บท
ตั้งค่า

#6

หญิงสาวที่จะถวายตัวครั้งแรก ต้องผ่านการตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้ง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ผุดผ่อง จากนั้นจะถูกชำระล้างร่างกายในน้ำแร่ เคลือบผิวทาน้ำมัน สวมชุดคลุมผ้าแพรเนื้อบางสีแดงสด ก่อนจะถูกส่งเข้าตำหนัก

ตำหนักหยวนเตี้ยนเป็นตำหนักหลังที่สามนับจากตำหนักหยางชิงเตี้ยนที่ประทับส่วนพระองค์ ตั้งติดสระไท่เย่เหมือนตำหนักอื่น มีไว้สำหรับการถวายตัวของสนมชายาทุกตำแหน่ง ยกเว้นฮองเฮา และยังใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อน ฟังดนตรีชมการร่ายรำหรือจัดงานรื่นเริงเล็กๆ ส่วนพระองค์กับสนมชายาที่ทรงโปรดปราน เรียกว่าในยามที่ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะผ่อนคลาย มักจะเสด็จมาประทับที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่ ทว่าในรัชสมัยของฮ่องเต้ถังเจ๋อจงกลับใช้เพียงถวายตัวสนมชายาเพียงอย่างเดียว

ต้าไฉเหรินถูกพามานอนรออยู่บนแท่นบรรทมโดยมีกูกูทั้งสี่คอยแนะนำ จะว่าไปหากนางมิได้มีคนหนุนหลังใหญ่โต เกรงว่าจะไม่ถูกปฏิบัติอย่างดีเยี่ยงนี้ ด้วยความที่ถังเจ๋อจงฮ่องเต้มิเคยให้ความโปรดปรานสนมชายาคนใด ทำให้ข้ารับใช้ประจำพระองค์ค่อนข้างจะมีอำนาจเหนือสตรีวังหลังอยู่ครึ่งส่วน แม้แต่ฮองเฮายังต้องคอยดูสีหน้าพวกนาง

กูกูทั้งสี่ยืนขนาบแท่นบรรทมสองฟากข้าง สีหน้าท่าทางเย่อหยิ่ง ไร้อารมณ์ สตรีวัยราวสามสิบกว่า นามว่าฉวีลิ่ว กล่าวตักเตือนต้าเหม่ยจวงว่า “ฝ่าบาทมิโปรดให้ผู้ใดแตะต้องพระวรกาย ฉะนั้นในยามที่ปรนนิบัติ ต้าไฉเหรินต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด อย่าได้ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย เพราะผลที่ตามมานั้น หม่อมฉันคิดว่าต้าไฉเหรินคงมิอยากประสบพบเจอเป็นแน่เพคะ”

เหม่ยจวงมุ่นคิ้วเล็กน้อย พยักหน้าเป็นการตอบรับ บรรยากาศในห้องบรรทมทำให้นางอึดอัดจนหายใจลำบาก ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นแรงราวกับบ้าคลั่ง ในใจลึกๆ รู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง

อันที่จริงที่นางต้องการคือบุรุษที่จะรักนางเพียงคนเดียว เป็นสามีคู่ทุกข์คู่ยากใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่าเฉกเช่นบิดามารดา มิใช่บุรุษมากภรรยาอย่างฮ่องเต้ ยิ่งคิดเหม่ยจวงก็ยิ่งรู้สึกรับไม่ได้ พาลนึกขุ่นเคืองหลี่เฉียนเล่อตั้งแต่ยังมิได้พบหน้า

ต้าเหม่ยจวงเอาแต่คิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง จนไม่ได้ฟังกูกูทั้งสี่ กระทั่งเสียงขันทีประกาศการมาถึงของฮ่องเต้ นางถึงได้ดึงความคิดของตนเองกลับมา

ฉวีกูกูที่ยื่นมือมาประคองนางให้ลุกขึ้น เหม่ยจวงลงมายืนข้างแท่นบรรทม มองไปยังบานประตูด้วยใจระทึก

ไม่นานร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคอกลมรัดรูปแขนกว้างสีขาวก็ก้าวผ่านประตูเข้ามา เพียงแค่ได้เห็นหน้า ต้าเหม่ยจวงถึงกับตกตะลึงจนลืมถวายความเคารพ

ฮ่องเต้ถังเจ๋อจง พระนามเดิม หลี่เฉียนเล่อ ปีนี้ย่างเข้าวัยยี่สิบ พระพักตร์หล่อเหลาสง่างามหาใดเปรียบ เรือนกายสูงสง่า มิได้ผอมบางเฉกเช่นบัณฑิตและมิได้บึกบึนกำยำเฉกเช่นทหาร รัศมีรอบกายแฝงไว้ด้วยแข็งแกร่งทรงอำนาจ ทว่ากลับแลดูเย็นชา

ต้าเหม่ยจวงเผลอมองอีกฝ่ายอยู่นาน กระทั่งถูกฉวีกูกูดึงให้คุกเข่า นางถึงได้ดึงสายตากลับ ก้มหน้าหลุบตาต่ำด้วยความเขินอาย รู้สึกร้อนเผ่าไปทั้งใบหน้า พวงแก้มขึ้นสีแดงเรื่อ

สิ้นเสียงถวายความเคารพ น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ก็ดังขึ้น “ลุกขึ้นเถิด”

กูกูทั้งสี่พร้อมทั้งเหม่ยจวงพากันลุกขึ้นยืนอย่างสงบเสงี่ยม

หลังจากที่ฮ่องเต้ก้าวตรงไปยังหลังฉากกั้นพร้อมขันทีคนสนิท บรรดากูกูพากันส่งเหม่ยจวงกลับขึ้นไปนอนรอบนแท่นบรรทมดังเดิม ก่อนจะปลดม่านมุ้งลง จากนั้นก็ไล่ดับเทียนทีละเล่ม กระทั่งเหลือเทียนเพียงเล่มเดียว กูกูทั้งสี่จึงพากันล่าถอยออกจากห้อง

ไม่นาน บุรุษในชุดคลุมผ้าแพรสีขาวก็ก้าวออกมาจากหลังฉาก ฉางกงกง ยืนรอให้ฮ่องเต้เสด็จขึ้นไปบนแท่นบรรทมเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ดับเทียนเล่มสุดท้ายก่อนจะล่าถอยออกไป ไม่กี่อึดใจต่อมา ประตูห้องบรรทมก็ปิดสนิท

ต้าเหม่ยจวงรู้สึกราวกับฝัน ลืมเลือนความขุ่นเคืองที่มีต่อหลี่เฉียนเล่อก่อนหน้านี้ไปสิ้น ในใจบังเกิดความคิดอันไม่บังควรอย่างแรงกล้า คือการอยากครอบครองบุรุษผู้นี้ทั้งกายและใจเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ทว่าการสูญเสียความบริสุทธิ์ของนางครั้งแรกกลับมิใช่เรื่องน่าประทับใจเท่าใดนัก ไม่มีการเล้าโลม ร่างกายไม่ได้ถูกสัมผัสเกินจำเป็น แม้กระทั่งชุดคลุมของทั้งสองยังมิถูกถอดออกจากร่าง ฮ่องเต้ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นราชกิจที่พึงกระทำ หลังจากเสร็จกิจ พระองค์ทรงเสด็จกลับตำหนักในทันที ไร้ซึ่งถ้อยคำวาจา

สนมทุกนางที่ถวายตัวในคืนแรกจะได้รับอนุญาตให้นอนค้างในตำหนักหยวนเตี้ยนได้ แต่นั่นหาใช่เรื่องน่ายินดี เพราะฮ่องเต้ถังเจ๋อจงยังมิเคยประทับอยู่กับสนมชายาคนใดจนถึงฟ้าสางเลยสักคน

ต้าเหม่ยจวงนอนน้ำตาไหลพรากอยู่บนแท่นบรรทมอย่างเดียวดาย เฝ้าคิดถึงแต่กลิ่นกายของผู้ที่จากไป กลิ่นหอมเย็นเฉพาะตัวของฮ่องเต้ยังตลบอบอวลอยู่บนร่างของนาง ยิ่งนึกไปถึงตอนหยินหยางร่วมผสาน ความคิดอยากครอบครองและอยากเอาชนะก็ยิ่งเพิ่มพูน

เหม่ยจวงยกมือปาดหน้าตา กล่าวกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าสาบาน ว่าจะเอาหัวใจของท่านมาครอบครองให้ได้ เฉียนเล่อ”

เช้าวันใหม่ ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ในขณะที่ต้าเหม่ยจวงยังอยู่ตำหนักหยวนเตี้ยน เวินเยาหยารีบใช้โอกาสนี้ย้อนกลับไปยังสะพานกลางน้ำ เพื่อค้นหาปิ่นไม้

สะพานกลางน้ำอยู่ห่างจากตำหนักเถาเตี้ยนไปราวสามร้อยเก้า ตลอดทางที่เดินไร้ผู้คนสัญจรไปมา เส้นทางปูด้วยอิฐแดงเลียบริมน้ำเงียบสงัด บางทีอาจเป็นเพราะคำร่ำลือเรื่องผีสางจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาบริเวณนี้

เวินเหยาหยาเดินลัดเลาะไปตามริมสระไท่เย่ สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ หวังว่าปิ่นไม้จะถูกพัดมาเกยฝั่ง กระทั่งใกล้จะถึงตีนสะพาน บางสิ่ง ทำให้นางต้องเหลือบมองไปเบื้องหน้า แวบแรกที่เห็น เหยาหยาเพียงนิ่วหน้า ครั้นเพ่งมองดีๆ ดวงตาเมล็ดชิ่งพลันเบิกกว้าง ตื่นตระหนกตกใจอย่างถึงที่สุด ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นมาทันควัน รีบยกมือปิดปาก พลางก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

ภาพที่เห็นคือหญิงสาวนางหนึ่งลอยคว่ำหน้าอยู่กลางสระ เส้นผมดำสนิทยาวสยายแผ่กระจายบนผืนน้ำ นางย่อมไม่คิดว่าร่างนั้นยังมีชีวิต เหยาหยารีบเรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อดูให้แน่ใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดจริงๆ ก็รีบสาวเท้ากลับตำหนัก ราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น

เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ ไม่รู้ไม่เห็นเป็นดีที่สุด หากนางกลายเป็นผู้พบศพคนแรก ปัญหามากมายย่อมต้องตามมา พอใกล้ถึงตำหนักเถาเตี้ยนความตื่นตระหนกถึงได้ค่อยๆ คลายลง เหยาหยามิได้กลับเข้าไปในตำหนักในทันที แต่แวะเก็บดอกหมู่ตานติดมือมาด้วย

ตอนที่นางมาถึง บังเอิญเจอกับว่านฉงหน้าตำหนัก อีกฝ่ายดูท่าจะตกใจไม่น้อยที่เห็นนาง ว่านฉงรีบเดินเข้าตำหนักโดยไม่คิดทักทายปราศรัย ท่าทางมีพิรุธยิ่ง เห็นอย่างนั้น เหยาหยาจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เดินตามนางเข้าไป

ฉีซุนอี้เห็นเหยาหยาเดินเข้ามาก็รีบเดินเข้าไปหา ถามอย่างร้อนรนว่า “อาหยา เจ้าไปที่ใดมา ตื่นมาไม่เห็นเจ้า ข้าตกใจแทบแย่”

เวินเหยาหยาแย้มยิ้มชูดอกไม้ในมือให้ฉีซุนอี้ดู จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้าออกไปเก็บดอกไม้มาใส่แจกัน เตรียมไว้ให้ต้าไฉเหริน”

พอฉีซุนอี้เห็นดอกหมู่ตานในมือของเหยาหยา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม กล่าวชื่นชมว่า “เจ้าช่างรอบคอบนัก หากต้าไฉเหรินเห็นคงต้องชอบแน่ ให้ข้าเอาไปใส่แจกันให้นะ” เหยาหยายื่นดอกหมู่ตานในมือให้ซุนอี้ รอให้นางจัดเสร็จ ก็พากันออกไปรอรับต้าเหม่ยจวงที่ตำหนักหยวนเตี้ยน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel