดาใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบที่ชายแดนตลอด หันมองมารดาเลี้ยงยิ่งเหนื่อยใจ ขอแค่ไม่รังแกก็นับว่าเป็นบุญแล้ว เพียงแต่นางมิได้มีบุญ สามวันถูกมารดาเลี้ยงหาเรื่อง ห้าวันถูกพี่น้องกลั่นแกล้ง ชีวิตช่างเต็มไปด้วยสีสัน นับว่าสวรรค์ฝึกปรือให้นางรู้จักเอาตัวรอดแต่เด็ก โชคดีอย่างเดียวของนางคือมีท่านยาย

เดิมทีมารดาของนางคือฟางเซียงแห่งหอคณิกาฟางซิน สตรีรูปโฉมงดงามที่สามารถมัวเมาผู้คนให้ลุ่มหลง ท่านเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านยายเก็บมาเลี้ยง เติบโตเป็นหญิงคณิกาที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง มิยอมเปิดเผยใบหน้าแก่ผู้ใด ฝีมือพิณเลิศล้ำจนผู้คนเรียกขานว่า ‘ยอดพิณแห่งแคว้นเยว่’

แต่เพราะรูปโฉมงดงาม ความสามารถล้ำเลิศ ย่อมมีผู้ริษยา แต่ผู้ใดจะคิดริษยาท่านหาได้เก็บมาใส่ใจ มิใส่ใจจนถูกสหายสนิททรยศ วันดีคืนดีก็ถูกลวงพาไปหมายจะให้พวกโจรย่ำยี โชคดีที่ท่านพ่อบังเอิญไปพบจึงยื่นมือช่วยเหลือได้ทัน วาสนาก่อเกิดเป็นบุพเพ สาวงามอันดับหนึ่งยอมละทิ้งเสียงพิณไว้เป็นเพียงตำนาน ไถ่ถอนตัวเอง แต่งออกมายังจวนแม่ทัพเว่ย อาศัยความฉลาดเฉลียวของท่านยาย ท่านแม่จึงแต่งเข้ามาในฐานะหญิงชาวบ้านลูกคหบดีต่างเมืองที่เคยช่วยเหลือท่านพ่อ ด้วยเหตุนี้สกุลเว่ยที่ยามนั้นยังมึนงงจึงต้องรับท่านแม่เข้ามาเป็นสะใภ้ด้วยความมึนงงยิ่ง แม้จะผ่านไปหลายปี ฮูหยินสี่มีประวัติเป็นมาเช่นไร คาดว่าผู้คนยังต้องใช้เวลาคิดถึงสามวัน แม้ใช้เวลาไปสามวันก็ยังนึกไม่ออกว่าแซ่เดิมของท่านนั้นเรียกขานว่าอย่างไร

ท่านพ่อได้แต่งกับหญิงงามในดวงใจ ผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือมากที่สุดก็คือท่านยาย มาม่าใหญ่แห่งหอคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นเยว่ มี่อิงได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมท่านยาย แม้ท่านพ่อจะมิใคร่ชอบใจ แต่บุญคุณครั้งนั้นยากจะทดแทน ได้แต่กัดฟันกลืนความหงุดหงิดลงท้อง ส่งบุตรสาวออกไปไหว้ท่านยายที่หอคณิกาทุกเดือน เด็กน้อยชอบท่านยายมาก ท่านยายทั้งใจดี กว้างขวาง นางชอบฟังเรื่องชาวบ้านที่ท่านยายเล่าเป็นที่สุด เรื่องโปรดที่ฟังเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อ คือตอนที่ฮูหยินใหญ่ของขุนนางกรมพิธีการจับได้ว่าสามีแอบหนีมาเที่ยวหอคณิกา แล่นตามมาจะเอาเรื่อง มาถึงก็พุ่งพรวดขึ้นไปด้านบนหอ ขณะที่ลูกค้าทั้งเหล่าขุนนางและคหบดีกำลังนั่งหยอกล้อหญิงงาม นางกลับตะโกนเสียงดังเรียก ไอ้แก่! เพียงเท่านั้นทั้งขุนนางและคหบดีต่างสะดุ้งตัวโยน พากันก้มหน้ามุดใต้โต๊ะคลานหนี วุ่นวายอยู่เป็นครึ่งชั่วยามกว่าจะสงบ

ข่าวสารของท่านยายว่องไวแม่นยำ ยามเด็กนางฟังเรื่องชาวบ้านเพื่อขำขัน โตมานางกลับฟังเพื่อคิดวิเคราะห์ คิดไปคิดมาจึงได้ร้านขายเครื่องประดับมาหนึ่งร้าน ฟังเรื่องขุนนางนินทาฮูหยิน นินทาไปมาจนนางทราบว่าฮูหยินท่านนั้นชอบผลาญเงินไปกับไข่มุก อีกท่านชอบใช้เงินซื้อเครื่องทอง ฟังไปฟังมาเลยได้ลูกค้าเพิ่มมากมาย หญิงในหอคณิกามักได้ยินได้ฟังเรื่องราวมากมายจากขุนนาง ขุนนางในแคว้นเยว่ยังมิพอ บางครายังได้ฟังเรื่องของขุนนางจากแคว้นอื่นมาด้วย หากเจ้ากรมข่าวแฝงตัวเข้ามาเป็นหญิงคณิกา คาดว่าคงทุ่นแรงในการทำงานไปได้มากโข นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ก็มีคนวิ่งเข้ามาแจ้งข่าว บางเรื่องฮ่องเต้ยังรู้ช้ากว่าหญิงคณิกาในหอนางโลมเป็นครึ่งเดือน อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย ดูอย่างเรื่องในจวนของนางนั่นปะไร

เรื่องราวของแม่สามนั้นเล่าล้วนมาจากหอคณิกา ข่าวว่าทั้งพ่อและพี่ชายของอี้เหยี้ยนติดการพนันและหญิงคณิกา ลุ่มหลงมัวเมาจนต้องขายสมบัติหยิบยืมญาติมิตร แม้แต่ลูกสาวซึ่งเปรียบเหมือนน้ำที่สาดออกมาแล้วอย่างอี้เหยี้ยน ยังต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ แต่เรื่องนี้ยังนับว่าเล็กหากเทียบกับตอนที่คุณชายเฉินเมาสุราโอ้อวดว่าได้เชยชมคุณหนูสามแห่งตระกูลเว่ย ทั้งพรรณนาจนเหล่านางคณิกาเห็นภาพราวกับนอนอยู่ร่วมเตียง โชคดีเหลือเกินที่ท่านยายคร้านจะเขียน มิเช่นนั้นมี่อิงคงได้อ่านนิยายปกขาว1 เป็นแน่

เพียงแต่เรื่องนี้มิใคร่ตลกเท่าไร ออกจะทำให้นางปวดหัวเสียมากกว่า ความจริงคุณชายเฉินจะแต่งพี่สามเป็นอนุย่อมไม่เกี่ยวกับนาง แต่เมื่อนำสองเรื่องนี้มาปะติดปะต่อกัน เด็กปัญญาอ่อนเช่นนางยังรู้เลยว่าสมบัติของมารดากำลังเป็นที่หมายตา

นิสัยอี้เหยี้ยนนั้นมักจะใช้เงินเกินตัว ซื้อเครื่องประดับและผ้าราคาแพง ทั้งยังต้องเจียดเงินไปช่วยเหลือสกุลตัวเองอย่างจนใจเพื่อรักษาหน้าตาไม่ให้จวนขุนนางของบิดาพังครืนลงมาเพราะเหลือแต่เปลือกนอก ไฉนเลยจะเหลือสินเดิมยกให้บุตรสาวเป็นทรัพย์สินฝั่งเจ้าสาว และหากต้องการเงินเร่งด่วนเช่นนี้เล่าแม่สามจะไปหาจากที่ใด...หากไม่ใช่สินเดิมของมารดานาง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel